• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Jessicas

#8791


สถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้หลายคนได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่าคุณแม่ที่มีลูกน้อยที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน งานนี้ก็ทำให้ดาราสาวใจบุญอย่าง "ออม สุชาร์ มานะยิ่ง" ออกมาจัดโปรเจค #milkformom2 ช่วยเหลือเหล่าคุณแม่จำนวน 3,200 คน ด้วยการโอนเงินไว้ซื้อของให้ลูกน้อย

โดยสาว "ออม สุชาร์" ก็ได้โพสต์ภาพยิ้มอิ่มใจกับ พร้อมเขียนข้อความว่า "ในที่สุด!!!!! #milkformom2 ครบแล้วค่า 3,200 คุณแม่ ออมและทีมงานโอนเงินไปให้คุณแม่ที่ได้รับผลกระทบในช่วงสถาณการณ์โควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ หวังจะเกิดประโยชน์อย่างมากที่สุดเลยนะค้า คุณแม่สามารถตรวจสอบชื่อจากในเพจ Aom Sushar Official ได้ค่ะ

ขอขอบคุณทีมงานจิตอาสาทุกท่านที่มาช่วยกันในโปรเจคนี้นะคะ ทุกคนมีภาระหน้าของตัวเองแต่ก็สลับสับเปลี่ยนกันมาช่วยออม ออมขอบคุณมากจริงๆค่ะ

และออมกับพี่แอมต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่สามารถช่วยเหลือจะคุณแม่ได้ครบทุกท่านที่ส่งเข้ามา แต่จะขอเป็นกำลังใจให้ เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันค่ะ และขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ของออมและพี่แอมที่ได้ร่วมสบทบทุนมาเพิ่มเติมในโครงการนี้ด้วยนะคะ หากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ทางออมและทีมงานต้องขอภัยด้วยนะคะ" งานนี้ก็มีแฟนๆ เข้ามาร่วมอนุโมทนาบุญกันเพียบ
#8792


ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 271.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 35,064.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 26.44 จุด หรือ 0.60% ปิดที่ 4,429.10 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 114.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 14,895.12 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 4% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19

โมเดอร์นาเปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 4,200 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 เดือนระหว่างเดือนเม.ย.-มิ.ย. หรือราว 140,000 ล้านบาท

โมเดอร์นา ระบุว่า บริษัทจะผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 800-1,000 ล้านโดสในปีนี้ และขณะนี้บริษัทได้ลงนามในสัญญาส่งมอบวัคซีนวงเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า

ทั้งนี้ โมเดอร์นามีกำไร 6.46 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.96 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 4,350 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4,200 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในไตรมาส 2 ของโมเดอร์นายังคงต่ำกว่ายอดขายของไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 7,800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 หรือราว 260,000 ล้านบาท และบริษัทได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนในปีนี้สู่ระดับ 33,500 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 26,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวเลขจ้างงานตัวสุดท้าย ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล

นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ส่งสัญญาณในการกล่าวถ้อยแถลงวานนี้ว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดา กล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 6.7% สู่ระดับ 7.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.41 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ 2.391 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 1.459 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
#8793


จากข่าวช็อกแฟน.ทั่วโลก เมื่อสโมสรบาร์เซโลนา ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกาสเปน แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า ถึงแม้ทั้งสโมสรและ "ลิโอเนล เมสซี" ดาวเตะทีมชาติอาร์เจนตินา ได้บรรลุข้อตกลงเรื่องสัญญาฉบับใหม่และมีความประสงค์ชัดเจนว่าต้องการเซ็นสัญญากัน แต่สุดท้ายสิ่งนี้ก็ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากติดขัดเรื่องการเงินและกฎการลงทะเบียนผู้เล่นของลาลีกา

"ด้วยเหตุนี้ เมสซีจึงไม่สามารถอยู่กับบาร์เซโลนาได้อีกต่อไป ทั้งสองฝ่ายรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ความต้องการของทั้งผู้เล่นและสโมสร ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ สโมสรขออวยพรให้เมสซีโชคดีกับเส้นทางค้าแข้งกับต้นสังกัดใหม่" แถลงการณ์สโมสรบาร์เซโลนา ระบุ

