• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Fern751

#3441


กระทรวงสาธารณสุข เผยการทำ Home Isolation , Community Isolation ในผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียว ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งพบร้อยละ 85 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ช่วยลดการใช้เตียงในโรงพยาบาล ช่วยผู้ติดเชื้อที่มีอาการปานกลางและรุนแรง หรือกลุ่มสีเหลือง สีแดงได้รับการดูแลเต็มที่

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับมาตรการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค จากสายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดได้รวดเร็ว ทำให้พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ความต้องการเตียงจึงมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีประมาณร้อยละ 15 ที่มีอาการปานกลางหรืออาการรุนแรง ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลและต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ ซึ่งส่วนมากอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง รวมถึงคนอ้วน ซึ่งส่วนใหญ่อีกร้อยละ 85 จะมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย ไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ทำลายเชื้อโรคได้ดี สามารถทำ Home Isolation อยู่ที่บ้านได้ และต้องทำการกันป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อสู่คนในครอบครัวรวมทั้งพี่น้องที่อยู่ด้วย แต่หากไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ จะนำมาอยู่รวมกันเป็น Community Isolation โดยให้ชุมชนช่วยกันดูแล เพื่อจะได้มีเตียงเพียงพอสำหรับให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลือง สีแดงได้รับการดูแลอย่างเต็มที่

นายแพทย์ธงชัยกล่าวต่อว่า หลังทราบผลการติดเชื้อ ให้ตรวจสอบอาการตนเอง หากไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำๆ ไม่มีอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ สามารถอยู่ที่บ้านได้ ให้โทรไปได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 กด 14 จะได้รับการติดต่อกลับพร้อมนำชุดเซ็ตในการดูแลตัวเองที่บ้านไปให้ เช่น ปรอท ที่วัดออกซิเจน ยาฟ้าทะลายโจร หรือยาฟาวิพิราเวียร์ทานที่บ้านได้เลย และจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานติดตามอาการวันละ 2 ครั้ง หากเริ่มมีอาการที่หนักขึ้น เช่น หายใจติดขัด ไอ แน่นหน้าอก ออกซิเจนต่ำ ก็จะมีรถไปรับ มารักษาที่โรงพยาบาล
#3442


ความคืบหน้าล่าสุด มาตรการเยียวยา "ประกันสังคม มาตรา 40" สำหรับผู้มี "อาชีพอิสระ" ตามมติ ครม. ที่จะให้การเยียวยาแรงงานนอกระบบ หรือ อาชีพอิสระ ที่อยู่ใน 9 กลุ่มอาชีพ 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็นเงิน 5,000 บาท โดยมีเงื่อนไข คือ จะต้องเข้าระบบประกันสังคม เป็น "ผู้ประกันตน ม.40" เสียก่อนนั้น 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ก.ค.64 นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ได้ให้สัมภาษณ์กับ "เนชั่นทีวี" โดยเปิดเผยถึงความจำเป็นที่จะต้องมาสมัครเข้าระบบประกันสังคมก่อน ก็เพื่อยืนยันตัวถึงพื้นที่ที่ประกอบอาชีพอยู่ เนื่องจากการเยียวยาครั้งนี้ เฉพาะกลุ่มแรงงานที่ประกอบอาชีพใน 13 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

"การสมัครเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อจะได้มีข้อมูล เช่น คนมีบ้านอยู่ จ.อุดรธานี แต่มาขับรถในกทม. ก็ต้องสมัครที่ กทม. หรือทำงานในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม เพื่อเราจะได้รู้" รมว.แรงงาน กล่าว

พร้อมกันนี้ได้แจ้งว่า การสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 จะสมบูรณ์ตามกฎหมายได้คือต้องชำระเงิน ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายกำหนด ต้องเสียค่าสมัครเพื่อให้เป็นผู้ประกันตนสมบูรณ์แบบ จึงขอให้ผู้ที่สมัครผ่าน www.sso.go.th อย่าลืมไปชำระเงิน เพื่อไม่พลาดการรับสิทธิ์


ขณะเดียวกัน ก็ได้อัพเดทความคืบหน้าของการจ่ายเงินเยียวยา แก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 40 ว่า นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้สมัครวันที่ 14 ก.ค. จนถึง 31 ก.ค. 64 รวมแล้วกว่า 2.8 ล้านคน โดยแม้จะตัดยอดรายชื่อที่จะได้รับเงินเยียวยาแล้ว แต่ได้ "ขยายเวลาการชำระเงิน" ที่ผู้สมัครจะต้องไปจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อยืนยันการเป็นผู้ประกันตนออกไป เพื่อให้ผู้สมัครใหม่มีเวลาไปจ่ายเงินได้ทัน ก่อนจะทำการรวมยอดและประมวลผลในวันที่ 2 ส.ค. 64

ทั้งนี้ นายสุชาติ ได้เปิดเผยถึงลำดับเวลา "ไทม์ไลน์การจ่ายเงินเยียวยา" ให้กลุ่มผู้ประกันตน ม.40 ว่า จะเริ่มต้นจากการที่ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประชุมร่วมกับคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กับกระทรวงการคลัง จากนั้นจะมีการเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมครม. ในวันอังคารที่ 10 ส.ค. 64

เมื่อผ่านการอนุมัติจากที่ประชุม ครม. ก็จะทำเรื่องส่งกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และโอนมาให้กระทรวงแรงงาน ก่อนจะทำการจ่ายเงินผ่าน "พร้อมเพย์" ที่ผูกกับบัตรประชาชน ซึ่งคาดว่าจะจ่ายได้ประมาณวันที่ 20 ส.ค. เป็นต้นไป

สำหรับ "แรงงานอิสระ" ที่เพิ่งสมัครเข้าระบบประกันสังคม ม.40 รายใหม่ และอยากทราบว่า ชื่อของตนเอง เข้าสู่ระบบประกันสังคมหรือยังนั้น 

สำนักงานประกันสังคม ให้ข้อมูลว่า การสมัครเป็น "ผู้ประกันตนตาม มาตรา 40" จะมีสถานะความเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย เมื่อจ่ายเงินสมทบงวดแรกแล้ว เท่านั้น

โดยผู้ประกันตนทุกราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33,39 หรือ มาตรา 40 ต่างก็สามารถ ตรวจสอบสถานะ การเป็นผู้ประกันตนด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบ อีเซอร์วิส ของประกันสังคม ผ่านเว็บไซต์ของประกันสังคม  คลิกที่นี่

หากมีข้อสงสัยสอบถามสายด่วนประกันสังคม 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ คุณสมบัติของ "แรงงานอิสระ" หรือผู้ประกอบ "อาชีพอิสระ" ที่จะสมัครประกันสังคม มาตรา 40 ได้มีดังนี้ 

- มีสัญชาติไทย
- อายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
- แรงงานอิสระหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- ไม่เป็นลูกจ้างในบริษัท ห้างร้าน โรงงาน (ม.33)
- ไม่เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ  (ม.39)
- ไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
- ผู้ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยขึ้นต้นด้วยเลข 0,6,7 (ยกเว้นขึ้นต้นด้วย000)
- ผู้พิการที่รับรู้สิทธิก็สมัครได้

โดยผู้ประกันตน สามารถเลือกจ่ายเงินสมทบได้ 3 ทางเลือก ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

ทางเลือกที่ 1 จ่าย 70 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต
ทางเลือกที่ 2 จ่าย 100 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ
ทางเลือกที่ 3 จ่าย 300 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ สงเคราะห์บุตร
ทั้งนี้ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดหนัก และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงได้สั่งการให้ลดการจ่ายเงินสมทบ จากเดิมการจ่ายเงินสมทบ สำหรับ ประกันสังคมมาตรา 40 มีด้วยกัน 3 ทางเลือก คือ  70 บาท, 100 บาท และ 300 บาท แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด ได้มีการปรับลดอัตราเงินสมทบ 40% เป็นเวลา 6 เดือน (1 ส.ค.64 - 31 ม.ค.65) เหลือเป็นเงินที่ต้องจ่ายสมทบ คือ 42 บาท, 60 บาท และ 180 บาท ตามลำดับ 

   

ที่มา : สำนักงานประกันสังคม
#3443



แรงบันดาลใจในวัยเด็กที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกลบไป หรือละทิ้งความพยายามที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง สำหรับ สาวเก่งมากความสามารถ หนึ่งในนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง "หมอเจี๊ยบ-พญ.ศรินทิพย์ สุนทรัช" ผู้ก่อตั้งเดอะ โคลฟเวอร์ คลินิก (The Clover Clinic) กลับนำแรงบันดาลใจที่มีมาต่อยอดเป็นสิ่งที่ตนเองหลงใหล โดยเริ่มต้นจากคำว่า "อยากช่วยเหลือคนอื่นๆ" กับการเริ่มต้นธุรกิจความสวยความงามของตัวเอง แม้เป็นลูกสาวคนโตของบ้านจากพี่น้อง 3 คน แต่ที่ผ่านมาครอบครัวไม่ได้บังคับให้สานต่อธุรกิจที่บ้านเลย (ธุรกิจเซียงกง) ให้เลือกตามความชอบของตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกว่าเลือกถูก เพราะอาชีพในปัจจุบันตรงกับจริต และมีความสุขในทุกวันที่ได้ออกไปทำงานดูแลคนไข้


