• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - fairya

#8386
ผู้สูงอายุทาน ข้าวหอมมะลินิล และประโยชน์ของข้าวหอมมะลินิล ช่วยชะลอวัย  ข้าวที่มีน้ำตาลต่ำ Low Gi
ข้าวมะลินิล ข้าวหอมมะลินิล ข้าวกล้องมะลินิล ข้าวกล้องหอมมะลินิล ข้าวมะลินิลสุรินทร์  ข้าวหอมมะลินิลสุรินทร์  #ขาวกล้องมะลินิลสุรินทร์ ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุรินทร์  เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวปลอดสาร  
"ข้าวมะลินิลสุรินทร์" สุดยอดข้าวเพื่อสุขภาพ ข้าวมะลินิลสุรินทร์เป็นข้าวเจ้าสีม่วงเข้มหรือสีดำ  คุณภาพการหุงต้มของ ปลูกข้าวมะลินิลออแกนิค รับประทานดี เป็นข้าวเมล็ดเรียวยาว เปอร์เซนต์อะมิโลสต่ำเมื่อหุงสุกจะเหนียวนุ่มหอม   ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิคสำหรับทารก มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคมะเร็ง   ข้าวมะลินิลสุรินทร์ ข้าวต้านความเสื่อม    ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์ ชะลอวัย ทานแล้วไม่แก่เร็ว  Anti-Aging Rice




ประโยชน์ของ ข้าวมะลินิล/ ข้าวหอมมะลินิล (  ข้าวหอมมะลินิลอินทรีย์)
-  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิคคือ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแอนโทไซยานิน (High Antioxidants) ประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี 6 เท่า
- ข้าวมะลินิลปลอดสารพิษ มีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขาวทั่วไปถึง 62% ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, ความหิว, น้ำหนัก และลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
-   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค มี วิตามิน บี1, บี 2, บี6 และบี9 ป้องกันโรคเหน็บชา, การทำงานของระบบประสาท และช่วยในกระบวนการสร้าง DNA RNA
-   ข้าวสุขภาพมะลินิล  มี ลูทีน ช่วยปกป้องเยื่อแก้วตา (Retina) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา
-   ข้าวกล้องหอมมะลินิลออร์แกนิค  มีสานต้านอนุมูลอิสระฟีนอะลิกและแอนโธไซยานินสูง มีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้าและวิตกกังวล
- ข้าวมะลินิลปลอดสารพิษ  มีสารอนุมูลอิสระที่ได้จากการสกัดข้าวดิบและข้าวกล้องมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งสำไส้ใหญ่ มีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ที่มีในการรักษาสุขภาพ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวหอมมะลินิลสุรินทร์ ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุรินทร์    ข้าวกล้องหอมมะลินิลorganic
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000 โทร. 092-8245655
website : www.hor.boutique
Facebook : รูปภาพสำหรับข้าวสุขภาพ
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/ 
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ / ข้าวออร์แกนิค   ข้าวอินทรีย์    7 ประเภท
1. ข้าวหอมมะลิออแกนิคคือ  2.   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์   3.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์ (ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์ 6. ข้าวกล้องมะลินิลอินทรีย์ 7.  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์กรมการข้าว


#ข้าวมะลินิล #ข้าวหอมมะลินิล #ข้าวกล้องมะลินิล #ข้าวกล้องหอมมะลินิล #ข้าวมะลินิลสุรินทร์  #ข้าวหอมมะลินิลสุรินทร์  #ข้าวกล้องมะลินิลสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุรินทร์ #ข้าวมะลินิลอินทรีย์  #ข้าวหอมมะลินิลอินทรีย์ #ข้าวมะลินิลปลอดสาร #ข้าวหอมมะลินิลปลอดสาร  #ข้าวกล้องมะลินิลปลอดสาร #ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสาร #ข้าวมะลินิลเพื่อสุขภาพ #ข้าวหอมมะลินิลเพื่อสุขภาพ #ข้าวกล้องมะลินิลสุขภาพ   #ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุขภาพ

 

 

 
 
#8387


ดาบิด เด เคอา นายประตู แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สวมบทฮีโร่เซฟจุดโทษช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนช่วยให้ แมนฯยู ควัก 3 แต้มกลับบ้านแบบหืดขึ้นคอจากชัยชนะเหนือ เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด 2-1 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด 1-2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

คู่น่าสนใจวันอาทิตย์ เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด อันดับ 8 มี 8 แต้ม เปิดบ้านเจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับ 3 มี 10 แต้ม เกมนี้ 'ขุนค้อน' ส่ง นิโคลา วลาซิช ยืนเป้าและ ซาอิด เบนราห์ม่า ทำเกม ส่วน 'ผีแดง' ดัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยืนหน้าเป้าและมี บรูโน่ เฟอร์นานเดส กับ พอล ป๊อกบา เชื่อมเกมแดนกลาง

เริ่มเกม 4 นาที แมนฯยู ได้เตะมุม ลุค ชอว์ เปิดเข้ามาให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ โหม่งแต่ข้ามคาน ขณะที่ นาที 21 เวสต์ แฮม เกือบทำได้ จาร์ร็อด โบเวน แย่ง.หน้าประตูแล้วยิงติดเซฟ ดาบิด เด เคอา .เด้งคืนให้ โทมัส ซูเช็ก ตะบันดาบสองแต่ข้ามคาน

แมนฯยู บุกแหลกแต่ นาที 30 ขุนค้อน ขึ้นนำแบบมีดวง ซาอิด เบนราห์ม่า เห็นช่องยิงเต็มแรงแล้ว.แฉลบ ราฟาเอล วาราน เข้า 1-0 แต่นาที 34 ผีแดง ก็กลับมาได้ บรูโน่ เฟอร์นานเดส โยนโด่งให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จิ้ม.ติดเซฟ ลูคัส ฟาเบียนสกี แต่ยังวิ่งมาซ้ำสองตุง 1-1 และจบครึ่งแรกที่ผลนี้

ครึ่งหลัง นาที 46 แมนฯยู หวิดแซง บรูโน่ เฟอร์นานเดส แปะสั้นให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ วิ่งไปสับไกแต่ ลูคัส ฟาเบียนสกี พุ่งมาเซฟทัน ข้ามมา นาที 74 เจสซี ลินการ์ด ลงสนามมาถวายพานให้ บรูโน่ เฟอร์นานเดส ลองยิงไกลแต่ ลูคัส ฟาเบียนสกี เซฟอีกแล้ว

ท้ายเกม นาที 88 แมนฯยู ได้ลูกที่ต้องการ เจสซี ลินการ์ด เลื้อยหักเข้าขวาแล้วยิงเสียบสามเหลี่ยมแซง 2-1 แต่ทดเจ็บ นาที 93 เวสต์ แฮม ได้จุดโทษหลัง ลุค ชอว์ เผลอทำแฮนด์. มาร์ค โนเบิล ลงสนามมาสังหารแต่ ดาบิด เด เคอา ซูเปอร์เซฟช่วยทีมไว้ จบเกม แมนฯยู เก็บ 3 แต้มกลับบ้านแบบหืดขึ้นคอ