อันที่จริง บาร์เซโลนาบรรลุสัญญาฉบับใหม่กับเมสซียาวถึงปี 2026 ไปแล้ว แต่ด้วยค่าเหนื่อยหลายแสนยูโรต่อสัปดาห์ของเมสซี จะทำให้บาร์เซโลนาใช้เงินเกินกว่าที่ลาลีกากำหนดไว้ จึงไม่ได้รับการอนุมัติจากลาลีกาให้เซ็นสัญญากัน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงกันไว้แล้วก็ตาม

ดาวเตะระดับโลก วัย 34 ปี เซ็นสัญญาฉบับแรกกับบาร์เซโลนาในปี 2000 ขณะอายุเพียง 13 ปี และลงเล่นให้สโมสรทุกรายการรวม 778 นัด ยิงได้ 672 ประตู และมีส่วนช่วยบาร์ซาคว้าแชมป์รวม 35 รายการ จนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาฉบับเดิมเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา

ขณะที่บรรดาสโมสรใหญ่จากหลายประเทศต่างแสดงความสนใจดึงตัวแข้งซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนตินา ที่กลายเป็นนักเตะฟรีเอเยนต์ที่สามารถย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัว และจะเป็นการย้ายทีมครั้งแรกในเส้นทางอาชีพของเมสซีด้วย


มีรายงานว่า ค่าเหนื่อยในสัญญาฉบับใหม่ที่บาร์ซาตกลงกับเมสซีได้แล้วแต่สุดท้ายล่มไปนั้น สูงถึงประมาณ 70 ล้านยูโรต่อปี หรือคิดเป็นราว 1.13 ล้านยูโรต่อสัปดาห์เลยทีเดียว

ดังนั้น หากประเมินจากความเป็นไปได้ ณ เวลานี้ มีอยู่ 6 สโมสรที่อาจมีศักยภาพและเงินทุนมากพอที่จะเป็นจุดหมายต่อไปของดาวเตะวัย 34 ปี

1. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (เปแอสเช)

ณ ขณะนี้ เปแอสเช ถือเป็นเต็งอันดับ 1 ที่จะได้เมสซีไปร่วมทีม เพราะมีอำนาจเงินเหนือกว่าทีมใหญ่อื่น ๆ

ยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสสามารถเสนอโอกาสให้เมสซีได้ลงเล่นร่วมกับนักเตะพรสวรรค์มากมาย หลังจากคว้าตัวผู้เล่นใหม่อย่าง จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มิดฟิลด์เลือดดัตช์, จานลุยจิ ดอนนารุมมา นายด่านทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ยูโร 2020 และเซอร์จิโอ รามอส ปราการหลังจอมเก๋าชาวสเปน


ขณะเดียวกัน เปแอสเชอาจมีภาษีเหนือกว่าทีมอื่น ๆ ตรงที่มีนักเตะชื่อ "เนย์มาร์" แข้งชาวบราซิลที่สนิทกับเมสซีตั้งแต่สมัยเล่นด้วยกันที่บาร์เซโลนา และหากเมสซีย้ายมาประสานงานกับเนย์มาร์อีกครั้ง เปแอสเชจะกลายเป็น "เต็ง 1" คว้าแชมป์ "ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก" ฤดูกาล 2021/22 โดยทันที

2. แมนเชสเตอร์ ซิตี

การได้กลับมาร่วมงานกับ "เปป กวาร์ดิโอลา" อีกครั้งอาจเป็นข้อได้เปรียบสำหรับ "เรือใบสีฟ้า" ที่จะได้ลายเซ็นจอมทัพเลือดอาร์เจนไตน์มาครอง เพราะกุนซือชาวสเปนและเมสซีต่างชื่นชมและให้ความเคารพกัน หลังทั้งคู่เคยร่วมงานที่บาร์เซโลนายุคที่ประสบความสำเร็จที่สุด

ช่วงปี 2008-2012 บาร์ซาภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอลาและมีเมสซีเป็นแกนหลักในแนวรุก โกยถ้วยแชมป์รวม 14 รายการ ถือเป็นยุคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรคาตาลัน

ปัจจุบัน กวาร์ดิโอลาซึ่งเป็นผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี กำลังเดินหน้าแผนล่าตัว "แฮร์รี เคน" ดาวยิงทีมชาติอังกฤษจากท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส หลังเพิ่งกระชาก "แจ็ค กรีลิช" ตัวรุกเลือดผู้ดีจากแอสตัน วิลลา ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะเสริมทัพด้วยการเซ็นสัญญาเมสซีอีกคนนั้น "เหลือน้อยมาก"