หมอเจี๊ยบ-พญ.ศิริทิพย์ เรียนจบมัธยมปลายสายวิทย์-คณิตศาสตร์ จากโรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในวัยเด็กคิดเสมอว่าอยากทำอะไร แต่ด้วยธุรกิจของครอบครัวเป็นเซียงกงคือ นำเข้าอะไหล่รถยนต์ญี่ปุ่นมาขาย จึงมองว่าไม่ได้เหมาะกับตัวเอง อีกทั้งตอนนั้นมีการพูดคุยกับคุณพ่อว่า ในครอบครัวมีผู้สูงอายุ ประกอบกับตัวเองชอบดูแลช่วยเหลือคนอื่นๆ จึงเป็นที่มาให้เลือกเรียนสายแพทย์ จึงศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังเรียนจบได้มีโอกาสไปศึกษาต่อด้านผิวหนังที่มหาวิทยาลัยเวลส์ รวมทั้งศึกษาต่อด้านผิวหนังและความงามที่มหาวิทยาลัยไมอามี และด้านชะลอวัย (Anti-aging) ได้รับ American board anti-aging medicine


"ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรียนแพทย์ทั่วไป 6 ปี จากนั้นไปเรียนต่อเฉพาะทาง Diploma Skin เพราะสนใจด้านผิวหนังและความงาม  สามารถวิเคราะห์ได้จากการมองเห็นตั้งเเต่แรกและตรวจเพิ่มเติม ส่วนเรื่องความงามเป็นคนที่ชอบเรื่องความสวยความงามอยู่แล้ว คิดว่ารักษาแบบนี้น่าจะดีกับคนไข้ ถึงแม้เป็นเพียงการแก้ไขรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการช่วยรักษาจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะการทำให้คนไข้ มีความมั่นใจมีความสุขมากขึ้น ถึงแม้เป็นการรักษาแบบ Outside-In แต่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทั้งภายในและภายนอกกี่ยวข้องกันหมด เรารักษาผสมผสานทั้ง Inside-Out และ Outside-In พอดูแลคนไข้แบบองค์รวมทั้งหมด คนไข้มั่นใจมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เห็นตัวอย่างหลายๆ เคสไม่ใช่แค่ภายนอกดีขึ้นอย่างเดียว หลายอย่างเช่นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ความมั่นใจ เรื่องการงาน ทุกอย่างดีขึ้นหมด ทำให้ชอบและรักที่จะทำงานนี้ และทำให้รู้ว่านี่คืองานที่เป็นตัวตนและตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด"

เส้นทางการทำงานของหมอเจี๊ยบ เริ่มต้นทันทีหลังเรียนจบกับเส้นทางความสวยความงาม โดย 8 ปีแรกทำที่คลินิกความงามทั่วไป ตอนนั้นรู้สึกว่าใช่ เพราะเวลารักษาคนไข้ ไม่ได้คิดว่าเป็นการรักษา แต่มองว่าเป็นการแนะนำเพื่อน มีการพูดคุยบางคนสนิทจนเป็นมิตรภาพยาวนาน ที่ยังคุยกันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่ดีกับคนไข้ไปโดยปริยาย บางคนดูแลเขาตั้งแต่เป็นนักศึกษา จนปัจจุบันแต่งงานมีลูกไปแล้ว ก็เป็นการตอกย้ำความคิดของเราในวันที่เริ่มต้นว่า อยากดูแลทุกคนให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ  รู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติที่อยู่ในหลายช่วงของชีวิตคนอื่น เป็นคนที่ช่วยทำให้คนที่เป็นทุกข์เพราะสิวเรื้อรังดีขึ้น ทำให้เจ้าสาวรู้สึกสวยที่สุดในวันแต่งงาน หรือเป็นส่วนที่ทำให้คนไข้ได้ดูแลตัวเองและรักตัวเอง และส่งพลังบวกไปยังคนรอบข้าง

สำหรับจุดเปลี่ยนที่มาเริ่มต้นทำคลินิกของตัวเอง หมอเจี๊ยบยอมรับว่าเพราะมองเห็นว่า อยากมอบประสบการณ์และทุกอย่างให้คนไข้ในแบบดีที่สุด อยากใช้อะไรที่เลือกมาแล้วว่าดีที่สุด อยากหลุดจากกรอบเดิมๆ ที่เคยทำมา อยากใช้ยาและเครื่องมือดีที่สุด และมอบบริการที่ดีและจริงใจเหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ถึงแม้ต้องซื้อเครื่องมือราคาแพงและลงทุนสูงแต่อยากเน้นสิ่งที่อยากทำเป็นหลัก เลยเป็นจุดเริ่มต้น The Clover สาขาแรกที่สุขุมวิท 26 ด้วยความที่อยากมีสถานที่ ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนไข้ โดยเป็นย่านออฟฟิคมุ่งเน้นการที่ไม่มีเซลล์ขาย เพราะไม่อยากให้คนไข้รู้สึกอึดอัดและถูกยัดเยียด ลูกค้าทุกคนได้เจอกับคุณหมอโดยตรง ถึงแม้ว่าการขายแบบ hard sale อาจช่วยให้ยอดขายมากขึ้น แต่การทำคลินิกตามความชอบของตัวเอง คิดว่าตัวเองอยากใช้บริการคลินิกแบบไหน จึงอยากทำให้คนที่เข้ามาสบายใจ ที่สำคัญคือ ประทับใจและต้องกลับมาอีกครั้ง เลยยึดแนวทางนี้จนขยายสาขามาเรื่อยๆ และเติบโตขี้นจนถึงปัจจุบัน


การทำงานในฐานะลูกน้องและเจ้าของธุรกิจสาวไฟแรงอย่างหมอเจี๊ยบยึดหลัก ต้องจริงใจทั้งกับพนักงาน ที่มองว่าเหมือนครอบครัว เรียกได้ว่าพนักงานแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ โดยเราต้อง Give&Take ให้คนอื่นก่อน และดูแลทุกคนให้ดีๆ เหมือนคนในครอบครัว ให้โอกาสเขาพัฒนาศักยภาพ เช่นเดียวกับคนไข้ เราต้องมีความจริงใจ พยายามใช้สิ่งที่ดีที่สุด และมีราคาที่สมเหตุสมผล คนไข้รับได้และเราอยู่ได้ เหมือนหลักการง่ายๆ คือ ความจริงใจ เวลาที่เราอยากคบใครยาวๆ มองว่า ต้องมีความจริงใจต่อกัน ก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาว


ส่วนแนวคิดหลักในการดำเนินชีวิต คุณหมอคนสวยพยายามทำหน้าที่แต่ละวันให้ดีที่สุด ซึ่งมองว่ายังใช้ได้ตลอด โดยต้องตั้งเป้าหรือเซตความสำคัญในแต่ละวัน เพราะใน 1 วัน มีจำกัด ดังนั้นต้องตั้งความสำคัญกับเรื่องที่จะทำในแต่ละวัน และเริ่มต้นลงมือทำ โดยนอกเหนือจากงานประจำแล้ว ชอบเล่นโยคะเพราะช่วยฝึกสมาธิให้การทำงาน ทำให้จิตใจสงบ และเอาไว้มองตัวเอง รับรู้การเคลื่อนไหวของตัวเอง เล่นมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว นอกจากนั้นงานอดิเรกที่ทำเพิ่มเติมจากงานบริหารคลินิกคือ การลงทุนต่างๆ เพื่อให้มี passive income สำหรับการต่อยอดในอนาคตอีกด้วย ซึ่งในอนาคตอยากขยายสาขา (ปัจจุบันมี 5 สาขา) เพื่อรองรับความต้องการของคนไข้  และรวมไปถึงเพิ่มแนวทางรักษาแบบแอนไท-เอจจิ้ง ให้มากขึ้น เนื่องจากจะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้นมีเรื่องของ Inside-Out ในแง่การดูแลสุขภาพ จะสามารถดูแลได้องค์รวมให้คนไข้มากยิ่งขึ้น

https:// www.dailynews.co.th/news/110745/
#3444



"ขิง" สมุนไพรไทยคู่ครัวที่สามารถหาได้ง่าย นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อีกด้วย อีกทั้งยังนิยมนำไปต้ม หรือสกัดเป็น "น้ำขิง" สำหรับดื่มเพื่อสุขภาพ ประโยชน์ของน้ำขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณดีๆ อีกมากมายที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ติดตามได้จากบทความนี้

"ขิง" สมุนไพรไทยคู่ครัวที่สามารถหาได้ง่าย นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อีกด้วย อีกทั้งยังนิยมนำไปต้ม หรือสกัดเป็น "น้ำขิง" สำหรับดื่มเพื่อสุขภาพ ประโยชน์ของน้ำขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณดีๆ อีกมากมายที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ติดตามได้จากบทความนี้