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด - ลูคัส ฟาเบียนสกี, แองเจโล่ อ็อกบอนน่า, เคิร์ต ซูม่า, อารอน เครสเวลล์, วลาดิเมียร์ คูฟัล, ซาอิด เบนราห์ม่า, เดแคลน ไรซ์, โทมัส ซูเช็ก, จาร์ร็อด โบเวน, พาโบล ฟอร์นัลส์, นิโคล่า วลาซิช
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - ดาบิด เด เคอา, แฮร์รี แม็คไกวร์, ราฟาเอล วาราน, ลุค ชอว์, อารอน วาน-บิสซาก้า, บรูโน่ เฟอร์นานเดส, เฟร็ด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, พอล ป๊อกบา, เมสัน กรีนวูด, คริสเตียโน่ โรนัลโด้
#8391

อัตรการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในขณะนี้เป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มองเวียดนามในฐานะฐานการผลิตที่มีศักยภาพ แต่สำหรับธุรกิจการค้าและบริการต่างชาติยังคงต้องเผชิญกับกฎระเบียบของเวียดนาม ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของธุรกิจต่างชาติในประเทศสังคมนิยมแห่งนี้

นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า บริษัทต่างชาติจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนดำเนินกิจการในเวียดนามกำลังต้องเผชิญกับอุปสรรคจากระบบการประเมินความจำเป็นทางเศรษฐกิจ (economic needs test) หรือ "อีเอ็นที"

โดยระบบดังกล่าวบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2007 เมื่อเวียดนามเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ซึ่งให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเวียดนามในการประเมินและตัดสินว่า จะอนุญาตให้ธุรกิจต่างชาติลงทุนเปิดสาขาถูกกฎหมายเชื่อถือได้ใหม่หรือไม่

ซึ่งระบบอีเอ็นทีกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ธุรกิจต่างชาติหลายรายต้องถอดใจจากการขยายธุรกิจในเวียดนาม เนื่องจากกระบวนการพิจารณาที่ล่าช้าและที่ไม่ชัดเจน

อย่างกรณี "อีมาร์ต" (E-Mart) เชนร้านค้าปลีกรายใหญ่อันดับ 2 ของเกาหลีใต้ที่เข้ามาลงทุนเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาแรกในนครโฮจิมินห์ตั้งแต่ปี 2015 แต่อีมาร์ตไม่สามารถขยายสาขาได้ เนื่องจากต้องเผชิญอุปสรรคจากระบบอีเอ็นที


ทั้งที่ธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามมีแนวโน้มที่ดีมาก ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย "นีลเส็น โฮลดิ้งส์" ระบุว่า จำนวนร้านสะดวกซื้อในเวียดนามปี 2020 เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อนหน้า ขณะที่จำนวนซูเปอร์มาร์เก็ตก็เพิ่มขึ้น 3.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน

กระทั่งเดือน พ.ค. 2021 อีมาร์ตก็ตัดสินใจขายหุ้น 100% ให้กับ "ทาโก้ กรุ๊ป" (THACO Group) ธุรกิจยักษ์ใหญ่อันดับ 4 ของเวียดนาม และเป็นผู้ผลิตรถยนต์ รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อย่าง "มาสด้า" และ "เปอโยต์"

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว อีมาร์ตจะได้รับค่าสิทธิ (royalty fee) ตามสัญญาแฟรนไชส์จนถึงปี 2030 ขณะที่ทาโก้ กรุ๊ป ตั้งเป้าจะเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มอีก 3-4 สาขาภายในปี 2022 พ่วงกับการขยายโชว์รูมรถยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท

ลักษณะเช่นนี้ยังเกิดกับธุรกิจข้ามชาติรายอื่น เช่นที่ "เซเว่นอีเลฟเว่น" ที่ขายสิทธิแฟรนไชส์ให้กับ "เซเว่น ซิสเต็ม เวียดนาม" และ "ดังกิ้น โดนัท" ที่ดำเนินการโดย "เวียดนาม ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ"


ขณะที่ธุรกิจต่างชาติบางรายก็เลือกใช้ช่องทางหลบเลี่ยงระบบอีเอ็นที เช่น การเปิดสาขาใหม่ในห้างสรรพสินค้าและมีขนาดร้านไม่เกิน 500 ตร.ม. ซึ่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านการประเมินของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น

"เฟรด เบิร์ก" ที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย เบเคอร์ แมคเคนซี ระบุว่า กระบวนการอีเอ็นทีเป็นภาระหนักและเป็นอุปสรรคที่สร้างความล่าช้าในการเติบโตให้กับบริษัทต่างชาติ ทั้งยังเป็นการฉุดรั้งการลงทุนจากต่างประเทศและการเติบโตของเวียดนามด้วย

ขณะที่ "ฌอน ที โงะ" ซีอีโอของบริษัทที่ปรึกษาการตลาด เอฟวี แฟรนไชส์ คอนซัลติ้ง มองว่า เวียดนามยังคงเป็นตลาดกำลังพัฒนาและธุรกิจท้องถิ่นยังต้องการเวลาเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขัน "ซึ่งระบบอีเอ็นทีช่วยให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศค่อยเป็นค่อยไปและสามารถควบคุมได้"

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามเริ่มผ่อนปรนข้อกำหนดมากขึ้น โดยอนุญาตให้บริษัทในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) และประเทศสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ไม่ต้องอยู่ภายใต้ระบบอีเอ็นที แต่บริษัทต่างชาติอื่น ๆ ยังคงถูกจำกัดควบคุม ท่ามกลางโอกาสในเศรษฐกิจของเวียดนามที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
#8392


ในเมื่อรัฐบาลก็ประกาศว่าขยะเป็นวาระแห่งชาติแล้ว ประชาสังคมก็ขานรับ ว่าขยะพลาสติกเป็นปัญหาที่เราจะร่วมมือกันความร่วมใจแบบนี้ไม่ค่อยมีบ่อยหรอกนะครับ

ถ้าใครจำตอนบังคับสวมหมวกกันน็อคได้ คนจำนวนหนึ่งคัดค้าน เอะอะ ตีโพยตีพายเผาหมวกกันน็อคโชว์เพื่อประท้วง แถมยืนยันว่าไม่สวม แล้วจะหนักศีรษะใคร

ผ่านไปหลายปีกว่าจะค่อยๆ สงบลงและดูจะค่อยๆ ร่วมมือดีขึ้นหน่อย ดังนั้นเมื่อสังคมและราชการเห็นพ้องเรื่องพิษภัยจากขยะพลาสติก เรื่องก็น่าจะราบรื่น

ยิ่งเมื่อมีการจับกุมดำเนินคดีโรงงานที่ลักลอบนำขยะเข้าบ้าง สำแดงเท็จบ้าง ก็น่าจะทำให้กำราบกันได้ แต่เปล่าครับ!