- เมสซีฟังแท็กติกจากกวาร์ดิโอลา สมัยยังร่วมงานกันในถิ่นคัมป์นูเมื่อปี 2010 -

ล่าสุด กวาร์ดิโอลายืนยันแล้วว่า แมนฯ ซิตีจะไม่เซ็นสัญญากับเมสซี เพราะทีมเพิ่งทุ่มเงินซื้อกรีลิชและมอบหมายเลข 10 ให้กับแข้งอังกฤษรายนี้ไปแล้ว

"ก่อนหน้านี้คิดว่าเขา (เมสซี) จะอยู่กับบาร์ซาต่อ ดังนั้น เมสซีจึงไม่อยู่ในแผนของเราตอนนี้"

3. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 "ปิศาจแดง" คู่แค้นร่วมเมืองของแมนฯ ซิตี ก็มีโอกาสร่วมวงล่าลายเซ็นของเมสซีเช่นกัน เพราะความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายผู้เล่นที่ผ่านมา พิสูจน์ให้ทุกทีมเห็นแล้วว่า แมนฯ ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่มีความมั่นคงทางการเงินแถวหน้าของโลก

ถึงแม้ "โอเล กุนนาร์ โซลชาร์" กุนซือชาวนอร์เวย์ อาจจะต้องเปลี่ยนระบบการเล่นของทีม เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของดาวเตะทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ก็น่าจะคุ้มค่าไม่น้อยหากคว้าตัวเมสซีมาร่วมทัพได้ เพราะนอกจากจะได้ตัดหน้าคู่แข่งร่วมเมืองแล้ว ยังเพิ่มโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013 ด้วย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ดูเหมือนว่าตำแหน่ง "มิดฟิลด์ตัวรับ" เป็นจุดที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องการเสริมมากกว่าแนวรุก หลังเพิ่งได้ตัว "เจดอน ซานโช" ปีกจอมเทคนิคทีมชาติอังกฤษจาก "โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์" ที่ตามทาบทามตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลที่แล้ว

วันนี้! เช็คเงินเยียวยา 'ประกันสังคม ม.33' ไม่เข้าบัญชี เช็กสาเหตุ 'www.sso.go.th'
ก่อนซื้อทำอย่างไร เมื่อ 'ฟ้าทะลายโจร' ขาดตลาด ราคาพุ่ง เจอของปลอม
อาคาร 100 ปี 'วังค้างคาว' เคยเป็นของใครมาแล้วบ้าง? ชวนย้อนรอยก่อนเปลี่ยนมือ
4. เชลซี

"สิงห์บลู" สโมสรดังแห่งลอนดอน เจ้าของแชมป์ยุโรปปีล่าสุด เป็นทีมที่ 3 จากพรีเมียร์ลีกที่สามารถดึงตัวดาวเตะระดับโลกอย่างเมสซีมาสวมยูนิฟอร์มได้ เพราะมีเงินทุนสนับสนุนหลายพันล้านจาก "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เชลซีกำลังโฟกัสกับแผนคว้าตัว "โรเมลู ลูกากู" กองหน้าชาวเบลเยียมด้วยค่าตัวสถิติสโมสร แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจเบนเข็มมาที่แข้งอาร์เจนไตน์ได้เช่นกัน

หากได้เมสซีมาร่วมทัพ น่าจะช่วยเพิ่มสถิติถล่มประตูให้กับเชลซีได้ตามที่ "โธมัส ทูเคิล" กุนซือชาวเยอรมันต้องการ ด้วยผลงานซัลโวกว่า 30 ประตูให้กับบาร์ซาในทุกรายการเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

5. ยูเวนตุส

การดึงตัว เมสซี มาประสานงานร่วมกับ "คริสเตียโน โรนัลโด" แข้งระดับโลกชาวโปรตุเกส น่าจะเป็นเกมรุกในฝันของแฟน.หลายคน และ "ยูเวนตุส" ยักษ์ใหญ่แห่งกัลโช เซเรียอา ก็มีศักยภาพมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้