ประโยชน์ของน้ำขิงอุดมไปด้วยคุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ, วิตามินบี 1, วิตามินบี 2, วิตามินซี, ธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุแคลเซียม เป็นต้น ในปัจจุบัน "ขิง" ถูกนำมาสกัดเป็นเครื่องดื่มสำเร็จรูปสำหรับดื่มได้อย่างสะดวก บางคนก็อาจนำขิงมาต้มเป็นเมนูน้ำขิงร้อนๆ เพื่อสุขภาพ แต่หากใครไม่ชอบกลิ่นสมุนไพรฉุนๆ ก็สามารถนำไปผสมกับน้ำผึ้งเพิ่มรสชาติหอมหวานก็ได้เช่นกัน ซึ่งประโยชน์ของการดื่มน้ำขิงผสมน้ำผึ้งจะช่วยบำรุงลำไส้ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณด้านอื่นๆ ที่มีผลดีต่อร่างกายอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น 

1. กระตุ้นระบบย่อยอาหาร
น้ำขิงร้อนๆ จะมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นระบบการย่อย บรรเทาอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร หากใครมีอาการอาหารไม่ย่อย รู้สึกจุกเสียดท้อง แน่นเฟ้อ หรือท้องอืด สามารถกินน้ำขิงเพื่อช่วยบรรเทาได้

2. ยับยั้งการเติบโตของเชื้อโรค
ในน้ำขิงมีสารที่เรียกว่า "จิงเกอร์รอล" (Gingerol) ทำหน้าที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของพยาธิและแบคทีเรีย ช่วยลดโอกาสติดเชื้อในลำไส้ อีกทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อีกด้วย


3. ลดอาการอักเสบ
สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำขิงนอกจากช่วยชะลอวัยแล้ว ยังสามารถลดอาการอักเสบภายในส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ผลขิงสดๆ ตำจนละเอียด แล้วนำไปพอกบาดแผล จะยังช่วยยับยั้งไม่ให้แผลอักเสบและเป็นหนอง 

4. ลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง
เนื่องจากน้ำขิงมีสรรพคุณลดอาการอักเสบของเซลล์ต่างๆ จึงทำให้มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในร่างกาย และลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย

5. ลดอาการปวดประจำเดือน
ผู้หญิงที่มักประสบปัญหาปวดท้องประจำเดือน ปวดเมื่อยตัว และรู้สึกอ่อนเพลีย สามารถดื่มน้ำขิงเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ รวมถึงลดอาการท้องเสียในช่วงที่มีประจำเดือน

6. ลดน้ำหนัก
น้ำขิงยังมีสรรพคุณช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ในกลุ่มคนรักสุขภาพจึงนิยมดื่มน้ำขิงร้อนๆ และควบคุมอาหาร เพื่อช่วยลดน้ำหนักนั่นเอง 

7. บำรุงฟันและช่องปาก
การดื่มน้ำขิงจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุของฟันผุ หินปูน และโรคเหงือก อีกทั้งยังช่วยบำรุงฟันอีกด้วย หากใครปวดฟันให้นำขิงแก่มาบดเป็นผง พอกบริเวณที่ปวดฟันได้เช่นกัน

8. แก้วิงเวียนศีรษะ
การดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานปกติ หากกินอาหารแสลง หรือได้รับสารเคมีบางชนิดจนรู้สึกวิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้อยากอาเจียน น้ำขิงก็จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้


9. แก้ปวดศีรษะและไมเกรน
สารจิงเกอร์รอล (Gingerol) ในขิง มีฤทธิ์ที่ช่วยลดความปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และหากรู้สึกปวดศีรษะจากไมเกรน ก็สามารถดื่มน้ำขิงเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดให้ลดน้อยลงได้

10. ช่วยแก้หวัด
ไอระเหยจากน้ำขิงร้อนๆ ช่วยแก้หวัดและอาการคัดจมูกได้ ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น หากไอและมีเสมหะ การจิบน้ำขิงจะช่วยลดอาการไอและเจ็บคอ

ประโยชน์ของน้ำขิงมีคุณค่ามากกว่าที่คิด อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่หาดื่มได้ง่าย ราคาไม่แพง และยังอุดมไปด้วยสรรพคุณดีๆ จากธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี เรียกว่ากลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสุขภาพเลยทีเดียว

ที่มา : ศูนย์สารนิเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
#3445



หลังจากที่ "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จอมเตะสาวไทยเบอร์ 1 ของโลกในรุ่น 49 กก.หญิง คว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์เหรียญแรกให้กับทีมเทควันโดไทย และเหรียญแรกให้กับทัพนักกีฬาไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ที่สนามมาคูฮาริ เมสเสะ ฮอลล์เอ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น

โดย "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2020 เดินทางถึงประเทศไทย และอยู่ในช่วงกักตัวที่จังหวัดภูเก็ต


ล่าสุดเจ้าตัว เผยกับทีมงานข่าวสด ผ่านรายการ "ลุยโตเกียว สเปเชียล" ถึงที่มาของการใส่รองเท้าเตะสีชมพูดังกล่าวเข้าสนามทุกเกม โดยบางช่วงบางตอนรายนาทีที่ 10.55 น้องเทนนิส เผยถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะลืมเอารองเท้าผ้าใบไปเท่านั้น

"ลืมรองเท้าผ้าใบคะพี่ วันแข่งถือของพะรุงพะรัง มีอุปกรณ์เยอะ แล้วรอบนี้เราไปกันน้อย มีนักกีฬาแค่ 2 คน ก็ช่วยกันถือของทำให้ลืมรองเท้าผ้าใบ ก็ทำให้ต้องใส่รองเท้าแตะขึ้นรับเหรียญ ไม่ได้เป็นการถือเคล็ด หรือได้มาจากบุคคลสำคัญแต่อย่างใด"
#3446



การระบาดของ "โรคโควิด-19" ระลอกใหม่ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ขยายพื้นที่สีแดงเข้มให้มาครอบคลุมจังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี ในขณะที่หลายฝ่ายต้องการให้ภาครัฐดำเนินการคู่ขนานในการวางแผนเตรียมปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับหลังการระบาด 

รวมทั้งเมื่อการระบาดเริ่มคลี่คลายจะทำให้ประเทศไทยสามารถเตรียมดึงการลงทุนและการท่องเที่ยวใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ได้อย่างเต็มที่ทันที โดยเฉพาะการเตรียมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลาในการจัดทำโครงการ

ปรัชญา สมะลาภา ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออก หอการค้าไทย กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรใช้เวลาช่วงจังหวะนี้ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ปรับโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่เพียงเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออก ทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ เพราะเราไม่รู้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะจบเมื่อไร และจบแบบไหน สิ่งที่ควรจะทำในขณะนี้คือเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ในช่วงเวลาปกติ บางโครงการต้องใช้เวลานานทั้งขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง งบประมาณ ระยะเวลาดำเนินการ

สำหรับเมืองท่องเที่ยวในอีอีซี เช่น เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ควรต้องเร่งดำเนินการในหลายเรื่องนอกเหนือจากที่มีการพัฒนาชายหาด

บริเวณอ่าวนาจอมเทียน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวของเมืองพัทยาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของภาคตะวันออกซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมหลายประเด็นเช่น ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ปัญหาการจราจร การซ่อมแซมถนน ระบบการระบายน้ำ ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

"ผมมองว่าขณะนี้ช่วงเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีในการที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปรับปรุงกฎหมาย แก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โครงการต่างๆ ที่ค้างท่อ โครงการที่จะรองรับนักท่องเที่ยวควรเร่งทำให้เสร็จ อะไรที่ควรทำก็ทำ ไม่ใช่เปิดประเทศแล้วค่อยมาเริ่มทำ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นหากจะทำอาจก็ไม่ทันการณ์แล้ว"


วิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมเจ้าท่าได้รับนโยบายจากกระทรวงคมนาคมให้เร่งปรับปรุงชายฝั่งทางทะเลเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยล่าสุดได้ดำเนินโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นโครงการต่อเนื่องของกรมเจ้าท่า ในการบูรณะชายฝั่งในพื้นที่ภาคตะวันออกและเป็นแหล่งธุรกิจภาคการท่องเที่ยว

"ก่อนหน้านี้กรมฯ ได้ดำเนินการเสริมทรายชายหาดพัทยา เพื่อเพิ่มพื้นที่บริเวณชายหาดให้กว้างขึ้น เหมาะแก่การทำกิจกรรม และสนับสนุนการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี" 

ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าจึงได้ดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องบริเวณหาดจอมเทียนเพราะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อ และยังอยู่ระหว่างจัดสรรงบประมาณปี 2565 เพื่อศึกษาเสริมทรายชายหาดบางเสร่เพิ่มเติม

รายงานข่าวระบุว่า สำหรับชายหาดบางเสร่ที่กรมเจ้าท่า เตรียมศึกษาการเสริมทรายชายหาด อยู่ในเขตอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งทำให้ชายหาด "บางเสร่" เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ระหว่างสัตหีบและหาดจอมเทียน โดยเป็นชายหาดติดถนนที่เดินทางสะวด มีความยาวของชายหาด 1,500 เมตร รวมทั้งมีการพัฒนาพื้นที่ชายหาดรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จึงมีความเหมาะสมที่จะได้รับการพัฒนาเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมต่อกัน