เผลอแว้บเดียว นอกจากการเล่นกลในเขตปลอดอากรของกฏหมายศุลกากรแล้ว ฝ่ายผู้นำเข้าเศษพลาสติกจำนวนหนึ่งก็ไปเจอช่องทางน่าสนใจในกฏหมายนิคมอุตสาหกรรม ว่ามีมาตรา 48 49 และ 54

โดยมาตรา 48 บอกว่า ให้ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฏหมายศุลกากร และให้รวมสิทธิประโยชน์ในกรณีดังต่อไปนี้ด้วย...

อันนี้เข้าใจง่ายอยู่ เพราะไม่ค่อยต่างจากเขตปลอดอากรนั่นเอง

แต่ในมาตรา 49 "ในกรณีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือนำวัตถุดิบภายในเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดเกี่ยวกับของนั้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ของนั้นได้" รับยกเว้นไม่อยู่ภายในบังคับของกฏหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตราหรือเครื่องหมายใดๆแก่ของนั้น"

แต่ไม่รวมถึงกฏหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด

ในกรณีที่ของตามวรรคหนึ่งเป็นของที่ก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อ....สุขภาพอนามัยของประชาชน หรือสิ่งแวดล้อม หรือเป็นของซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีตามข้อผูกพันตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร  การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ให้รัฐมนตรี (อุตสาหกรรม) มีอำนาจออกกฏกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของดังกล่าวมิให้ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่งได้ ทั้งนี้ จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขใดๆเกี่ยวกับของนั้นไว้ด้วยก็ได้

และเมื่อส่องไปที่ มาตรา 54 พูดถึง ...ของที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในเขตประกอบการเสรี ในกรณีที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบพาณิชกรรมขออนุญาตต่อ กนอ. (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) เพื่อทำลาย.....ให้ กนอ.แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชกรรมแล้วแต่กรณี และแจ้งอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ที่แธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรสั่งดำเนินการทำลายขงนั้นตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด

ในกรณีที่ กนอ. ไม่อาจแจ้งบุคคลตามวรรคหนึ่งทราบได้ เมื่อ กนอ. ได้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานของบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในเขตประกอบการเสรีเป็นเวลา 7 วันให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับทราบแล้ว

ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฏหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต

อ่านแล้วพอมองเห็นความเป็นไปได้มั้ยครับ

ประกอบกับ เมื่อ 23 กรกฏาคม 2561 มีประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม ยกเลิกหลักเกณฑ์ วิธีการเกี่ยวกับการอนุญาตให้นำเศษ เศษตัด และของที่ใช้ไม่ได้ซึ่งเป็นพลาสติกไม่ว่าใช้แล้วหรือไม่ก็ตามเข้ามาในราชอาณาจักร พศ.2551 แล้วให้โควต้าโรงงานเดิมนำเข้าได้จนถึงกันยายน 2563

อ่านถึงตรงนี้ เราน่าจะรู้สึกแปลกๆ ทีเดียวละครับ

ว่าตกลงมีใครสามารถเอาของน่าสงสัยเข้ามาแล้วทำลายไปตามข้อกติกาข้างต้นไปบ้างแล้วหรือไม่เพียงใด
เพราะได้รับยกเว้นการบังคับจากหลายกฏหมายน่าดู

จุดนี้เอง ทำให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เมื่อทราบข่าวว่าปีนั้นมีปริมาณการนำเข้าเศษพลาสติกพุ่งสูงมาก คือเฉียด 6 แสนตัน แถมทราบมาว่ากรมศุลกากรจับกุมคดีลักลอบนำเข้าขยะอิเลคทรอนิคส์และขยะพลาสติกถึง 103 คดี มีการระบายของกลางด้วยการเปิดประมูล (ไม่ใช่การบังคับส่งกลับไปประเทศต้นทางอย่างที่มาเลเซียหรือบางประเทศอื่นทำ) ก็ต้องอนุมานว่าขยะอิเลคทรอนิคส์และขยะพลาสติกเหล่านั้นก็คงยังอยู่ในแผ่นดินไทยต่อไป

ไม่น่าจะสอดคล้องกับความตั้งใจเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม ตามแผนปฏิรูปประเทศ หรือตามยุทธศาสตร์ชาติ ไม่เข้าอารมณ์กับการมีวาระแห่งชาติเรื่องขยะ กระมัง!

คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเลคทรอนิคส์ โดยให้รัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน มีปลัดทรัพยากรธรรมชาติเป็นรองประธาน เมื่อพฤศจิกายน 2562

ดังนั้น พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ จึงทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการนี้ เป็นคนแรก จวบจนกระทั่งพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเพื่อออกไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา พร้อมๆกับผม



ผ่านไปอีกปี เมื่อใกล้ครบระยะเวลาที่โควต้าการนำเข้าเศษพลาสติกจะหมดอายุลงตามแผนคือเดือนกันยายน 2563 ก็มีข่าวว่า รัฐจะพิจารณาขยายเวลาผ่อนผันให้นำเข้าเศษพลาสติกต่อไปอีก

สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าและองค์กรภาคประชาสังคมอีก 65 องค์กรจึงออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการขยายเวลานี้

แต่ประชาชนกำลังหูดับ ในช่วงปีที่ว่า เพราะโควิด19 เข้าโจมตีตลอดปี 2563

เลยไม่ค่อยมีใครจำข่าวประเด็นว่าจะมีการขยายการผ่อนผันให้นำเศษพลาสติกเข้ามาในไทยต่อหรือไม่

จากนั้นก็เกิดคลัสเตอร์ระบาดของโควิด19 ที่ระยองบ้าง สมุทรสาครบ้าง ทยอยลามไปเรื่อยจนทุกคน เวิร์คฟรอมโฮมกันเป็นแถบ ข่าวอะไรอื่นที่ไม่ใช่โควิดก็มักไม่ได้รับความสนใจ

แม้ว่าพอข้ามปีใหม่ 2564 วันที่ 1มกราคม มีข้อแก้ไขของอนุสัญญาบาเซล เพิ่มการควบคุมการเคลื่อนย้ายขยะพลาสติกข้ามแดน โดยเพิ่มข้อความกำหนดในเอกสารแนบว่าให้ขยะพลาสติกที่สันนิษฐานว่าเป็นขยะอันตรายต้องผ่านกระบวนการแจ้งและขอความยินยอมล่วงหน้าจากประเทศผู้นำเข้า

นับว่าทั้งสังคมไทยและสังคมนานาชาติส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกัน

แต่อีกเพียง 25วันต่อมา กรมโรงงานอุตสาหกรรมก็แจ้งว่า มีปริมาณความต้องการนำเข้าเศษพลาสติกเพิ่มขึ้นอีก จากโรงงาน 46แห่ง ซึ่งมีกำลังผลิตรวมกัน 5 แสนตันเศษ แต่กำลังต้องการนำเข้าเป็นปริมาณ 6 แสน 8หมื่นตันต่อปี

โอ้โฮ เลยมั้ยครับ

บทความโดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
#8393
เครื่องทำน้ำแข็ง Cleanicethailand
เครื่องทำน้ำแข็ง Clean ice หมดปัญหาสักที กับความสกปรก ของน้ำแข็ง หรือน้ำแข็งละลายเร็ว อีกทั้งยังประหยัดกว่าเดิมถึง 5 เท่า
ไม่ว่าจะใส่เมนูน้ำชนิดไหนๆ เครื่องทำน้ำแข็ง cleanice ก็เอาอยู่ไปซะทุกอย่าง
เครื่องทำน้ำแข็ง ของเรารับประกันความประหยัดคุ้มค่าน่าลงทุน น้ำแข็งที่เย็น ละลายช้า สะอาด ไร้สารเคมีตกค้าง ราคาถูก สามารถทำให้เมนูน้ำของคุณน่ากินได้อีกกกด้วย ! 
เพราะว่าเราใส่ใจในความสะอาด และ ความสะดวกสบาย ด้วยดีไซน์เครื่องที่ออกแบบมา สวยทันสมัยตั้งในคาเฟ่ ก็เชิญชวนลูกค้าได้ดีอีกด้วย!!!! มีคุณภาพ เเละเอื้อต่อการใช้งานจริง
เมนูน้ำไหนๆ ใคร ๆ ก็อยากซื้อ น่าดื่มไปซะทุกอย่างเเบบนี้สิ รักเลย  ต้องลองแล้วค่ะถึงจะรู้ว่าของเราดีจริง
 Made in JAPAN 
สนใจสินค้า ปรึกษา สอบถามได้ที่
Tel: 02-024-9152-3 Mobile: 061-2780-780
ไลน์ไอดี: valaiporn25
website:https://www.cleanicethailand.com
facebook:https://www.facebook.com/cleanicethailand
#เครื่องทำน้ำแข็ง #เครื่องทำน้ำแข็งหยอดเหรียญ #ตู้กดน้ำแข็ง #ตู้กดน้ำแข็งหยอดเหรียญ #cleanice #cleanicethailand
 

 

 

#8395


สหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องในวันเสาร์ (18) ให้อีกหลายประเทศเข้าร่วมคำสัญญาลดการปล่อยก๊าซมีเทนและลดความร้อนลงอย่างน้อย 0.2 องศาเซลเซียสภายในปี 2050

โครงการริเริ่มดังกล่าว ซึ่งเสนอโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน เมื่อวันศุกร์ (17) ต้องการให้ประเทศต่างๆ ยึดมั่นเป้าหมายร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์จากระดับปี 2020 ภายในปี 2030

"ก้าวย่างสำคัญร่วมกับประธานาธิบดีไบเดนสู่คำมั่นลดการปล่อยก๊าซมีเทนทั่วโลก" อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เขียนในทวิตเตอร์

"เราจะชักชวนเหล่าหุ้นส่วนทั่วโลกของเราให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มาเข้าร่วมแผนการลดการปล่อยมีเทน"

ถ้อยแถลงร่วมจากอียูและสหรัฐฯ ระบุว่า อาร์เจนตินา กานา อินโดนีเซีย อิรัก เม็กซิโก และสหราชอาณาจักร "ได้แสดงความจำนงสนับสนุน" คำมั่นนี้แล้ว

โครงการริเริ่มนี้จะถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอด COP26 ที่จัดโดยองค์การสหประชาชาติในกลาสโกว์ของสก็อตแลนด์ในเดือนพฤศจิกายน

"มีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกอันตราย และตามรายงานล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) มันคิดเป็นราวครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้นหลังจากยุคก่อนอุตสาหกรรม"

"การลดการปล่อยก๊าซมีเทนในทันทีจะทำให้การลดคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ประสบความสำเร็จไปด้วย และถูกพิจารณาว่าเป็นกลยุทธเดียวที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดสภาวะโลกร้อนในระยะสั้นและทำให้เป้าหมายที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสอยู่ใกล้แค่เอื้อม"
#8396


ส่องฐานะทางการเงิน 6 เดือนแรกปี 2564 โดยเฉพาะไตรมาส 2 ของ 3 หุ้นธุรกิจไทย ในธุรกิจเกี่ยวข้องกับแดนมังกรยังเหนื่อย !! หลังยอดขายที่เคยฝากไว้บน กำลังซื้อคนจีน ยังไม่กลับมาเช่นเดิม ด้าน เอกชน กลับมารุกตลาดมากยิ่งขึ้น หลังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจทั่วโลก !

'คนจีน'!! ถือเป็นหนึ่งใน 'กำลังซื้อ' ที่สำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการไทยในช่วงที่ผ่านมา จนกลายมาเป็น 'ผู้ซื้อหลัก' ไปแล้ว ทว่าตอนนี้ผู้ซื้อหลักดังกล่าวกำลังฉุดรั้งตัวเลข 'ยอดขาย' ให้ผลการดำเนินงานให้ 'ยังไม่สดใส!' เฉกเช่นเดิม 

จากเมื่อวันวาน... กลุ่มธุรกิจคนไทยเคยเอ็นจอยกับ 'กำลังซื้อของคนจีน' ที่นำพาความเฟื่องฟูสุดๆ หนึ่งในนั้นต้องมี '3 หุ้นธุรกิจไทย' บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ถูกกฎหมายเชื่อถือได้ที่มีสัดส่วน 'ยอดขาย' พึ่งพิงกำลังซื้อจากคนจีนเป็นหลัก !! นั่นคือ บมจ.ดู เดย์ ดรีม หรือ DDD , บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY และ บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ที่โฟกัสกลุ่มลูกค้าจีนทั้งที่มาท่องเที่ยวในไทย และขยายตลาดไปปักหมุด ณ ดินแดนมังกร

ทว่า เมื่อทั่วโลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่รุมเร้าและลากยาว ส่งผลให้รัฐบาลในหลายประเทศต้องพยายาม 'สกัดกั้น' เพื่อหวังหยุดตัวเลขการแพร่ระบาดของผู้ติดโควิด-19 ให้ลดน้อยที่สุด ด้วยการออกมาตรการต่างๆ มา 'จำกัด' ประชาชนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการปิดประเทศ (ล็อกดาวน์) หรือ การให้ประชาชนทำงานอยู่บ้าน 

จนกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลทำให้กำลังซื้อทั่วโลกเริ่มชะลอตัว ! ยิ่งเฉพาะคนจีนที่เป็น 'ผู้ซื้อหลัก' ของหลากหลายอุตสาหกรรมในไทย

อ่านข่าว : พาณิชย์ เร่งเครื่องดันส่งออก มั่นใจ ปี 65 ยังโตแรง หนุนฟื้นวิกฤตโควิด

3ธุรกิจไทย ยังเหนื่อย ! รอ กำลังซื้อจีน คืนชีพ


สอดคล้องกับ สถานการณ์ 6 เดือนแรกปี 2564 ตัวเลขผลประกอบการ 3 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ DDD-BEAUTY-TKN 'ไม่สดใส' ลดลงหรือแม้แต่ยังขาดทุน โดยเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2564 ที่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนไม่เบา โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2564 พบว่า หุ้น DDD มี 'ขาดทุนสุทธิ' 141.65 ล้านบาท จากไตรมาส 2 ปี 2563 มี 'กำไรสุทธิ' 48.04 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 107.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 6 เดือนแรกปีก่อน 37.18 ล้านบาท ตามลำดับ

หุ้น BEAUTY ไตรมาส 2 ปี 2564 มีขาดทุนสุทธิ 35.17 ล้านบาท ลดลงเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 61.36 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรก มีขาดทุนสุทธิ 50.30 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อน 101.04 ล้านบาท 

และ หุ้น TKN ไตรมาส 2 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 22.23 ล้านบาท ลดลงเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 88.91 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 78.44 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 174.59 ล้านบาท 

ดังนั้น สารพัดปัจจัยลบรุมเร้า ทำให้ 'ความมั่งคั่ง' (Wealth) ของธุรกิจปรับตัว 'ลดลง' ไปด้วย หากย้อนกลับไปดูความมั่งคั่งของธุรกิจเมื่อปี 2560 เทียบกับปัจจุบัน (13 ก.ย.2564) จากระดับหมื่นล้านเหลือพันล้านบาท สะท้อนผ่านตัวเลข 'มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด' (Market Capitalization) โดย หุ้น DDD มีมาร์เก็ตแคปปี 2560 อยู่ที่ 27,966 ล้านบาท ลดลงมาอยู่ที่ 5,594.82 ล้านบาท (13 ก.ย.64) หุ้น BEAUTY มาร์เก็ตแคปปี 2560 อยู่ที่ 62,456.88 ล้านบาท ลดลงมาอยู่ที่ 4,660.65 ล้านบาท (13 ก.ย.64)และ หุ้น TKN มาร์เก็ตแคปปี 2560 อยู่ที่ 28,842 ล้านบาท ลดลงมาอยู่ที่ 9,798 ล้านบาท (13 ก.ย.64) 


'อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า 'เถ้าแก่น้อย' รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทได้เพิ่มน้ำหนักการทำ 'ตลาดต่างประเทศ' มากขึ้น รองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายในทางที่ดีขึ้น

โดยเฉพาะตลาดใน 'ประเทศจีน' ที่ถือเป็นตลาดหลักของ TKN นั้น ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงในการทำตลาด โดยแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย (Distributor) เพิ่มอีก 1 ราย เพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) และช่องทาง E-Commerce จากเดิมที่มีตัวแทนจำหน่ายได้แก่ Pan Orion Corp รับผิดชอบการจัดจำหน่ายสินค้าเข้าสู่ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) จึงทำให้ TKN มั่นใจกว่า การผสานกำลังร่วมกันระหว่าง 2 ตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดส่งออกต่อจากนี้

เช่นเดียวกับตลาดในสหรัฐฯ ที่มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเริ่มเปิดประเทศในช่วงเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา และมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น บริษัทได้เดินสายออกบูธงานแสดงสินค้า (Roadshow Exhibition) ตามสถานที่ต่างๆ คาดว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนได้ในไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นต้นไป แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากภาวะค่าระวางการขนส่งสินค้าทางเรือรวมถึงราคาค่าตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังสูงที่ TKN ยังต้องบริหารจัดการให้เอื้อประโยชน์และสนับสนุนแผนการเติบโตด้านผลการดำเนินงานให้ดีที่สุด

ขณะที่ ทิศทางตลาดในประเทศ ยังเผชิญความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักและกำลังซื้อชะลอตัว ดังนั้น TKN จะบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ ให้รัดกุมในทุกด้าน รวมถึงติดตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อแผนงาน TKN 

ในเบื้องต้นประเมินว่าการแพร่ระบาดจะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยบริษัทมีแผนนำเสนอสินค้าใหม่พร้อมทำแคมเปญส่งเสริมการขาย เพื่อสร้างโมเมนตัมให้กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่กลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนหรือ Quick Service Restaurant (QSR) ของบริษัทในเครือ จะมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากขึ้น

ขณะที่ บมจ. บิ้วตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่หลายประเทศเผชิญกับการระบาดในรอบใหม่ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งตลาดในประเทศ จากการระบาดในรอบนี้ที่ค่อนข้างรุนแรงกว่ารอบก่อนๆทำให้รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ใน 13 จังหวัด 25 สาขา

ส่วนตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดจีน ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมซื้อสินค้าออนไลน์ที่เป็นสินค้าจีนมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนส่งเสริมให้คนใช้สินค้าแบรนด์จีน และเข้มงวดการนำเข้าสินค้าต่างประเทศเข้ามาขายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวต่างประเทศ ทำให้ความนิยมในสินค้าต่างประเทศ 'ลดลง' ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทจึงต้องกลับมาทำการตลาดใหม่อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ ใน 3 ด้านหลัก เพื่อรับวิกฤติดังกล่าว คือ ด้านแรก การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ด้านที่สอง การพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ และด้านที่สาม การขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีการขยายตัวสูง โดยมุ่งเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีโอกาสขยายตัว สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะการเปิดสาขาร้านค้าปลีก เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากฐานลูกค้าในประเทศ และสามารถสร้างตลาดที่ครอบคลุมในระยะยาว

ทั้งนี้ จากการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าว ช่วยลดผลกระทบจากสภาวะต่างๆได้ เพื่อรองรับกับสถานการณ์และสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป โดยคาดว่าหากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างธุรกิจใหม่ของบริษัทจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานทั้งในแง่การจำหน่าย การบริหารจัดการ และลดต้นทุนในการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวกลับมาดีขึ้น

'ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์' ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บมจ. ดู เดย์ ดรีม หรือ DDD เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิดส่งผลกระทบต่อยอดขายมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 3 ปี 2564 ทำให้บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายรายได้รวมปีนี้เป็นเติบโต 20-30% จากเดิมที่คาดเติบโต 25-30% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,490.62 ล้านบาท