ทีมม้าลายแต่งตั้ง "แม็กซ์ อัลเลกรี" ยอดกุนซือชาวอิตาลีคุมทัพรอบที่สองเมื่อไม่นานนี้ และชื่อชั้นของอัลเลกรี อาจช่วยดึงดูดให้เมสซีอยากมาร่วมงานกับหนึ่งในผู้จัดการทีมแถวหน้าของวงการลูกหนัง

หลังจากทำผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาลที่แล้ว ยูเวนตุสจึงต้องการเสริมทัพที่แข็งแกร่งอยู่แล้วให้น่าเกรงขามยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมสู้ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในฤดูกาลที่จะถึงนี้

6. อินเตอร์ ไมอามี

ถึงแม้ "เมเจอร์ลีก" ในสหรัฐ อาจเป็นจุดหมายปลายทางที่เมสซีต้องการไปค้าแข้งน้อยที่สุด แต่ก่อนหน้านี้ สื่อหลายสำนักรายงานว่า กัปตันทีมฟ้าขาวมีแผนย้ายไปฟาดแข้งในอเมริกาก่อนแขวนสตั๊ด

เมื่อดูจากชื่อชั้นของทีมในเมเจอร์ลีก ดูเหมือนว่า "อินเตอร์ ไมอามี" จะเป็นทีมจากเมเจอร์ลีกที่ถูกโยงกับการย้ายทีมของเมสซีมากที่สุด เนื่องจาก "เดวิด เบ็คแฮม" อดีตแข้งซูเปอร์สตาร์ชาวอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของสโมสรร่วมของอินเตอร์ ไมอามี กำลังพยายามสร้างทีมให้พร้อมสำหรับการไล่ล่าแชมป์หลายรายการ


จากรายชื่อทั้ง 6 ทีมเหล่านี้ หลายฝ่ายคาดว่า เปแอสเช มีโอกาสมากที่สุดในการดึงตัวเมสซีไปร่วมทัพ และล่าสุดตัวแทนทั้งสองฝ่ายเปิดเจรจากันแล้ว

ฟาบริซิโอ โรมาโน เหยี่ยวข่าวกีฬาชาวอิตาลีซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูง รายงานเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ว่า เปแอสเช มั่นใจมากที่จะได้เมสซีไปร่วมทีม หลังจากเปิดโต๊ะเจรจากับนักเตะโดยตรง อีกทั้งมีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้ในไม่ช้า
#8796


"วีริศ" เผยที่ประชุมร่วม 4 หน่วยงานเห็นพ้องใช้มาตรการ "Bubble and Seal" แยกผู้มีความเสี่ยงในโรงงานกักตัวและทำงานต่อเนื่อง หวังภาคผลิตไม่สะดุด ลดการกระจายความเสี่ยงผู้ติดเชื้อสัมผัสชุมชนใกล้เคียง เล็งหารือนิคมอุตสาหกรรม และหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งด่วน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงหรรษา รักษาคม ผู้อำนวยการกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค แพทย์หญิงนฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ นายปรนนท์ ฐิตะวรรโณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ (HEC) ผ่านระบบออนไลน์ ในประเด็นแนวทางการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมในสถานการณ์โควิด-19 เพื่อกำหนดนโยบายของ กนอ.เกี่ยวกับการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมในสถานการณ์โควิด-19

ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 และแนวปฏิบัติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ในการแบ่งกลุ่มพนักงานเป็นกลุ่มๆ เพื่อลดการสัมผัสระหว่างกัน หรือ Bubble And Seal และระบบดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ภายในโรงงาน (โรงพยาบาลสนามในโรงงาน) หรือ Factory Isolation โดยแบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงและความเสี่ยงต่ำให้กักตัวในสถานประกอบการ เพื่อจำกัดวงของการระบาดของไวรัสโควิด-19 และทำให้การดำเนินงานในภาคการผลิตยังดำเนินต่อไปได้ตามปกติ


"การเฝ้าสังเกตอาการของผู้มีความเสี่ยงสูงและผู้มีความเสี่ยงต่ำนั้น กรมควบคุมโรคได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรแยกจากกันอย่างชัดเจนเป็นคนละกลุ่ม และยังให้เขาทำงานได้ตามปกติ แต่ต้องเฝ้าสังเกตอาการใกล้ชิด ไม่ให้มีการข้ามกลุ่มกันไปมา ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องปิดโรงงาน ไม่เกิดการระบาดในชุมชน และพนักงานยังคงมีรายได้ เพื่อให้กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากขณะนี้ต้องยอมรับว่าภาคอุตสาหกรรมถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ ดังนั้นเราจะหามาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการให้ดำเนินงานได้อย่างดีที่สุด"