วิทยา กล่าวว่า สำหรับชายหาดจอมเทียน ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่ชายหาดถดถอยและลดขนาดลงไปทุกปี ไม่เพียงพอต่อความต้องการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่ภาคพิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.จึงได้ประสานขอให้กรมเจ้าท่าดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยิ่งหนัก! พบเสียชีวิตสูง 178 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 18,912 ราย
เคาะ! 'ประกันโควิด' ป่วย-ตายที่บ้าน เคลมค่ารักษาพยาบาลได้
'3กูรูเศรษฐศาสตร์' ชี้ 3 เดือน ไทยเผชิญความเสี่ยง สาธารณสุขล่ม - ศก.ทรุด - ตกงานพุ่ง 
อีกทั้งการรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปี 2552 ได้ศึกษาและจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่อ่าวไทยตะวันออก และจัดให้พื้นที่ชายหาดจอมเทียนเป็นพื้นที่กัดเซาะรุนแรงต้องได้รับการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ส่งผลให้ในปี 2557 กรมเจ้าท่า ได้ทำการว่าจ้างสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี

โดยมีพื้นที่ศึกษาตลอดแนวชายหาดจอมเทียน ความยาว 6.2 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณหน้าร้านอาหารลุงไสวถึงบริเวณแนวโขดหินหน้าสวนน้ำพัทยาปาร์ค วอเตอร์เวิล์ด ระยะที่ 1 มีความยาว 3,575 เมตร และ ระยะที่ 2 มีความยาว 2,855 เมตร

ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า ได้ทำการว่าจ้าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนระยะที่ 1 มีระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่เดือน พ.ค.2563–พ.ย.2565 รวมระยะเวลา 900 วัน วงเงินราว 586 ล้านบาท โดยแหล่งทรายที่จะนำมาใช้เสริมบริเวณชายหาดจอมเทียนนำมาจากทิศตะวันตกของเกาะรางเกวียน ห่างจากชายหาดจอมเทียนไปทางทะเลประมาณ 15 กิโลเมตร ปัจจุบันเริ่มเสริมทรายชายหาด ตั้งแต่โรงแรมจอมเทียนชาเล่ต์จนถึงโรงแรมยู จอมเทียน พัทยา มีผลการดำเนินงานคิดเป็น 4.39%

อย่างไรก็ดี ภายหลังโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนแล้วเสร็จ จะช่วยบูรณะฟื้นฟูชายหาดจอมเทียนให้กลับมาสวยงาม และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวชายหาดจอมเทียน สร้างรายได้สู่ชุมชนและประเทศ ให้สอดรับกับนโยบายภาครัฐในการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการท่องเที่ยวและการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป
#3447



กรุงเทพฯ, 29 กรกฎาคม 2564 – เอไอเอ ประเทศไทย ภายใต้การนำของ นายกฤษณ์ จันทโนทก ซีอีโอคนไทยคนแรก เปิด 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในฐานะบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ ที่อยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงชีวิตมายาวนานกว่า 83 ปี พร้อมปักธงสร้างความเป็นหนึ่งในทุกด้าน ผ่านนวัตกรรมสินค้าและการบริการที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชั่น พร้อมช่วยเติมเต็มทุกความต้องการด้านการประกันชีวิต สุขภาพ และการวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหนุนความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้แก่คนไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ ตามคำมั่นสัญญา "Healthier, Longer, .ter Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น"

5 กลยุทธ์ ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นหนึ่ง

ต่อจากนี้ไป การขับเคลื่อนเอไอเอ ประเทศไทย จะดำเนินภายใต้ 5 กลยุทธ์สำคัญ ที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งในทุกมิติ

เอไอเอ เป็นหนึ่ง บุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด
เอไอเอ ยืนหนึ่ง นอกเหนือจากการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ เอไอเอ ต้องยืนหนึ่งในใจลูกค้า และในทุกมาตรวัด ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ขนาดธุรกิจ ดัชนีความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า รวมไปถึงสินค้าและบริการที่ดีที่สุดในตลาด
เอไอเอ ที่หนึ่ง เป็นผู้นำในการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการบริการ
เอไอเอ เป็นบริษัทเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง ด้วยประสบการณ์ในการดูแล และมอบความคุ้มครองให้แก่คนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี และเป็นบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ เอไอเอยังคงมุ่งมั่นและไม่หยุดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วทุกภูมิภาค ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ​ เอไอเอ ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนบริบทจากการเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม หรือ Payor เป็น Partner ที่คอยอยู่เคียงข้างในทุก ๆ วัน เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น



นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า "แม้เราจะเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทยมายาวนาน แต่เราจะไม่หยุดความสำเร็จไว้เพียงตรงนี้ เพราะต่อจากนี้ไปเอไอเอ ประเทศไทย ต้องเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่งในทุกด้าน โดยการเป็นที่หนึ่งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อองค์กรและพนักงานของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำให้ลูกค้าของเอไอเอกว่า 5.2 ล้านราย ตลอดจนคนในสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด จากหลากหลายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการวางแผนทางการเงินในระยะยาวที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ตลอดจนตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น อันถือเป็นพันธกิจสำคัญที่เรายึดถือ โดยมีเอไอเอเป็นพาร์ทเนอร์อยู่เคียงข้างดังเช่นตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา"

ที่หนึ่งแห่งความมุ่งมั่น ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่คนไทย ด้วย 3 นวัตกรรมใหม่
จากความท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีความรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายมิติ ด้วยความตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว เอไอเอ ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ครอบคลุมวิถีชีวิตของคนทุกกลุ่มในยุค New Normal ควบคู่ไปกับสนับสนุนให้คนไทยได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในการเข้าถึงบริการ พร้อมลดความเสี่ยงจากการเดินทาง การพบเจอกันของทั้งฝั่งตัวแทนและลูกค้า ผ่าน 3 นวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ได้แก่

ALive Powered by AIA แอปผู้ช่วยส่วนตัว ดูแลครบ เรื่องครอบครัว เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่กำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ รวมถึงพ่อแม่มือใหม่ที่อาจขาดประสบการณ์ดูแลเจ้าตัวเล็ก ด้วย 5 ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพตามช่วงวัยที่แตกต่างกันของคนในครอบครัวอย่าง การปรึกษาแพทย์และพยาบาลออนไลน์ แชทกลุ่ม กิจกรรมไลฟ์ บทความและวิดีโอ และ ระบบบันทึกความทรงจำ พร้อมความร่วมมือระหว่างพันธมิตรชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพครอบครัว ทั้งโรงพยาบาลสมิติเวช กูรูชื่อดัง และ theAsianparent เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดการใช้งาน

AIA iSign การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ในกระบวนการสมัครทำประกันภัยแบบไม่ต้องพบหน้าจบครบในกระบวนการเดียวและมีความปลอดภัยสูง ให้ผู้สมัครทำประกันชีวิตลงนามแบบ Remote Signature (การลงรายมือชื่อจากระยะไกล) ในใบสมัคร ตลอดจนเอกสารประกอบทั้งหมด โดยมีตัวแทนเป็นผู้เสนอขายประกันแบบ Digital Face to Face ภายในระบบ iPoS+ ครอบคลุมการทำประกันทุกประเภท ซึ่งถือเป็นบริการตามแนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) ตามประกาศ คปภ. พ.ศ. 2564

AIA iService โฉมใหม่ แอปพลิเคชันรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับกรมธรรม์ไว้ครบในที่เดียว ตั้งแต่บริการยืนยันตอบรับข้อมูลกรมธรรม์ฉบับใหม่ (Freelook) การชำระเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิต ตรวจสอบสถานะสินไหม และบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในกรมธรรม์ รวมถึงการทำรายการสับเปลี่ยนกองทุนที่ลงทุนได้สำหรับลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ยูนิต ลิงค์ นอกจากนี้ ยังปรับโฉมเมนู "สิทธิพิเศษ" เมนูที่รวบรวมเอกสิทธิ์และสิทธิพิเศษจากพันธมิตรไว้มากมายสำหรับลูกค้าเอไอเอ และสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ พร้อมให้ลูกค้าได้เข้าถึงบริการได้สะดวกครบรอบด้าน ง่าย จบ ครบในแอปเดียว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และสอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal

"สุดท้ายนี้ผมมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 5 ข้อ ประกอบกับนวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เอไอเอในฐานะบริษัทเพื่อคนไทย ให้สามารถเติบโตและอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อเอาชนะทุกอุปสรรคร่วมกันได้อย่างยั่งยืน" นายกฤษณ์ กล่าวเสริม