อย่างไรตาม บริษัทได้ดำเนินการด้วยการเน้นการลดค่าใช้จ่ายโดยรวมให้ลดลง ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าเช่าคลังสินค้า และ ค่าขนส่งในแต่ละกลุ่มธุรกิจมาไว้ที่เดียวกัน ซึ่งคาดจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 3 และ เห็นผลชัดเจนในไตรมาส 4 ปี 64 รวมไปถึงการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และ การลดค่าใช้จ่ายในการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสีฟันสปาร์คเคิลมาผลิตที่โรงงานของบริษัทเอง โดยจะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยเฉลี่ยลงตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 64 เป็นต้นไป

สำหรับตลาดในฟิลิปปินส์คิดเป็นสัดส่วน 20% ของพอร์ตรวม โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 64 ยอดขายยังเติบโตได้ดี แม้ยอดผู้ติดเชื้อจะสูงกว่าประเทศไทย และ มีมาตรการล็อกดาวน์ แต่ผู้บริโภคในฟิลิปปินส์มีพฤติกรรมใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ส่งผลให้ช่วงเทศกาล shopping 6.6 และ 7.7 แบรนด์ของบริษัทติดอันดับผลิตภัณฑ์ขายดีทุกรายการทั้งสเนลไวท์ และ OXECURE

ในขณะเดียวกันเมื่อเดือนที่ผ่านมา บริษัทยังเจาะตลาดด้วยแบรนด์สปาร์คเคิล ทั้งยาสีฟันแปรงสีฟัน และ น้ำยาบ้วนปาก โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังทั้งในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ดังนั้นภาพรวมผลการดำเนินงานของประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่า ยอดขายจะยังเติบโตได้ 20-30% เมื่อเทียบกับปีก่อน 

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2564 บริษัทประเมินว่า ยอดขายจะฟื้นตัวได้ดีจากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ตามการกระจายวัคซีน และ คาดว่าการท่องเที่ยวในประเทศไทยจะฟื้นตัวตามนโยบายรัฐ ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายจากกลุ่มนักท่องเที่ยวให้ฟื้นตัว ประกอบกับ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ และ การปรับขนาดของผลิตภัณฑ์ให้คุ้มค่า คุ้มราคามากขึ้น ตลอดจนปิดดีลการควบรวมกิจการ (M&A) 1 ดีล ภายในสิ้นปีนี้ 

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทมีแผนรองรับในส่วนกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางการขาย การออกผลิตภัณฑ์ และ การปรับขนาดผลิตภัณฑ์ เช่น แบรนด์ SOS ที่เป็นแบรนด์ได้รับความนิยมกลุ่มวัยรุ่นเกาหลี และ ญี่ปุ่น ซึ่งปกติแล้วราคาจะเฉลี่ย 200-300 บาท จึงปรับขนาดลงจาก 50 มิลลิลิตร ลงเหลือ 25-30 มิลลิลิตร เพื่อกระตุ้นยอดขายควบคู่กับการทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เสียไป

รวมทั้งมีการออกแบบสินค้าใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น แบรนด์ N Life Plus ได้แก่ โปรไบโอติก Ginger plus shot และผลิตภัณฑ์ดูแลผม ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการในเทรนด์ปัจจุบัน ที่ผู้บริโภคสนใจเรื่องสุขภาพมากกว่าความสวยงาม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจร+Zinc ในรูปแบบสเปรย์เพื่อพ่นปากและ ลำคอ นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 64 และ ต้นปี 65 เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับกัญชงกัญชาเพิ่มเติมด้วย
#8397


คลังชง "ประยุทธ์" ประธานคณะกรรมการวินัยการเงินการคลัง ขยับเพดานหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ของจีดีพี เผยเงื่อนไขขยายเพดาน "ชั่วคราว" 10 ปี ในช่วงวิกฤต สอดรับกับผู้ว่า ธปท.กระทุ้งรัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านดูแล ประสานเสียงจำเป็นต้องทำเพื่อเร่ง "ฟื้นฟู" เศรษฐกิจ "ศุภวุฒิ สายเชื้อ" ย้ำโจทย์ใหญ่รัฐบาลต้องกำหนดแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลังโควิด ที่ผ่านมามีแต่ "เยียวยา" ด้าน "สมหมาย" อดีตขุนคลังชี้ต้องมีแผนหารายได้ ชูขึ้น VAT ถูกกฎหมายเชื่อถือได้ "ดร.สมประวิณ" หนุนขยายเพดานก่อหนี้อัดฉีด "ฟื้นฟู-ปรับตัว"ภาคธุรกิจ

ชงขยายเพดานหนี้ 70%
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ข้อสรุปเรื่องการขยายเพดานหนี้สาธารณะแล้ว แต่จะต้องรอคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง รองประธาน พิจารณาเห็นชอบ ในการประชุมวันที่ 20 ก.ย.นี้

เบื้องต้นน่าจะขยายเพดานที่ระดับไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี จากปัจจุบันอยู่ที่ 60% และการกู้เงินใกล้เต็มเพดานแล้ว ดังนั้นหากจะขยายแค่ 65% ก็อาจจะต่ำเกินไป

"คลังไม่ได้มีปัญหาที่จะขยายเพดานหนี้ แค่รอให้ผ่านช่วงอภิปรายไม่ใว้วางใจไปก่อน ปัจจุบันยังมีช่องว่างให้ขยายเพดานได้อีก ถ้าเทียบกับต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีหนี้สาธารณะสูงกว่า 100% ถือว่าไทยยังมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่เหมาะสมอยู่ และในช่วงวิกฤตเช่นนี้ หากจะขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70-75% เพื่อดูแลประชาชน ก็สามารถทำได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังฯ" แหล่งข่าวกล่าว

มาตรการ "ชั่วคราว" 10 ปี
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงเงื่อนไขการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ต่อจีดีพี เป็น "ไม่เกิน 70%" ว่า เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งจะเป็นการขยายแบบ "ชั่วคราว" เท่านั้น โดยมีเงื่อนไขต้องกลับมาอยู่ในต่ำกว่า 60% ของจีดีพีภายใน 10 ปี และต้องเสนอแผนการเพิ่มรายได้ภาษีเป็น 20% ของจีดีพี ภายใน 10 ปี ภายใต้สมมุติฐานเศรษฐกิจขยายตัว 3-5% และกรอบรายจ่ายงบประมาณไม่เกินปีละเท่าไรเข้ามาด้วย

ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลที่เข้ามาต่อจากรัฐบาลนี้ บริหารการเงิน การคลังภายใต้ข้อจำกัดและกรอบดังกล่าว และป้องกันการทำนโยบายประชานิยม แจกเงินเพื่อสร้างฐานเสียง และต้องแยกมาตรการการเงินที่ไม่มีประสิทธิผล กับการให้เงินสวัสดิการ ซึ่งจำเป็นและควรมีการปรับระบบสวัสดิการให้ทั่วถึงและมีความยั่งยืนด้วย ซึ่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม มีความจำเป็น ไม่ทำไม่ได้ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงต้นทุนในการบริหารจัดการหลังวิกฤตโควิด