สำหรับมาตรการ Bubble and Seal จะต้องใช้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคเข้ามากำกับดูแล เช่น ต้องมีการประเมินความเสี่ยงทุกวัน ตรวจคัดกรองกลุ่มที่มีไข้ด้วยแอนติเจนท์ เทสต์ คิท กรณีมีแรงงานเข้ามาใหม่ต้องกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการดูแลด้านสังคมด้วย เช่น จัดเตรียมสถานที่พักในโรงงาน ชุมชน โรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับหากมีผู้ติดเชื้อ รวมทั้งสนับสนุนปัจจัย 4 ในการดำรงชีพ มีการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ มาตรการ Bubble and Seal ถูกใช้มาแล้วในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง และสามารถจำกัดการระบาดของไวรัสได้ดีในจังหวัดสมุทรสาครในระลอกที่ 2 ดังนั้นจึงมองว่า หาก กนอ.นำไปประยุกต์ใช้กับโรงงานในนิคมฯต่างๆทั่วประเทศ น่าจะช่วยลดการแพร่ระบาดได้ ขณะเดียวกันรูปแบบที่ใช้ต้องเหมาะสมกับประเภทกิจการพื้นที่และแรงงานด้วย

"กนอ.จะหารือกับหน่วยงานปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เร่งจัดทำมาตรการ แนวทาง และรูปแบบในการดำเนินการ รวมทั้งอาจจะมีการพัฒนาระบบการแชร์ข้อมูลเพื่อรายงานผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินผลการดำเนินงานต่อไป ขณะที่กระทรวงดิจิทัลฯพร้อมให้ความช่วยเหลือในเรื่องของสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือสัญญาณ WiFi ด้วย"
#8797


นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า คาดรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะเติบโตต่อเนื่อง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้น โดยบริษัทประเมินสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งในไตรมาส 2 ปี 2564 เฉลี่ยที่ 66.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าในช่วงที่เหลือราคาน้ำมันดิบจะแกว่งในกรอบ 60-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ บริษัทยังได้อานิสงส์จากการปรับราคาก๊าซธรรมชาติย้อนหลังตามราคาพลังงานที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 อีกด้วย

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในประเทศยังเผชิญปัญหาในการเข้าพัฒนาพื้นที่โครงการจี 1/61 (แหล่ง เอราวัณ) แม้บริษัทจะยอมรับเงื่อนไขของผู้รับสัมปทานเดิมแล้วก็ตาม จึงคาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการผลิตได้ตามสัญญาที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD)  โดยบริษัทได้จัดทำแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตในแหล่งอื่นบริเวณอ่าวไทยเข้ามาชดเชย รวมถึงการเตรียมแท่นผลิตในกรณีที่สามารถเข้าพื้นที่ได้ในระยะถัดไป

ส่วนโครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) คาดว่าจะดำเนินการได้ตามแผน จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและติดตั้งแพลตฟอร์ม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย.2564 นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมขุดเจาะและเจรจาซื้อขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ในต่างประเทศ คาดว่าจะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตโครงการ Oman Block 61 ในโอมานเต็มที่ 1,500 MMSCFD ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.9 หมื่นบาร์เรลต่อวัน ส่วนโครงการฮาสสิ เบอร์ราเคซ (HBR) ในแอลจีเรียคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ กำลังการผลิต 1-1.3 หมื่นล้านบาร์เรลต่อวัน

สำหรับโครงการลัง เลอบาห์ (Lang Lebah) ในมาเลเซียคาดว่าจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย (FID) ได้ตามแผน และจะเริ่มดำเนินการขุดเจาะได้ภายในปี 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ค้นพบเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการซาราวัก SK438 และ PM407 อยู่ระหว่างประเมินศักยภาพทางปิโตรเลียม


ในการนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายปี2573 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจพลังงานทางเลือก จะมีกำไรสุทธิ 20% ส่วนธุรกิจหลักคือการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมจะลดสัดส่วนลงเหลือ 80%

ทั้งนี้ บริษัทประเมินยอดขายไตรมาส 3 ปี 2564 จะลดลงเหลือ 4.05 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานแยกก๊าซของ บมจ.ปตท. (PTT) แต่คาดว่ายอดขายทั้งปีจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 4.12 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น จากปี 2563 หนุนให้อัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายขั้นต้น (EBITDA Margin) เติบโตตามเป้าหมายที่ 70-75%
#8798


โมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า วัคซีนโมเดอร์นา ยังคงประสิทธิภาพวัคซีนป้องกันโควิด-19 ประมาณ 93% หลังฉีดโดสแล้ว 4 - 6 เดือน หรือกล่าวได้ว่า แทบไม่เปลี่ยนแปลงตามที่เคยเผยผลทดลองทางคลินิกครั้งแรก 94% 

เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพวัคซีนคู่แข่ง อย่าง ไฟเซอร์ - ไบออนเทค ที่เผยผลการทดลองครั้งใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชี้ว่า วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพลดลงประมาณ 6% ในทุกๆ 2 เดือน หรือลดลงเหลือประมาณ 84% หลังจากที่ฉีดโดสสองแล้ว 6 เดือน 

วัคซีนโมเดอร์นากับวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งคู่เป็นเทคโนโลยี messenger RNA (mRNA)

สเตฟาน บันเซล ซีอีโอของโมเดอร์นา กล่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของโมเดอร์นา กำลังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพที่สูงถึง 93% ตลอด 6 เดือน แต่ตระหนักดีว่า สายพันธุ์เดลตาเป็นภัยคุกคามใหม่ที่สำคัญ ดังนั้นเราต้องระมัดระวังตัว 

อย่างไรก็ตาม บัลเซล แนะนำว่า จำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นก่อนฤดูหนาว เนื่องจากระดับแอนติบอดีมีแนวโน้มลดลง 


นายบันเซล กล่าวว่า บริษัทจะไม่ผลิตวัคซีนโมเดอร์นา ไปมากกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 800 - 1,000 ล้านโดสในปีนี้

"ขณะนี้ โมเดอร์นาจำกัดกำลังการผลิตในปี 2564 และเราจะไม่รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติมสำหรับการส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ในปี 2564" ซีอีโอโมเดอร์นา กล่าว

มีรายงานว่า วันนี้หุ้นโมเดอร์นาร่วงลง 3.6% สู่ระดับ 403.87 ดอลลาร์ ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหลังจากปิดที่ 419.05 ดอลลาร์ในวันพุธที่ผ่านมา
#8801


โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลงรับโควิดในประเทศ ระบาดหนัก หวั่นกระทบเศรษฐกิจ-กำไร บจ. โดยนักลงทุนต่างชาติขายถึง 5 พันล้านบาทเมื่อวานนี้ ส่งผลให้อาจมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องในวันนี้

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซึมตัวลง จากแรงขายนักลงทุนต่างชาติที่เมื่อวานนี้ขายสุทธิมากว่า 5 พันล้านบาท ทำให้ไปกดดันดัชนีฯ ซึ่งก็เป็นผลจากเงินบาทอ่อนค่า โดยวานนี้มาที่ 33.2 บาท/ดอลลาร์ฯ อ่อนค่าสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือน จากความกังวลเศรษฐกิจไทยจะชะลอกว่าที่ประเมินไว้เดิม อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ไม่ดีขึ้น และวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อ กับจำนวนผู้เสียชีวิต ได้ขึ้นทำนิวไฮอีก แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีความสามารถที่จะจัดการได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้อาจมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐฯก็บวกได้ด้วย แต่ก็อาจจะหนุนตลาดบ้านเราไม่ได้มากนัก เพราะตลาดบ้านเราให้ความสำคัญกับปัจจัยในประเทศมากกว่า ซึ่งแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/64 ส่วนใหญ่จะออกมาดี แต่ตลาดฯก็ยังขาดปัจจัยหนุน

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ติดลบเล็กน้อยมากราว 0.1-0.2% โดยยังต้องติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายวัน, การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/64, MSCI Quarterly review ซึ่งจะประกาศในวันที่ 11 ส.ค.นี้ และวันนี้ก็ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่จะออกมา

พร้อมให้แนวรับ 1,513-1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,530-1,535 จุด