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีบริษัทมีแผนงานรองรับบริการด้านงานเคลมสำหรับรูปแบบการรักษาใหม่ Home Isolationกรณีคนไข้ที่เป็นลูกค้าป่วยโควิดอย่างไร นายกฤษณ์​ กล่าวตอบว่า เอไอเอ ดำเนินงานตามกฎระเบียบและมาตรฐานของ คปภ. ดังนั้น ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเอไอเอ เป็นโรคจากการติดเชื้อโควิด 19 และแพทย์ระบุให้รักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation หรือการแยกกักตัวที่บ้าน ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยผลประโยชน์ความคุ้มครองยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขตามกรมธรรม์ ซึ่งผู้เอาประกันภัยที่ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของเอไอเอ ที่มีความคุ้มครองในส่วนของรักษาพยาบาลในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) จะได้รับความคุ้มครองผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์ และค่ายา (ตามที่แพทย์สั่ง) โดยรายละเอียดเงื่อนไข ทางเอไอเอ จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เมื่อสรุปกับทาง คปภ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า ประเมินตัวเลขภาพรวมในการจ่ายสินไหมโควิดที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมประกันชีวิตของไทยไว้อย่างไร มากน้อยขนาดไหนในแง่เอไอเอประมาณการไว้อย่างไร นายกฤษณ์​ ตอบว่า​ เอไอเอ เราไม่สามารถประเมินตัวเลขการจ่ายสินไหมจากโควิด 19 ได้ คงต้องรอตัวเลขจากทางสมาคมประกันชีวิตและสมาคมประกันวินาศภัย ที่จะออกมารายงาน และสำหรับเอไอเอ เราไม่มีประกันที่คุ้มครองโควิด 19 โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ประกันสุขภาพของเราทุกแผน ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงโรคโควิด 19 อยู่แล้วตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ซึ่งจากรายงานล่าสุด เอไอเอ ประเทศไทย ได้ทำการจ่ายผลประโยชน์ในกรณีเสียชีวิตแล้วมากกว่า 100 ราย และการจ่ายเคลมค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงการเจ็บป่วยจากโรคโควิด 19 ไปแล้วมากกว่า 7,000 ราย
#3448



เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 9 / 2564 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เห็นชอบการผ่อนเวลาชำระหนี้ 6 เดือน แก่ลูกหนี้กองทุนผู้สูงอายุทุกคน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 31 มีนาคม 2565 โดยผู้กู้ยืมสามารถขอผ่อนชำระหนี้ด้วยตนเองได้ที่กองทุนผู้สูงอายุ หรือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด (พมจ.)

ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้กู้ยืมสามารถขอแบบผ่อนชำระหนี้ผ่านทางโทรศัพท์ กองทุนผู้สูงอายุ หรือ พมจ.ได้ โดยจะจัดส่งเอกสารไปให้ผู้กู้ยืม ผู้ค้ำประกันและพยาน ลงนามในเอกสาร พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนรับรองสำเนาถูกต้อง และส่งเอกสารกลับมายังกองทุนผู้สูงอายุ หรือ พมจ. สอบถามรายละเอียดได้ที่ กองทุนผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ 0 2354 6100 หรือ https://www. olderfund.dop.go.th
#3450



นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า บทบาทหน้าที่หลักของดีพร้อม คือ การเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพภาคการผลิตให้อุตสาหกรรมไทย โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ดีพร้อมได้เร่งดำเนินการ คือ การบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพสถานประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล รวมทั้งสถานประกอบการที่มีต้นทุนด้านโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง จะต้องลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ทั้งในด้านการจัดการสินค้าคงคลัง การจัดการคลังสินค้า การจัดการการขนส่ง และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุนโลจิสติกส์ทั้งหมด


จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ดีพร้อมจึงได้เดินหน้าเร่งผลักดันโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจโดยมีเป้าหมายในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดรวมถึงการเพิ่มความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันขององค์กร การพัฒนาระบบมาตรฐานด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานสากลของโลก เพื่อให้มีศักยภาพและได้ผลสัมฤทธิ์ต่อการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ รวมไปถึงการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ

ซึ่งต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 3 ด้านหลัก 1. ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง (Inventory Holding Cost) ได้แก่ ต้นทุนการถือครองสินค้าคงคลัง (Inventory Carrying Cost) และต้นทุนการบริหารคลังสินค้า (Warehousing Cost) 2. ต้นทุนการขนส่งสินค้า (Transportation Cost) และ 3. ต้นทุนการบริหารจัดการ (Administration Cost) นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสำหรับสถานประกอบการใน 3 มิติหลัก ๆ คือ ต้นทุน เวลา และความน่าเชื่อถือ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินธุรกิจ


ทั้งนี้ กิจกรรมสำคัญของโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลัก คือ 1. กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่อการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 2. กิจกรรมพลิกธุรกิจด้วยโลจิสติกส์กับการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ (Business Rebirth by Logistics (BRL))  3. กิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ดำเนินการโดยการ Coaching การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง (Supply Chain Network) และสร้างความร่วมมือในโซ่อุปทานทั้งภายในและภายนอกกลุ่มอุตสาหกรรม 4. กิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) สัญจรขยายผลความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค 5. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน โดยการอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับบุคลากร

"ดีพร้อมตั้งเป้าในการดำเนินงานในปี 2564 คือการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการลดลงคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาทซึ่งสถานประกอบการเป้าหมายในปี 2564 อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนโลจิสติกส์สูง ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและพลาสติก ยานยนต์และชิ้นส่วน ยางพาราและผลิตภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และสถานประกอบการ เช่น เกษตรแปรรูป และเครื่องจักรกลรวมถึงดำเนินการพัฒนาสถานประกอบการไม่ต่ำกว่า 170 กิจการ และพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรมให้มีทักษะและองค์ความรู้ด้านจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานที่นำไปใช้ได้จริงไม่ต่ำกว่า จำนวน 100 ราย" ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย
#3451



เมื่อเร็วๆนี้บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ได้เปิดโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงาน G-Cell โดยใช้เทคโนโลยี SemiSolid แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 30 MWh (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ต่อปี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง

โดยโรงงานแบตเตอรี่แห่งนี้ ถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียฯ กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ชั่วโมง(MW) ด้วยทุน 1,100 ล้านบาท และในอนาคตจะขยายขึ้นเป็น 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง(GWh) ต่อปี ตามเป้าหมายของ GPSC ที่จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 8,000 เมกะวัตต์ 

ภายในปี 2573 ตามนโยบายของบริษัทแม่ คือ ปตท. ซึ่งคาดหวังว่า โรงงานแห่งนี้ จะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต และสนับสนุนการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ตามเป้าหมายของรัฐบาล
#3452



เสียวหมี่ ผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ AIoT ใหม่เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตอัจฉริยะสำหรับผู้บริโภคในทุกด้าน ประกอบด้วย Mi Router AX9000 เราเตอร์ระดับ ไฮเอนด์ Mi 2K Gaming Monitor 27 นิ้ว จอมอนิเตอร์สุดเทพสำหรับสายเกมเมอร์ Mi Electric Scooter 3 สกู๊ตเตอร์พลังงานไฟฟ้า Redmi Buds 3 Pro หูฟังไร้สาย และ Mi Smart Air Fryer หม้อทอดไร้น้ำมันอัจฉริยะ ขนาด 3.5 ลิตร

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยทำให้ผู้ใช้งานใช้ชีวิตนอกบ้านได้สนุกยิ่งขึ้น หรือทำให้การใช้ชีวิตในบ้านเป็นเรื่องที่ง่ายดาย ไม่ว่าจะเดินทางไปทำงาน อยู่ที่โต๊ะทำงาน หรือแม้กระทั่งทำอาหารอยู่ในครัว เสียวหมี่พร้อมที่จะทำให้ทุกคนใช้ชีวิตได้สะดวก มีประสิทธิภาพ และสุขภาพดียิ่งขึ้นจากนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อการใช้ชีวิตที่สมาร์ทยิ่งขึ้น

เติมพลังชีวิตสุดสมาร์ทด้วยการเชื่อมต่อที่แข็งแกร่ง

Mi Router AX9000 เราเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อบ้านในอนาคต ที่จะกลายเป็นดิจิทัลฮับสำหรับทุกความบันเทิง เป็นเราเตอร์รุ่นแรกของเสียวหมี่ที่รองรับ Tri-Band WI-FI 61 มาพร้อมกับขุมพลังชิพเซ็ตของ Qualcomm Hexa-core processor เราเตอร์ระดับแฟลกชิพตัวนี้รองรับคลื่นความถี่ 4GHZ 1 ช่องและ 5GHZ ได้พร้อมกันถึง 2 ช่อง ยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมได้อย่างไม่มีสะดุด แม้จะเชื่อมต่อกับหลายอุปกรณ์ในช่วงเวลาเดียวกัน


Mi Router AX9000 ยังสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 8,354 Mbps2 ทั้งรองรับ high-bandwidth ไม่ว่าจะเล่นเกม ดาวน์โหลดไฟล์ หรือสตรีมหนังระดับ 4K ก็สามารถทำได้ต่อเนื่องพร้อมๆ กันแบบไม่มีสะดุด Mi Router AX9000 มาพร้อมกับเสาสัญญาณ AIoT ที่ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อและจัดการเน็ตเวิร์คของอุปกรณ์ต่างๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

Mi 2K Gaming Monitor ขนาด 27 นิ้ว  จอมอนิเตอร์สุดเทพรุ่นใหม่ของเสียวหมี่ ให้ความละเอียดคมชัดระดับ 2560 x 1440 QHD และมีอัตรารีเฟรชเรทสูงถึง 165Hz จนเหล่าเกมเมอร์ไม่สามารถละสายตาได้ หรือสามารถเล่นได้ต่อเนื่องไม่หยุดจนอัพเลเวลกันเลยทีเดียว มีเทคโนโลยีที่หนุนให้กราฟฟิกของเกมตลอดจนเนื้อหาต่างๆ บนหน้าจอมีความโดดเด่น