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า รัฐบาลจำเป็นจะต้องสร้างนโยบายการเงินกับความยั่งยืนทางการคลัง โดยมีช่องว่างหรือ "พื้นที่ทางการคลัง" เตรียมไว้สำหรับรับวิกฤตในโลกหลังยุคโควิด ซึ่งอาจจะเกิดวิกฤตอีกเมื่อไรก็ได้ จะได้ไม่ซ้ำรอยที่ผ่านมา เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องลด VAT เป็น 7% จนปัจจุบันไม่เคยปรับขึ้น ต้องต่ออายุทุกปี เพราะไม่มีรัฐบาลไหนขึ้นภาษีแล้วเสียคะแนนเสียงทางการเมือง

อดีตขุนคลังชี้จำเป็นต้องทำ
นายสมหมาย ภาษี อดีต รมว.คลัง ในช่วงรัฐบาล คสช. กล่าวว่า ในช่วงภาวะวิกฤตเช่นนี้การขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะมีความจำเป็น หากมานั่งกังวลเรื่องนี้ จะเป็นเรื่องไม่ใช่เรื่อง และจะแสดงว่ารัฐบาลทำงานไม่เป็น ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นก็ต้องขยาย

"สถานการณ์ขณะนี้แย่เต็มทีแล้ว และรัฐบาลก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาช่วยประชาชนแล้ว โดยรัฐจำเป็นต้องกู้เงิน เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นสวัสดิการให้กับประชาชนอีกมาก" นายสมหมายกล่าว

อย่างไรก็ดี เมื่อขยายเพดานหนี้แล้ว ต้องดูว่า จะกำกับดูแลไม่ให้เพิ่มมากเกินไปได้หรือไม่ หรือจะควบคุมให้อยู่ในระดับพอสมควรได้อย่างไร เช่น อยู่ในกรอบระหว่าง 60% ไม่เกิน 65% เนื่องจากหนี้สาธารณะเป็นตัวหารในจีดีพี ดังนั้น หากจีดีพียิ่งไม่โต ก็จะยิ่งแย่ แต่หากจีดีพีของไทยขยายตัวมากขึ้น ก็จะไม่มีปัญหา


ขึ้นภาษีหาช่องเพิ่มรายได้
"การขยายเพดานหนี้สาธารณะ เมื่อมีความจำเป็นก็ต้องทำ ส่วนควรจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ ก็บอกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐ แต่จริง ๆ แล้วการขยายเพดานหนี้ก็น่ากลัว ถ้ารัฐไม่ได้บอกว่าอีกด้านจะหารายได้เพิ่มอย่างไร เพื่อให้สมดุลกับหนี้ที่เพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดบริษัทจัดอันดับเรตติ้ง ก็จะลดเครดิตเรตติ้งประเทศไทย ถึงตอนนั้นเราก็ใกล้เตาเผาศพแล้ว ฉะนั้น รัฐจะต้องมีการดูแลในเรื่องรายได้เพื่อมาทดแทนด้วย ไม่ใช่บอกว่าจะขยายอย่างเดียว" นายสมหมายกล่าว

สำหรับแนวทางการเพิ่มรายได้นั้น อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า จะต้องไปทำให้รัฐมีรายได้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เพื่อให้มีความสามารถในการไปใช้หนี้ อาทิ เข้าไปดูในเรื่องภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างช้าในปี 2565 ควรจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 2%

นอกจากนี้ ก็ควรบริหารสัมปทานของรัฐ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ก็ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้มีรายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้น เพื่อมาดูแลประชาชน

ศุภวุฒิชี้โจทย์อยู่ที่แผนใช้เงิน
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เรื่องการขยายเพดานหนี้สาธารณะ หรือการกู้เงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ปีที่แล้ว และประเด็นสำคัญคือแผนการใช้เงินเพื่อกระตุ้นและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีแผนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปีที่แล้วเศรษฐกิจติดลบไปแล้ว -6.1% ปีนี้ถ้าโตแค่ 1% ก็เหนื่อยแล้ว

"ที่ผ่านมารัฐบาลทำแต่มาตรการเยียวยาแรงงาน คนตกงาน แต่ยังไม่ได้มีการดูแลผู้ประกอบการ ผู้จ้างงาน ซึ่งเป็นผู้เสียภาษี เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่นที่สภาอุตฯออกมาบอกว่ารัฐบาลสั่งอย่างเดียว แค่ขอชุดตรวจ ATK ยังไม่มีการสนับสนุน และก็ยังไม่เห็นแผนหรือนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนผู้จ้างงานเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเดิน ปล่อยให้ผู้ประกอบการรับภาระปัญหาจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งขนาดปัญหาใหญ่มาก ปล่อยให้ภาคธุรกิจดิ้นรนไปเอง"

รัฐบาลต้องกำหนดทิศทาง
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลต้องมีแผนว่าจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 ไปในทิศทางไหน เพื่อที่จะได้มีการจัดสรรงบประมาณหรือเงินกู้ลงไปได้ตามแผน เพื่อคัดท้ายให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ แต่ตอนนี้รัฐบาลทำเหมือนก่อนจะมีโควิด ยังพูดถึงแต่การลงทุนในอีอีซี เหมือนกับว่าโควิดไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ทำทุกอย่างเหมือนเดิม

"ภาคท่องเที่ยวก่อนโควิด ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศ 12% ของจีดีพี หลังโควิดจะยังพึ่งพาภาคท่องเที่ยว 12% ของจีดีพีได้หรือ วางแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างไร หรือจะปรับไปพึ่งพาภาคส่งออกด้วยนโยบายอะไร ทุกอย่างไม่มีคำตอบ เหมือนตอนนี้รัฐบาลมองว่าวัคซีนคือคำตอบ ที่จะทำให้เปิดประเทศแล้วเศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนได้ โดยไม่มีการวางแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอะไรเลย และปล่อยให้เอกชนดิ้นรนกันไป"

หนุนก่อหนี้ "ฟื้นฟูธุรกิจ"
ด้าน ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 หากจะขยายไปที่ระดับ 70% ต่อจีดีพี ถือเป็นระดับที่โครงสร้างประเทศยังรองรับได้ เนื่องจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคของไทยยังค่อนข้างดี จึงควรขยายกรอบเพดานหนี้ไว้เผื่อไว้




ซึ่งในต่างประเทศทุกคนมีการปรับเพิ่มหมด หากประเทศไทยไม่ขยายเพดานก็จะพลาดสร้างโอกาสการเติบโตและรับมือโลกหลังโควิด-19 เพราะการก่อหนี้เพิ่ม หรือการใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ มองว่าจะเป็นการสร้างรายได้และการเติบโตในระยะยาวและยั่งยืน