ทำอาหารแบบสมาร์ทและสุขภาพดีกว่าเดิม

หม้อทอดไร้น้ำมันอัจฉริยะ Mi Smart Air Fryer ขนาด 3.5 ลิตร เพราะไลฟ์สไตล์แบบสมาร์ทสามารถเริ่มต้นได้จากในห้องครัว หม้อทอดไร้น้ำมันอัจฉริยะรุ่นนี้ จะทำให้ชีวิตของพวกเราทุกคน ซึ่งง่วนอยู่กับการจัดการชีวิตของตัวเอง ไม่พลาดกับการมีสุขภาพที่ดี โดยทำให้การเข้าครัวเป็นเรื่องง่าย ดีต่อสุขภาพและที่สำคัญไม่ต้องใช้น้ำมัน

เชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่น Mi Home ได้ ผู้ใช้งานจึงควบคุมได้จากทุกที่ เซ็ตความร้อนได้ตั้งแต่ 40°C จนถึง 200°C ทำให้อาหารสุกพร้อมทานอย่างพอดี นอกจากนี้ในตัวแอปยังมีสูตรอาหารไอเดียใหม่ๆ กว่า 100 รายการที่ใช้กับ Mi Smart Air Fryer ขนาด 3.5 ลิตรนี้ได้ ทำให้การทำอาหารเป็นเรื่องง่ายดายและไม่จำเจอีกต่อไป ผู้ใช้งานสามารถตั้งเวลาในการทำอาหารได้ล่วงหน้าถึง 24 ชั่วโมง

และสามารถใช้ Voice Command จาก Google Assistant หรือ Alexa จาก Amazon ที่จะช่วยเปิด ปิด หรือแจ้งว่าเหลือเวลาที่ตั้งไว้อีกกี่นาที4 นอกจากนี้หน้าจอ OLED สุดคมชัดยังทำให้คุณชำเลืองมองเวลาและอุณหภูมิได้อย่างง่ายดาย

ยกระดับไลฟ์สไตล์ On-the-Go 

สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Mi Electric Scooter 3 นวัตกรรมใหม่จากเสียวหมี่ที่จะยกระดับการใช้ชีวิตทั้งภายในและภายนอกบ้านของพวกเรา อันที่จริงแล้ว เสียวหมี่ถือได้ว่าเป็นผู้นำในธุรกิจสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า การันตีด้วยยอดขายกว่า 4,000,000 คันทั่วโลกอีกด้วย

ถือว่าเป็นยานพาหนะคู่ใจคันใหม่ที่เอาไว้เดินทางของบรรดาชาวเมือง มาพร้อมกับฟีเจอร์และระบบความปลอดภัยที่ได้รับการพัฒนาแล้ว โดยมีสองสีให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น Onyx Black หรือ Gravity Grey นอกจากนี้ ยังมีน้ำหนักที่เบาและอัปเกรดดีไซน์มาให้พับได้ถึงสามขั้น นับว่าสะดวกสบายต่อการหิ้วหรือพับเก็บ ทั้งใส่ในรถยนต์ส่วนตัวหรือหิ้วขึ้นรถสาธารณะ

สามารถทำความเร็วได้ถึง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์สูงสุด 600W และไม่ว่าจะเจอเนินหรือหลุม Mi Electric Scooter 3 ก็สามารถเคลื่อนผ่านไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ๆ ซึ่งรวมไปถึงระบบเบรค E-ABS regenerative anti-lock และดิสก์เบรคคู่ล้อหลัง


ยิ่งไปกว่านั้น Redmi Buds 3 Pro ยังรองรับ Bluetooth 5.2 ซึ่งสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันได้ถึง 2 เครื่องแบบไม่ต้องกลัวหลุด ผู้ใช้งานจึงสามารถรับสายโทรเข้าได้ขณะที่กำลังดูวิดีโอจากแลปท็อปอยู่ โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดอีกครั้ง

นอกจากนี้ หากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง หูฟังของ Redmi Buds 3 Pro สามารถใช้งานลำพังได้นานถึง 6 ชั่วโมง หรือทั้งหมด 28 ชั่วโมงเมื่อนำไปชาร์จเข้ากับตัวเคส และเพียงชาร์จแค่ 10 นาที หูฟังจะสามารถใช้ฟังเพลงได้นานถึง 3 ชั่วโมง7

Redmi Buds 3 Pro ยังรองรับ Wireless charging ผู้ใช้งานจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการลืมสายชาร์จอีกต่อไป

เปิดราคาขาย (สกุลเงินยูโร)

Mi Router AX9000 ราคาขายเริ่มต้นที่ 299€

Mi 2K Gaming Monitor 27'' ราคาขายเริ่มต้นที่ 449€

Redmi Buds 3 Pro ราคาขายเริ่มต้นที่ 69.9€

Mi Electric Scooter 3 ราคาขายเริ่มต้นที่ 449€

Mi Smart Air Fryer 3.5L ราคาขายเริ่มต้นที่ 99€
#3453



"สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น " ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด อายุ 2 ปี และ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30 - 3.90% เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ คาดเปิดจองซื้อวันที่ 30 ส.ค. - 1 ก.ย. นี้ พร้อมวางแผนขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ 

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่าบริษัทฯ เป็นผู้นำด้านการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 50 ปี มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยในระดับโลก เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลกกว่า 30 ประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจสายไฟฟ้า ด้วยการขยายการลงทุนในไทยและต่างประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เข้าลงทุนใน Thinh Phat Electric Cable Joint Stock Company ผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศเวียดนาม ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีการเติบโตสูง ทำให้บริษัทฯ ขึ้นแท่นเป็นผู้นำด้านการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเป้าหมายมุ่งสู่ผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลขึ้นสู่ระดับ Top Ten จากอันดับที่ 14 ของโลก

บริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยต่อยอดสร้างการเติบโตในต่างประเทศ ล่าสุดบริษัทฯ ชนะการประมูลงานในประเทศเวียดนาม ได้แก่ งานสายส่งกำลังไฟฟ้า (Transmission line) ของการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) และงานโรงไฟฟ้าในเวียดนามตอนเหนือ เช่น กว๋างนิน เวียดนามตอนกลาง เช่น ดานัง และเวียดนามตอนใต้ เช่น โฮจิมินห์, เกิ่นเทอ เป็นต้น มูลค่ารวมประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้รับคำสั่งซื้อสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลจากกลุ่มประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียใต้ ได้แก่ โครงการพัฒนารถไฟฟ้าใต้ดินในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย โครงการจากรัฐบาลบังกลาเทศ และโครงการจากรัฐบาลศรีลังกา มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างรอผลประมูลงานในประเทศเวียดนาม จากภาครัฐ (B2G) และผู้ประกอบการ (B2B) โดยส่วนใหญ่เป็นงานสายส่งกำลังไฟฟ้าจากเมืองฮานอย ดานัง บิ่ญเฟื้อก โรงไฟฟ้าในดาลักและโฮจิมินห์ รวมมูลค่ากว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท คาดว่าจะทราบผลการประมูลบางส่วนภายในปีนี้ จากปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าประมูลงานโครงการใหม่เพื่อเพิ่ม Backlog อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัวจากผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม มองว่าอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้งานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น

สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้เติบโต 15 - 20% จากปี 2563 ที่มีรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ 16,917 ล้านบาท โดยวางกลยุทธ์มุ่งเน้นขายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สายไฟแรงดันระดับกลางถึงระดับสูงพิเศษเพื่อรองรับงานโครงการของภาครัฐและเอกชน รวมถึงใช้ประโยชน์จากโรงงานในเวียดนามที่มีต้นทุนการผลิตต่ำเพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายขยายตลาดส่งออกเป็น 50 ประเทศภายในปี 2564 จากปีที่ผ่านมาส่งออก 40 ประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 8%

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2564 จำนวน 2 ชุด แบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.30 - 3.50]% ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 - 3.90]% ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะมีการประกาศอีกครั้ง

บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ "BBB+" แนวโน้มอันดับเครดิต "คงที่" เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงานของบริษัทฯ ในฐานะผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัทฯ คาดว่าจะเปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อในวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายนนี้ โดยจะเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 5 ราย ได้แก่

ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) - เสนอขายเฉพาะต่อผู้ลงทุนสถาบันเท่านั้น

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 819 โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่านhttps://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) 1428 กด#4

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) โทร. 02-658-5050

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอเชีย เวลท์ จำกัด โทร. 02-207-2113

"การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างทางการเงิน รองรับแผนขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการลงทุนในตราสารเพื่อรับผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่น่าพอใจและมีความสม่ำเสมอท่ามกลางเศรษฐกิจ
#3454



เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอน ภายใต้การคุมทีมของ โธมัส ทูเคิล เฮดโค้ชชาวเยอรมัน ลงเล่นเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นนัดแรกด้วยการยกพลไปเยือน บอร์นมัธ ทีมในลีกแชมเปียนชิพ อังกฤษ

"สิงห์บลูส์" ยังไม่มีบรรดานักเตะที่ไปช่วยทีมชาติผ่านเข้าสู่รอบลึกๆ ในยูโร 2020 เช่น เมสัน เมาท์, รีซ เจมส์, เบน ชิลเวลล์, เอ็นโกโล ก็องเต้, อันเดรส คริสเตนเซน และจอร์จินโญ่ เช่นเดียวกับ ติอาโก ซิลวา ที่ไปเล่นให้กับ บราซิล ในโคปา อเมริกา

เกมนี้พวกเขาส่งนักเตะชุดผสมลงเป็น 11 คนแรก โดยมีตัวหลัก อย่าง แทมมี อับราฮัม, เกปา อาร์ริซาบาลากา, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, ฮาคิม ซิเยค, คริสเตียน พูลิซิช รวมไปถึง แดนนี ดริงก์วอเตอร์ มิดฟิลด์อังกฤษที่กลับคืนสู่ทีมอีกหลัง หลังย้ายไปเล่นให้กับ คาซิมปาซ่า ในลีกตุรกีด้วยสัญญายืมตัว

ปรากฎว่าเกมในครึ่งเวลาแรกถึงแม้ เชลซี จะเป็นฝ่ายที่โหมบุกใส่ บอร์นมัธ อย่างต่อเนื่อง แต่จังหวะจบสกอร์ยังทำได้ไม่ดีพอ และหมด 45 นาที ไปด้วยสกอร์ 0-0

ครึ่งหลัง "สิงห์บลูส์" เปลี่ยนเอาผู้เล่นอย่าง รอสส์ บาร์คลีย์, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, เอดูอาร์ เมนดี รวมถึงดาวรุ่งอีกหลายคนลงสนาม และในนาทีที่ 66 ก็กลายเป็น บอร์นมัธ ที่ออกนำก่อน 1-0 จากลูกโหม่งของ เอมิเลียโน มาร์คอนเดส

แต่ เชลซี ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มาทำ 2 ประตูรวด แซงนำ 2-1 จากการยิงของดาวรุ่ง อย่าง อาร์มานโด โบรยา ในนาทีที่ 72 และอีกหนึ่งดาวรุ่ง อย่าง อิเค อั๊กโบ ในนาทีที่ 76 และจบ 90 นาทีไปด้วยสกอร์นี้
#3455




อาเซียนนัดประชุมต้น ส.ค.นี้ ติดตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 พร้อมเดินหน้าเพิ่มบัญชีสินค้าจำเป็นที่ห้ามจำกัดส่งออก นอกเหนือจากยา และเวชภัณฑ์ ลุยเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างสภาพแวดล้อมด้านดิจิทัล และนัดคู่เจรจา 13 ประเทศ หารือเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ติดตามผลอัปเกรดเอฟทีเอ การทำเอฟทีเอกับแคนาดา

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อาเซียนได้กำหนดจัดประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน หรือ SEOM ครั้งที่ 3/52 ในวันที่ 2-4 ส.ค. 2564 และการประชุมกับประเทศนอกภูมิภาค 13 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สหรัฐฯ แคนาดา อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รัสเซีย สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 5, 11 และ 16 ส.ค. 2564 ผ่านระบบประชุมทางไกล เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEM ครั้งที่ 53 ในเดือน ก.ย. 2564

ทั้งนี้ การประชุม SEOM จะมีการติดตามการดำเนินงานสำคัญของอาเซียน โดยเฉพาะการเร่งฟื้นเศรษฐกิจภูมิภาคจากการระบาดของโควิด-19 การอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อรักษาและส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน โดยพิจารณาขยายบัญชีสินค้าจำเป็นที่อาเซียนจะไม่จำกัดการส่งออกในช่วงโควิดเพิ่มเติมจากยา และเวชภัณฑ์ เช่น อาหาร รวมถึงการเพิ่มบทบาทอาเซียนเชิงรุกในการพัฒนาภูมิภาคให้ตอบรับกับแนวโน้มของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การพัฒนาสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมจะติดตามเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานด้านเศรษฐกิจที่บรูไนฯ ในฐานะประธานอาเซียนผลักดันให้อาเซียนดำเนินการให้สำเร็จในปี 2564 ภายใต้แนวคิด "We care, we prepare, we prosper" ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการฟื้นฟู ด้านการเป็นดิจิทัล และด้านความยั่งยืน รวม 13 ประเด็น เช่น การจัดทำเครื่องมือในการประเมินมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ของประเทศสมาชิกอาเซียน การจัดทำแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และการจัดทำกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นต้น

สำหรับการประชุมอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค 13 ประเทศ จะเน้นการหารือเพื่อเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน และมีประเด็นที่ต้องติดตาม เช่น การทบทวนความตกลงการค้าสินค้าภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย การเปิดเสรีสินค้าเพิ่มเติมภายใต้พิธีสารยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และการเตรียมการเสนอรัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณาความเป็นไปได้การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา เป็นต้น

ทางด้านการค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในปี 2563 มีมูลค่า 94,623.83 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกจากไทยไปอาเซียน 55,454.28 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียน 39,169.54 ล้านเหรียญสหรัฐ เกินดุลการค้า 16,284.74 ล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วง 5 เดือนปี 2564 (ม.ค.-พ.ค.) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 45,267.41 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.44% โดยไทยส่งออกไปอาเซียน 26,224.69 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียน 19,042.71 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสำคัญของไทยในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์
#3456



บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 2,263.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,904.21 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการการดำเนินงานได้ดีท่ามกลางความท้าทายของโรคระบาดใน ASEAN และทั่วโลก

โดยบริษัทมีรายได้จากการขายเท่ากับ 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายในอย่างต่อเนื่อง มี EBITDA เท่ากับ 5,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA margin ที่ 19%

ส่วน 6 เดือนแรกปี 64 มีกำไรสุทธิ 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,636.34 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 8%

ขณะที่ ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 64 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 ส.ค.64 กำหนดวันที่ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 9 ส.ค.64
#3457



ลิเวอร์พูล เผยว่า เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังคนสำคัญว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมอุ่นเครื่องกับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน วันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้

แนวรับชาวดัตช์ ได้รับบาดเจ็บหัวเข่าอย่างหนักตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลที่แล้ว ทำให้เขาต้องพักยาวตลอดทั้งฤดูกาล แม้กลับมาซ้อมได้พักใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้ลงเล่นเกมอุ่นเครื่องสามเกมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามล่าสุด ลิเวอร์พูล ยืนยันผ่านเว็บไซต์สโมสร ระบุว่า ฟาน ไดจ์ค มีสภาพร่างกายที่ดีพอจะกลับคืนสนามในเกมอุ่นเครื่องพบ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน วันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ โจ โกเมซ กองหลังอีกคนที่พักยาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ก็ใกล้ที่จะกลับคืนสนามได้แล้วเช่นกัน

ลิเวอร์พูล ลงอุ่นเครื่องมาแล้ว 3 นัด เสมอ วัคเกอร์ อินน์สบรู๊ค และสตุ๊ตการ์ท 1-1 ซึ่งเป็นรูปแบบมินิเกม 30 นาที เมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม ต่อด้วยเกมปกติ 90 นาที เอาชนะ ไมนซ์ 1-0 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และจะเล่นเกมต่อไปเจอกับ แฮร์ธ่า ที่ติโวลี่ สตาดิโอน ติโรล วันที่ 29 กรกฏาคมนี้
#3458

  

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา การแข่งขันฟุตซอล CONTINENTAL FUTSAL CHAMPIONSHIP THAILAND 2021 กลุ่มเอ นัดแรกที่ ศูนย์การค้า Show DC Hall 1 ทีมชาติไทย เจ้าภาพ พบกับ โมซัมบิก จาก ประเทศแอฟริกา

เกมนี้ รักษ์พล สายเนตรงาม ส่ง 5 คนแรก เป็น คณิสร ภู่พันธ์, จิรวัฒน์ สอนวิเชียร, กฤษดา วงศ์แก้ว, ณัฐวุฒิ หมัดยะลาน, มูฮัมหมัด อุสมานมูซา

เริ่มเกมมา นาทีที่ 6 ไทยเกือบได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ ยิงของ อภิวัฒน์ แจ่มเจริญ ได้พามากดด้วยขวา แต่บอลไปชนเสากระเด้งออกมา นาทีที่ 7 ไทยมีโอกาสลุ้นอีกครั้งจากจังหวะยิงด้วยขวาของ พรมงคล ศรีทรัพย์แสง แต่ก็ยังโดนปัดออกไปแบบหวุดหวิด

และนาทีที่ 9 ไทยมาได้ประตูออกนำจนได้จากจังหวะที่ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ได้ลองจิ้มด้วยซ้ายเข้าประตูไปให้ ไทยนำโมซัมบิกก่อน 1-0



เท่านั้นไม่พอนาทีเดียวกัน มูฮัมหมัด อุสมานมูซา เก็บบอลได้ตรงมุมธง ก่อนจ่ายกลับไปให้ จิรวัฒน์ สอนวิเชียร ยิงเข้าไปให้ ไทยหนีห่างเป็น 2-0

นาทีที่ 10 จากลูกเตะมุม ไทยเกือบได้อีกลูกจากจังหวะที่ จิรวัฒน์ สอนวิเชียร ได้ยิงแต่บอลพุ่งไปชนเสา และนาทีที่ 11 ไทยมาได้ประตูนำห่างจากจังหวะที่ ณัฐวุฒิ หมัดยะลาน จ่ายให้ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ยิงประตูที่สองของตัวเองในเกมนี้ ไทยนำห่างเป็น 3-0