ผลการศึกษาของวิจัยกรุงศรีที่เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้เม็ดเงิน 7 แสนล้านบาท อยู่ในมาตรการเยียวยาเท่านั้น แต่ยังต้องมีการกระตุ้นเพิ่มสำหรับ "มาตรการฟื้นฟู" เนื่องจากการปิดร้านค้า หรือโรงแรมเป็นเวลานาน จำเป็นต้องการเม็ดเงินในการฟื้นฟูกิจการให้กลับมาเปิดบริการได้อีกครั้ง รวมถึง "มาตรการปรับตัว" รับโลกหลังโควิด-19 ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น สหรัฐ ที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เรียกว่า new economy เป็นต้น

"มาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และปรับตัว ที่วิจัยกรุงศรีเสนอ จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินพอสมควร ดังนั้น การขยายเพดานหนี้เผื่อไว้เป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งมองว่านักลงทุนเองก็จะเข้าใจในการขยายกรอบครั้งนี้ แต่การขยับเพดานแล้วจะต้องคิดและวางแผนก่อนว่าการกู้เงินไปใช้เพื่ออะไร และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพราะในท้ายที่สุดจะช่วยในเรื่องของความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตระยะยาว แต่หากกู้เงินมาเพื่อเป็นเงินโอนให้กับประชาชน ตรงนั้นจะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว และไม่สร้างประสิทธิภาพต่อระบบเศรษฐกิจ"

ดร.สมประวิณกล่าวอีกว่า นอกจากวางแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้กรอบเพดานที่ขยายแล้ว จะต้องวางแผนเรื่องการหารายได้ เพื่อชำระหนี้ ซึ่งปกติรายได้จะกลับมาเข้าเมื่อเศรษฐกิจเติบโตได้ โดยรายได้จะมาจากการขยายฐานภาษี ซึ่งจะมาจากกิจกรรมของคนที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบอีกจำนวนมาก

โดยจากงานวิจัยขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุไว้ว่า การจัดเก็บภาษีควรจะอยู่บนฐานสินทรัพย์มากกว่าฐานของรายได้ ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นการช่วยกระจายความมั่งคั่งของประเทศ และลดการกระจุกตัวของกลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูง หากมีการจัดเก็บภาษีในรูปแบบดังกล่าว

ผู้ว่า ธปท.กระทุ้งรัฐบาลกู้เพิ่ม
ขณะที่เมื่อ 16 สิงหาคม 2564 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ออกมาส่งสัญญาณชัดเจนถึงรัฐบาลว่า ผลกระทบจากโควิด-19 ได้สร้าง "หลุมรายได้" ขนาดใหญ่ 2.6 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2563-2565 เม็ดเงินของภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลัง เพื่อช่วยให้รายได้และฐานะทางการเงินของประชาชนและเอสเอ็มอีกลับมาฟื้นตัว และลดแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่จะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังโควิด ทั้งระบุว่าเม็ดเงินจากภาครัฐที่เติมเข้าไปในระบบควรมีอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 7% ของจีดีพี

ในกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 70% ของจีดีพีในปี 2567 และจะลดลงได้ค่อนข้างรวดเร็ว ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็ว

นอกจากนี้กรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม จะพบว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีใน 10 ปีข้างหน้า (2574) จะต่ำกว่า กรณีที่รัฐบาลไม่กู้เงินเพิ่มถึง 5% เพราะการกู้และใส่เงินเข้าในตอนนี้เป็นการขยายเศรษฐกิจเพิ่มฐานภาษีและทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้ ช่วยให้ภาระหนี้ลดลงในอนาคต
#8398
ถมที่ ขุดสระ จัดสวน วางท่อ ติดต่อ 080-022-3804
www.mmee2000.com ทำจริงไม่ทิ้งงาน
#8399


วันนี้ (18 ก.ย.) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ว่า ภาพรวมขณะนี้ดีขึ้น ประชาชนสามารถใช้ชีวิตวิถีใหม่อยู่กับสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ได้อย่างเคร่งครัดตามมาตรการป้องกันตนขั้นสูงสุดแบบครอบจักรวาล เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ รักษาระยะห่าง งดไปในสถานที่แออัด เป็นต้น ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กพ. - 16 กันยายน 2564 ฉีดวัคซีนรวม 43,342,103 โดส โดยฉีดครบ 2 เข็ม จำนวน 14,285,995 โดส และฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้ว จำนวน 28,436,015 โดส ซึ่งฉีดได้ประมาณ 9 แสนโดสต่อวัน พร้อมทั้งเร่งรัดให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้ได้ ร้อยละ 50 อย่างช้าภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ตามเป้าของกระทรวงสาธารณสุข

"กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแผนระดมพลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชน 1 ล้านโดสเป็นอย่างน้อยในทุกเข็ม ในวันมหิดล วันที่ 24 กันยายน 2564 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวงสาธารณสุข จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ฉีด ขอให้รีบรับบริการฉีดวัคซีนที่สถานบริการใกล้บ้าน" นายแพทย์โอภาส กล่าว

นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยมี 4 ชนิด คือ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ซึ่งผ่านการรับรองทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากองค์การอนามัยโลกและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยวัคซีนหลักที่ใช้ฉีดเข็มที่ 1 คือ ซิโนแวคและเข็มที่ 2 แอสตร้าเซนเนก้า ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จากผลการศึกษาวิจัยในประเทศพบว่า วัคซีนทั้งสองชนิดนี้จะเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ใช้เวลาสั้นกว่าวัคซีนสูตรปกติ รายใดที่พบว่ามีปัญหาแพ้วัคซีนเข็มแรก เช่น มีผื่นขึ้นบวมแดงหรือหายใจติดขัด จะเปลี่ยนชนิดที่มีความปลอดภัยแทน ทั้งนี้ จะฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้แก่ผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากภูมิคุ้มกันเริ่มลดลงหลังฉีด 3-6 เดือน โดยประชาชนที่จะเข้ารับการฉีด จะได้รับการแจ้งข้อความ SMS ผ่านทางแอปพลิเคชันหมอพร้อม หรือลงทะเบียนที่สถานพยาบาลเดิม และเข้ารับบริการที่จุดฉีดวัคซีนกลางในแต่ละพื้นที่กำหนด เช่น ในกรุงเทพฯ ที่สถานีกลางบางซื่อ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ส่วนกลุ่มนักเรียน 12-17 ปี ที่จะเริ่มฉีดไฟเซอร์เข็มที่ 1 ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ จะคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเป็นไปตามเจตจำนงของผู้ปกครองเป็นสำคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการระบบการฉีดให้รัดกุมและมีความปลอดภัยสูงสุด