ไทยยังเดินหน้าบุกอย่างหนักนาทีที่ 17 จากลูกคิกอิน อภิวัฒน์ แจ่มเจริญ ไหลบอลให้ นาวิน รัตนวงศ์สวัสดิ์ ยิงเข้าไปให้ สกอร์ห่างเป็น 4-0



นาทีที่ 18 ไทยมาได้เพิ่มอีกประตูจากจังหวะที่ อภิวัฒน์ แจ่มเจริญ ล็อกบอลหลบนักเตะโมซัมบิก ก่อนยิงเข้าไปให้สกอร์ขยับเป็น 5-0

นาทีที่ 19 โมซัมบิกมาได้ประตูตีไข่แตก จากฟรีคิก ของโฆเซ่ ดา ซิลวา ที่ยิงด้วยซ้ายเสียบเสาเข้าไปให้ สกอร์ขยับมาเป็น 1-5

นาทีที่ 20 พีระพัฒน์ แก้ววิลัย ทำชิ่งกับ วรุฒ หวังสะมะแอล ก่อนยิงโล่งๆ เข้าไปให้สกอร์ห่างเป็น 6-1 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังเริ่มมาไม่ถึงนาที ศุภวุฒิ เถื่อนกลางได้แปบอลโล่งๆ หน้าโกล แต่กลับหลุดเสาออกไป

และนาทีที่ 22 โมซัมบิก ก็มาไล่เป็น 6-2 วาสโก มาเทอุส จ่ายให้ เนลสัน เจา หลุยส์ ยิงเข้าไป



นาทีที่ 28 โมซัมบิกไล่มาเป็น 3-6 จากจังหวะที่ เมาโร อัลแบร์โต้ ทำชิ่งกับ เนลสัน เจา หลุยส์ ก่อนยิงเข้าไป

หลังจากนั้น โมซัมบิกพยายามบุกอย่างหนักและนาทีที่ 35 คณิสร ภู่พันธ์ มาโดนไล่ออกจากการใช้มือนอกกรอบเขตโทษ

นาทีที่ 36 โมซัมบิก มาไล่เป็น 4-6 จากจังหวะยิงไกลด้วยซ้ายของ โฆเซ่ ดา ซิลวา ที่พุ่งเสียบเสาเข้าไปให้



ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม ฟุตซอลไทยเอาชนะ โมซัมบิกไป 6-4 เอาชนะนัดแรกของศึก CONTINENTAL FUTSAL CHAMPIONSHIP THAILAND 2021 ได้สำเร็จ

ส่วนผลคู่อื่นๆ

อียิปต์ ชนะ ทาจิกิสถาน 1-0
อิหร่าน ชนะ ลิทัวเนีย 5-0
อุซเบกิสถาน ชนะ โคโซโว 6-3

สำหรับโปรแกรมนัดต่อไปของฟุตซอลชายทีมชาติไทย จะพบกับ โคโซโว ที่ ศูนย์การค้า Show DC Hall 1 ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 เวลา 17.15 น. ถ่ายทอดสดทาง เพจ Futsal Thailand - ฟุตซอลไทยแลนด์, Thairath Sport - ไทยรัฐสปอร์ต และ Youtube : Thairath
#3459

 
น.ส.จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. เชิญชวนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ทางเลือก 1 วางแผนเงินออมหลังอายุ 60 ปี ควบคู่กับ กอช. เพียงออมเงินขั้นต่ำ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ได้รับเงินสมทบเพิ่มตามช่วงอายุสมาชิก สูงสุด 100% ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี นอกจากนี้ยังมีผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการลงทุน ซึ่งได้รับความค้ำประกันผลตอบแทน ไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำธนาคาร 12 เดือน เฉลี่ย 7 ธนาคาร สมาชิกสามารถออมเงินได้เมื่อมีเงิน ไม่ต้องออมเงินเท่ากันทุกเดือน สิทธิในการเป็นสมาชิก กอช.ยังอยู่ เพื่อที่จะได้มีเงินออมไว้หลังอายุ 60 ปี

ทั้งนี้สมาชิกจะได้สวัสดิการจาก 2 หน่วยงานรวมกัน ในระหว่างการทำงาน ท่านจะได้เงินทดแทนรายได้กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ค่าทำศพจากสำนักงานประกันสังคม และเมื่ออายุหลังอายุ 60 ปี จะได้บำนาญรายเดือนจาก กอช. นอกจากนี้ยังได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามเกณฑ์อีกด้วย

โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกได้ที่ แอปพลิเคชัน "กอช." หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
#3460


ธอส.เผยผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 106,231 ล้านบาท 69,705 บัญชี เพิ่มขึ้น 5.20% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 สินเชื่อคงค้างรวม 1,375,663 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 1,441,928 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 4.31% ของยอดสินเชื่อรวม ตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพื่อความมั่นคงและเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 104,390 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึง 176.13% พร้อมเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโควิด-19 ล่าสุด มีลูกค้าได้รับความช่วยเหลือผ่านทั้ง 18 มาตรการของ ธอส. ตั้งแต่ปี 63 ถึงปัจจุบันเป็นจำนวนรวมสูงสุดมากกว่า 925,000 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 796,500 ล้านบาท

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ว่า แม้ประเทศไทยจะยังคงอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และรายได้ของประชาชน แต่ ธอส. ยังคงสามารถทำหน้าที่ตามพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ธนาคารปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 106,231 ล้านบาท 69,705 บัญชี เพิ่มขึ้น 5.20% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 คิดเป็นเกือบ 50% ของเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ปี 2564 ที่ 215,641 ล้านบาท สินเชื่อ 6 เดือนแรกที่ปล่อยไปเป็นสินเชื่อที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง จำนวน 50,183 บัญชี ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,375,663 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.17% สินทรัพย์รวม 1,441,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.46% เงินฝากรวม 1,205,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.81% หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 59,268 ล้านบาท คิดเป็น 4.31% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปี 2563 ที่มี NPL อยู่ที่ 3.75% ของสินเชื่อรวม โดยมีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ 104,390 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึง 176.13% เพื่อความมั่นคงและเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบจากโควิด-19 ในอนาคต

โดยธนาคารยังคงมีกำไรสุทธิตามเป้าหมายตัวชี้วัดของธนาคารที่ 5,993 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ในระดับแข็งแกร่งที่ 15.63% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ธนาคารยังคงปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง คือ มาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำของธนาคาร และการจัดโปรโมชันของผู้ประกอบการ ช่วยให้ประชาชนกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มีบ้านเป็นของตนเองและครอบครัวได้ง่ายขึ้น โดยผลิตภัณฑ์สินเชื่อของ ธอส. ที่มีลูกค้าเลือกใช้บริการสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ



1.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 2.75% ต่อปี มียอดอนุมัติสะสมสูงถึง 23,620 ล้านบาท รองลงมา คือ สินเชื่อบ้านลูกค้าสวัสดิการ ธอส. ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยปีแรก 2.60% ต่อปี มียอดอนุมัติสะสม 11,998 ล้านบาท และ 3.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก อัตราดอกเบี้ยปีแรก 2.50% ต่อปี มียอดอนุมัติสะสม 11,215 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ธอส. ยังคงให้ความช่วยเหลือลูกค้าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านโครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ผ่าน 2 มาตรการเร่งด่วนล่าสุดที่บรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ลูกค้าทั้งที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการทั้งในและนอกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ มาตรการที่ 15 สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และมาตรการ 16 สำหรับลูกค้าที่มีสถานะ NPL หรืออยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ จะได้รับความช่วยเหลือโดยการพักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม-31 ตุลาคม 2564 เปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564



ล่าสุด ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เวลา 16.00 น. มีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 15 จำนวนเงินต้นคงเหลือ 48,880 ล้านบาท และมาตรการที่ 16 จำนวน 2,485 ล้านบาท ทำให้นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ธอส. สามารถช่วยเหลือลูกค้าผ่าน 18 มาตรการ รวมเป็นจำนวนสูงสุดมากกว่า 925,000 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 796,500 ล้านบาท โดยมาตรการที่ 15 และ 16 ลูกค้าสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการผ่าน Mobile Application : GHB ALL ได้ในวันจันทร์-ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30-15.00 น. (เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2564

ส่วนลูกค้าที่ต้องการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอขยายระยะเวลาความช่วยเหลือตามมาตรการที่ 9, 10, 11 และ 11 New Entry : แบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดต้น ตัดดอก) มาตรการที่ 13 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน และมาตรการที่ 14 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ย ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ลูกค้าสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการผ่าน Mobile Application : GHB ALL ได้ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-15.00 น. (เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564

นอกจากความช่วยเหลือในมาตรการด้านการเงิน ธอส. ยังคงให้ความช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัยโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ด้วยงบประมาณสนับสนุนรวมกว่า 5,000,000 บาท ให้หลายหน่วยงานทั้งสถานพยาบาล สถานศึกษา และสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน เป็นต้น เพื่อนำไปดำเนินการในด้านต่างๆ ที่จำเป็น เช่น การจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง การจัดซื้อเครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชันใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 การจัดสร้างไอซียูสนาม การจัดหาเก้าอี้นั่งจุดพักคอย น้ำดื่มธนาคารกว่า 100,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง ถุงยังชีพ และอาหารกล่อง สอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป