• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Hanako5

#3441


"พาณิชย์"เผยจดตั้งบริษัทโฆษณาใหม่ครึ่งปีแรก 557 ราย เพิ่ม 26.59% โตตามกระแสคนไทยใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียพุ่ง แถมภาคธุรกิจยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล แนะเอสเอ็มอี ผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ ใช้เป็นช่องทางโปรโมตและสื่อสารถึงลูกค้า

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจโฆษณา ในช่วง 6 เดือนปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวนการจดทะเบียนใหม่ทั้งสิ้น 557 ราย เพิ่มขึ้น 26.59% มีทุนจดทะเบียน 893.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.39% เป็นการส่งสัญญาณแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีของธุรกิจโฆษณาในประเทศไทย โดยเฉพาะการโฆษณาดิจิทัล เพราะผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้านและเรียนออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้การใช้งานระบบออนไลน์ การใช้โซเชียลมีเดีย และการรับชมทีวีผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น การโฆษณาผ่านช่องทางเหล่านี้ จึงโตตามไปด้วย

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนธุรกิจโฆษณาดิจิทัลให้มีอัตราการเติบโต คือ ภาคธุรกิจสามารถเลือกช่องทางการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น มีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว และการมีเทคโนโลยีที่สามารถรองรับให้ผู้บริโภคเปิดรับสื่อได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียที่มีการเติบโตของการลงเงินโฆษณาถึง 20% โดยสื่อดิจิทัลที่มีเม็ดเงินลงทุน ได้แก่ Facebook 32% , YouTube 23% และ TikTok มีแนวโน้มการเติบโตสูงอยู่ที่ 21% โดยการลงทุนในแต่ละสื่อมีมูลค่าเม็ดเงินสูงถึงพันล้านบาท

สำหรับการโฆษณาทางโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน มีความเหมาะสมกับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่องทางการสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างสะดวกรวดเร็วและใช้เงินลงทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นลำดับแรก การเลือกช่องทางการสื่อสาร การเลือกช่วงเวลา และความถี่ที่เหมาะสม รวมทั้งการคิดนอกกรอบในการสร้างสรรค์สื่อโฆษณา เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายเข้าใจในคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของลูกค้าได้อย่างแท้จริง จะทำให้ธุรกิจโฆษณาสามารถอยู่รอดในตลาดและสามารถแข่งขันได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน

ปัจจุบัน มีธุรกิจโฆษณาที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 10,293 ราย คิดเป็น 1.28% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินกิจการอยู่ และมูลค่าทุนรวม 52,668.81 ล้านบาท คิดเป็น 0.27% ของมูลค่าทุนธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ มีสถิติการใช้งานอินเทอร์เน็ต 5.07 ชั่วโมงต่อวัน เป็นอันดับ 3 ของโลก และหากนับรวมการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งระบบ คนไทยมีการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 41% ของการใช้เวลาภายใน 1 วัน ส่วนข้อมูลของบริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด รายงานว่า ช่วงครึ่งปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางรวมแล้วจำนวน 53,640 ล้านบาท
#3442


เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว ที่เหล่าเซเลบริตีซึ่งมีธุรกิจของครอบครัวและต่างสืบทอดธุรกิจกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่จะมีบางบ้านที่อาจจะมีลูกหลายคน และอาจจะมีบางคนไม่อยากทำธุรกิจของครอบครัว แต่อยากที่จะทำตามฝันสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง และมีอีกหลายคนที่จำเป็นต้องช่วยทำธุรกิจของครอบครัวบ้าง แต่มุ่งเดินหน้าธุรกิจของตัวเองอย่างสุดกำลัง ซึ่งจะมีใครบ้างนั้นตามมาดูกัน

อุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ
"ยูกิ-อุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ" ทายาทคนโตของ อรสา ตั้งคารวคุณ หนึ่งในเจ้าของธุรกิจสี TOA ภายใต้บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยูกิเป็นทายาททางธุรกิจที่ไม่ประสงค์จะสืบสานธุรกิจของครอบครัว แต่รักที่จะเดินทางตามฝันของตัวเองซึ่งชอบแฟชั่นและรักการแต่งตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการสร้างแบรนด์ "ยูนา" (YUNA) แบรนด์เสื้อผ้าที่เธอปลุกปั้นมากับมือ จนเข้าสู่ปีที่ 10 แล้ว นอกจากนี้ เธอยังนำร้านชานมไข่มุก The Alley จากไต้หวันมาเปิดในไทย จนเป็นที่นิยมของสาวกชานม และขยายสาขาไปกว่า 20 แห่ง โดยเธอนั่งบริหารในตำแหน่งเอ็มดีของบริษัท มิลลาร์รี่ กับธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่เธอหมายมั่นปั้นมือมาจนสำเร็จสมใจ



กรัชเพชร อิสสระ
รายนี้เป็นทายาทของอาณาจักรใหญ่แห่งไขมุกอันดามัน "ปลาเข็ม-กรัชเพชร อิสสระ" ลูกสาวคนเล็กของ สงกรานต์ กับศรีวรา อิสสระ แห่งศรีพันวา ภูเก็ต ที่พี่ชายทั้งสองคน ปลาวาฬ-วรสิทธิ์ และปลาทู-ดิฐวัฒน์ ต่างก็มุ่งมั่นสืบทอดธุรกิจของครอบครัว มีแต่ตัวเธอเท่านั้นที่แม้จะช่วยธุรกิจของที่บ้านอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีธุรกิจในฝันของตัวเอง ที่ไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ นั่นก็คือ แบรนด์ KEMISSARA ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นที่เธอภาคภูมิใจ สมกับที่เธอร่ำเรียนทางด้านแฟชั่นมาจากอังกฤษ



มธุนาฏ ซอโสตถิกุล
สาวเก่งร่างเล็กแต่ใจใหญ่ ทายาทธุรกิจห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์, รองเท้านันยาง และผงชูรสตราชฎา "ผึ้ง-มธุนาฏ ซอโสตถิกุล" เป็นลูกสาวของ ธีระ และบุศรา ซอโสตถิกุล หลานสาวของคุณปู่กอบชัย ซอโสตถิกุล หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโท เธอก็มุ่งหน้าทำงานด้านศิลปะที่เธอรัก ด้วยการเป็นศิลปินอิสระเจ้าของ "มธุนาฏดีไซน์" ที่มีผลงานเพนต์กำแพงร้านอาหารจนเป็นที่ยอมรับ แม้กระทั่ง ร้านอาหารในสหรัฐอเมริกา ยังต้องใช้บริการฝีมือเพนต์กำแพงของเธอมาแล้วหลายแห่ง จึงทำให้เป็นกำลังใจให้เธอมุมานะที่จะสร้างผลงานของตัวเอง ให้คนจดจำเธอได้ในฐานะมธุนาฏดีไซน์ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นทายาทธุรกิจใหญ่



สุวดี พึ่งบุญพระ
ประธานกรรมการบริษัท PP Group Thailand ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์แฟชั่นสุดหรูชื่อดังระดับโลก Givenchy, Loewe, Tory Burch, Longchamp, Roger Vivier, MCM, Off White, Maison Kitsune และ Palm Angels แม้ว่า "ปิ่น-สุวดี พึ่งบุญพระ" จะเติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจด้านการสื่อสารมวลชนและสิ่งพิมพ์ ของคุณพ่อสวาสดิ์ และคุณแม่ประพีร์ ปุ้ยพันธวงศ์ แต่ตัวเธอกลับมาบริหารจัดการในเรื่องเกี่ยวกับแบรนด์สินค้าที่หลากหลายรวมทั้งแบรนด์สตรีทแวร์ ร่วมกับน้องชาย "โอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์" จนเป็นที่ยอมรับของหนุ่มสาวในแวดวงสังคม



อภินรา ศรีกาญจนา
"ปรางค์-อภินรา ศรีกาญจนา" ทายาทนักธุรกิจพันล้านแห่งเอเชียประภันภัย ลูกสาวคนโตของ คุณพ่อจุลพยัพ ศรีกาญจนา เจ้าของบริษัท เอเชียประกันภัย กับคุณแม่ยูกิ-นราวดี ผู้บริหารบริษัท เพนดูลัม จำกัด (Pendulum) ที่นอกจากจะช่วยคุณแม่ดูแลร้านธุรกิจร้านอาหาร NARA ร่วมกับน้องๆ แล้ว เธอยังทำธุรกิจสตาร์ทอัพเพื่อสังคมของตัวเองในชื่อ U Drink I Drive ให้บริการส่งคนขับรถรับส่งบุคคลที่ไปดื่มในงานสังสรรค์กลับบ้านอย่างปลอดภัย เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุเมาแล้วขับ ล่าสุด เธอได้ร่วมแรงร่วมใจกับเพื่อนสาวรุ่นพี่ ทำธุรกิจใหม่ ONNA ที่แปล "ผู้หญิง ผู้หญิง" ในภาษาญี่ปุ่น เพราะทั้งคู่เรียนจบจากญี่ปุ่น และสาวปรางค์ก็ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากญี่ปุ่นมาโดยตลอด จึงตกลงกันว่าควรที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับผู้ที่รักสวยรักงามได้ดูแลตัวเอง จึงเป็นที่มาของ @onnaonna2021 นับเป็นธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจของสาวปรางค์



วารีนิธิ-วาริธร กันท์ไพบูลย์
ดีไซเนอร์สาวสวย "บูบี-วารีนิธิ กันท์ไพบูลย์" ผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้า Varithorn Boutique ร่วมกับพี่สาว "เปเป้-วาริธร กันท์ไพบูลย์" ทั้งสองเป็นลูกสาวของนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชาวฮ่องกง คุณพ่อไกรวุฒิ กับคุณแม่ศศิ กันท์ไพบูลย์ และสร้างแบรนด์เสื้อผ้าให้เป็นที่รู้จักมาได้ถึง 9 ปีแล้ว ไม่เพียงฮอตฮิตในประเทศไทยเท่านั้น ยังส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศอีกด้วย และด้วยความที่สาวบูบีรักและหลงเสน่ห์ในซูเปอร์คาร์ ปัจจุบันสาวบูบียังทำธุรกิจ The Ultimate Rides ซึ่งเป็นตัวกลางในการซื้อขายรถยนต์ระดับลักชัวรีอีกด้วย ขณะที่ เปเป้ พี่สาวก็มีธุรกิจแบรนด์น้ำตาลโตนด "ตาลสยาม" (Tansiam), ร้านชานมไข่มุก "ราก" (Raak) และคลินิกเสริมความงาม "Infinity Clinic"



ระริน ธรรมวัฒนะ
แม้ว่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ ผู้ทำธุรกิจตลาดยิ่งเจริญอันโด่งดังแห่งหนึ่งของเมืองไทย แต่สาวระรินเธอกลับมาปลุกปั้นแบรนด์ไอศกรีมฝีมือคนไทย Guss Damn Good ร่วมกับเพื่อนสนิท นที จรัสสุริยงค์ ซึ่งเป็นคราฟต์ไอศกรีมที่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองมาได้ 7 ปี จนเป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่าไอศกรีมเลิฟเวอร์



ชยพล หลีระพันธ์
ลูกหลานตระกูลธรรมวัฒนะอีกหนึ่งคน โดยปอนด์เป็นลูกชายคนโตของ อ.มัลลิการ์ (ธรรมวัฒนะ) หลีระพันธ์ แต่เขากลับมุ่งเดินหน้าทำธุรกิจของตัวเอง ไม่ได้สนใจในธุรกิจใหญ่โตของตระกูล ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดธุรกิจร้านอาหาร มัลลิการ์ ต่อจากคุณแม่ของเขา แต่เขากลับทำให้ธุรกิจนี้โด่งดังและเป็นที่จดจำด้วยตัวของเขาเอง ด้วยไอเดียที่สร้างสรรค์ ไม่ซ้ำใครของเขานั่นเอง



วฤธ หงสนันทน์
คุ้นหน้าคุ้นตากันดีทางหน้าจอทีวี ในบทบาทนักแสดงหนุ่ม "เป๋า-วฤธ หงสนันทน์ บุตรชายคนเล็กของ ศักดิ์ชัย หงสนันทน์ ประธานกรรมการ บริษัท สุปรีมทรัค จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถบรรทุกยี่ห้อ FAW ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กับวิสาขา หงสนันทน์ น้องชายของพ่อหนุ่มกล้ามล่ำ ปาล์ม-ฐณส หงสนันทน์ ที่ปล่อยให้คุณพี่ชายสุดหล่อลุยธุรกิจของครอบครัวไปอย่างเต็มตัว ส่วนตัวเองหันมาเอาดีด้านการแสดงและนายแบบไปพลางๆ เพราะความที่รักทางด้านแฟชั่นและศิลปะ หล่อเลือกได้ของจริงคร่า



ฐิติกุล อยู่วิทยา
"พลอย-ฐิติกุล อยู่วิทยา" หนึ่งในทายาทผู้ก่อตั้งเครื่องดื่มกระทิงแดง หลานสาวของคุณปู่เฉลียว อยู่วิทยา ที่เธอฉีกแนวมาทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร "พอว์พาลส์" นับเป็นธุรกิจที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของครอบครัวอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นธุรกิจที่สาวพลอยทำเพราะใจรักอย่างแท้จริง จากพื้นฐานที่เป็นคนรักสุนัขมาก จึงอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับน้องหมา ปัจจุบันสาวพลอยทำธุรกิจในฝันของตัวเองมาได้ถึง 8 ปีแล้ว
#3443


เมื่อเร็วๆนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ องค์กรที่มุ่งมั่นและสนับสนุนการสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงโลกสู่ความยั่งยืนได้ส่ง 20 ตัวแทนเยาวชนและคนรุ่นใหม่จากกลุ่มธุรกิจในเครือฯ เข้าร่วมการประชุมระดับนานาชาติ One Young World Summit 2021 ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระหว่างวันที่ 22-25 กรกฎาคม 2564 ณ Olympic Hall  เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

โดยปีนี้จากสถานการณ์โควิด-19 ได้ปรับรูปแบบเป็นการจัดประชุมเสมือนจริงผ่านทางออนไลน์ (Virtual Summit) และถ่ายทอดสดจากกรุงมิวนิคเพื่อออนไลน์ไปยังผู้เข้าร่วมทั่วโลก ซึ่งบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความคึกคัก มีตัวแทนเยาวชนและผู้นำคนรุ่นใหม่กว่า 1,700 คน จาก 170 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมเพื่อแสวงหาความร่วมมือและแนวทางแก้ปัญหาสำคัญต่าง ๆ ของโลกเพื่อนำไปสู่โลกที่ยั่งยืนในทุกมิติ

เครือซีพีตระหนักถึงการส่งเสริมและสร้างบทบาทผู้นำเยาวชนคนรุ่นใหม่ของไทยที่จะขึ้นมาเป็น "The Change Maker" หรือผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้แก่สังคมและประเทศชาติ เพื่อเป็นพลังสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยในงานมี นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีประเทศเยอรมนี ให้เกียรติกล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน นายดีเทอร์ เรเทอร์ นายกเทศมนตรีเมืองมิวนิค พร้อมด้วย นางเคท โรเบิร์ตสัน และ นายเดวิด โจนส์ สองผู้ก่อตั้ง One Young World Summit ร่วมกล่าวเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ 


นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า การจัดประชุม One Young World Summit ได้รวมเหล่าผู้นำคนรุ่นใหม่และเยาวชนที่มีศักยภาพจากประเทศต่างๆทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่ออภิปรายแลกเปลี่ยนมุมมองสำคัญในแต่ละหัวข้อสำคัญของโลกที่ครอบคลุมในทุกมิติตั้งแต่การปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม การศึกษา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การขจัดความยากจน เป็นต้น

สำหรับปีนี้ถือเป็นโอกาสอันล้ำค่าของเมืองมิวนิคที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมที่จะทำให้มองประเด็นปัญหาของโลกที่เกิดขึ้นผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ และเป็นรากฐานสำคัญในการหารือแนวทางแก้ปัญหาโลกได้อย่างตรงจุด และนำไปสู่การเตรียมความพร้อมที่จะรับมือต่อปัญหาที่เป็นวิกฤตเร่งด่วน

ทั้งยังเป็นเวทีที่ได้รวมคนรุ่นใหม่อย่างพร้อมเพรียงเพื่อให้เราตระหนักว่า เราจะสามารถเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกไปด้วยกันได้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะวิกฤตเสียขวัญมาเป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่ง งานประชุมนี้จึงถือเป็นทั้งโอกาสและความคืบหน้าที่ดีขึ้นของโลกใบนี้ที่แม้การจัดประชุมอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากจากวิกฤตโควิด-19 แต่เชื่อมั่นว่าจะจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราทุกคน

สำหรับการประชุม One Young World 2021 ได้วางประเด็นหารือแนวทางแก้ปัญหาวิกฤตสำคัญของโลกไว้ด้วยกัน 6 ประเด็น คือ 

1.การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Crisis)

2.การศึกษา (Education) 

3.สิทธิและเสรีภาพ (Rights & Freedom)

4.การแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Conflict Resolution)

5.การพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต (Future Economies) 

6.บทเรียนจากโรคระบาด (Lessons from The Pandemic)

พร้อมกันนี้ยังได้เชิญตัวแทนผู้นำ ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกมาร่วมปาฐกถาพิเศษเพื่อจุดประกายการเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่ตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย อาทิ ศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มแนวคิดธุรกิจเพื่อสังคม นายโรแลนด์ บุช ประธานคณะกรรมการบริหารของบริษัท ซีเมนส์ เอจี เยอรมนี นายโธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี (IOC) เซอร์บ๊อบ เกลดอฟ  ศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดังในประเด็นการต่อต้านความยากจนในแอฟริกา ศาสตราจารย์ โชชาน่า ซูบอฟ (Professor Shoshana Zuboff) นักวิชาการชื่อดังด้านสิทธิและเสรีภาพ และนางแองเจล่า หวัง (Angela Hwang) สมาชิกของทีมผู้บริหารของไฟเซอร์และประธานกลุ่มของกลุ่มบริษัท ชีวเภสัชภัณฑ์ของไฟเซอร์ เป็นต้น


นายดีเทอร์ เรเทอร์ นายกเทศมนตรีมิวนิค กล่าวเปิดงานว่า หัวใจสำคัญของการประชุมผู้นำรุ่นใหม่ระดับโลกครั้งนี้  คือ 'Pacmaso' หรือ การลงมือทำ การร่วมแรงร่วมใจเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างความสำเร็จไปด้วยกัน โดยการรวมตัวกันของตัวแทนผู้นำรุ่นใหม่จากทั่วโลกครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ผนึกกำลัง ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองต่อประเด็นสำคัญทางสังคมถึง 6 ประเด็นที่ต้องใช้พลังคนรุ่นใหม่มาร่วมแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้

นางเคท โรเบิร์ตสัน และ นายเดวิด โจนส์ สองผู้ก่อตั้งเวทีการประชุมผู้นำรุ่นใหม่ ได้กล่าวต้อนรับเหล่าตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่และพูดถึงบทบาทของเวทีนี้ว่าจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลกที่จะก้าวออกไปเป็นผู้ร่วมเปลี่ยนแปลงโลก และมุ่งหวังว่าจะได้จุดประกายให้เกิดหนทางแก้ปัญหาใหม่ ๆ  ผ่านกิจกรรมและโครงการที่ผู้นำเยาวชนของแต่ละประเทศจะร่วมกันขับเคลื่อนต่อไปเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ร่วมผนึกมุมมองที่แตกต่างทางความคิดเพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลกใบนี้ เพราะเชื่อมั่นว่าความหลากหลาย คือ จุดแข็งของโลกยุคใหม่


ด้านตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่จากเครือซีพี ได้แสดงทัศนะต่อประเด็นท้าทายสำคัญของโลก

น.ส.จารุพร สุขเกษตร ตัวแทนจากกลุ่มเจียไต๋  ธุรกิจในเครือซีพี ซึ่งสนใจประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  กล่าวว่า สังคมหันมาสนใจปัญหานี้มากขึ้น แต่ยังไม่ได้มีการแก้ไขอย่างทั่วถึง ในฐานะที่ทำงานอยู่ในแวดวงเกษตรโดยตรง ทำให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจนทั้งจากปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรและผลผลิต ต่อเนื่องไปจนถึงความมั่นคงทางอาหาร

ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างความตระหนักรู้และเร่งแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วให้มีประสิทธิภาพ เช่น การนำแนวคิดเกษตรแม่นยำเข้ามาช่วยพัฒนาขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงการพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนต่อความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ สภาพอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก จึงอยากเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงที่จะสร้างความตระหนักรู้โดยเชื่อว่าจะต้องเริ่มต้นจากตัวเราในการลงมือทำแก้ไขปัญหาและจุดประกายให้คนอื่นร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้

นายชยพัทธ์ ปทุมนากุล จากกลุ่มทรู ในเครือซีพี กล่าวถึงประเด็นด้านการศึกษาว่า การศึกษาเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสังคม เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทุกคนควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงการศึกษาคือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาระบบการศึกษาให้เข้าถึงทุกพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล โดยจะต้องมีการเสริมทักษะ upskills และ reskills ทางด้านดิจิทัลให้กับเยาวชนเพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงการศึกษาในยุค 4.0

สำหรับการประชุม One Young World Summit 2021 ในปีนี้ได้สรุปปิดการประชุมด้วยการตอกย้ำความสำคัญในเรื่อง "ความหลากหลายทางความคิด" ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันสังคมให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต โดยต้องสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำ ตลอดจนพัฒนาทักษะองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมารวมถึงการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดสิ่งเหล่านี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในอนาคตได้ สำหรับการประชุม One Young World Summit ในปี 2022 จะจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น
#3444


แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป เดินหน้าขยายการให้บริการแกร็บเพย์ วอลเล็ต (GrabPay Wallet) สนองตอบการใช้ชีวิตแบบสังคมไร้เงินสด เพิ่มความสะดวกสบายให้พาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้า พร้อมมอบความคุ้มค่าและบริการชำระเงินที่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการภายในอีโคซิสเต็มของแกร็บ ผ่านการเปิดใช้งานและเติมเงินเข้า แกร็บเพย์ วอลเล็ต ง่ายๆ ผ่าน 3 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป กล่าวว่า แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป มุ่งขยายการบริการแกร็บเพย์ วอลเล็ต อย่างต่อเนื่องในยุคแห่งสังคมไร้เงินสด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานในอีโคซิสเต็มส์ของแกร็บ ทั้งผู้ใช้บริการ พาร์ทเนอร์คนขับ และพาร์ทเนอร์ร้านค้า

โดยล่าสุดได้ร่วมมือกัน 3 ธนาคารชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรี ในการให้บริการเติมเงินเพื่อใช้ชำระค่าบริการในอีโคซิสเต็มของแกร็บได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้บัตรเดบิต หรือเครดิต ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายและเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์ของการชำระเงินแบบไร้เงินสด

เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และความปลอดภัยในทุกๆ การชำระเงิน ลูกค้าของทั้ง 3 ธนาคารสามารถยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ทุกครั้งก่อนใช้บริการด้วยตนเอง ผ่านแอปพลิเคชันแกร็บ นอกจากนี้ แกร็บยังมอบความคุ้มค่า ด้วยโปรโมชันสุดพิเศษเพื่อผู้ใช้งาน แกร็บเพย์ วอลเล็ต โดยเฉพาะ ผู้ใช้บริการสามารถรับส่วนลดสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือนทุกบริการ Grab เมื่อใส่รหัส WALLET ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
#3445


เรื่องของฤกษ์อันเหมาะในวิถีกระทำการต่างๆนี้ น่าสนใจเป็นอย่างมาก ดิฉันได้ทดลองแล้วพบว่าได้ผลจริงในหลายๆเรื่อง จึงตั้งใจจะแบ่งปันให้เพื่อนๆ นำไปใช้งานกันทุก 2 เดือน

สำหรับคนทำแปลงเกษตร "ภูมิปาโลฤกษ์" จะเหมาะกับการปลูก พืชผล พริก กะเพรา ถั่วนานาชนิด ฯลฯ ให้ออกผลดกมหาศาล จนกิ่งโย้

แล้วเวลาปลูกต้นไม้ จะต้องทำใจดีๆ อธิษฐานจิตดีๆ ให้จิตเคลื่อนไปด้วยรัก เมตตา อภัยทาน

ละโลภ โกรธ หลง ในเวลานั้น ถือเป็นต้นทางในการฝึกจิตด้วยก็ได้ อยู่นิ่งๆกับความรู้สึกตัวสดๆ กับอุเบกขาธรรม ของการ "ไม่เป็นไร"

คุณพ่อดิฉันเคยเล่าถึงคาถาปลูกต้นไม้ ไว้ในหนังสือ เกิดเป็นคนใต้ ของท่านว่า

"แม่เคยบอกผมว่า เวลาน่ำข้าวหรือปลูกต้นไม้ ให้ท่องคาถาด้วย ข้าวหรือต้นไม้จะได้เติบโตงอกงาม คาถาว่าดังนี้ "พุทธัง(ธัมมัง สังฆัง) ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน"

คาถาที่ว่านี้ ดูจากเนื้อความหรือสาระแล้ว ผมคิดว่า เป็นความงามในวิถีชีวิตของชาวพุทธ และเชื่อว่าบัดนี้คงไม่มีผู้ใดว่าคาถาปลูกพืชหรือผลาผลเช่นนี้ เพราะผมเองก็ยังลืม กว่าจะนึกได้ ก็ต้องทบทวนสอบหากันอยู่นาน"

ดังนั้นปลูกต้นไม้ในช่วงภูมิปาโลฤกษ์แล้ว ท่องคาถานี้กำกับด้วย ก็จะได้ผลดีอย่างยิ่ง

สำหรับคนทำการค้าขาย สมควรอย่างยิ่งที่จะเปิดตัวสินค้าในช่วง "มหัทธโนฤกษ์" หรือฤกษ์เศรษฐี เพราะจะทำให้สินค้าขายได้ ขายดี

สำหรับคนต้องการกู้หนี้ ยืมสิน ทวงเงินจากลูกหนี้ ขอบริจาค ควรจะใช้ "ทลิทโทฤกษ์" ฤกษ์ขอทาน หรือฤกษ์ชูชก จะหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ นับเงินเพลิดเพลิน

ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 นี้ ดิฉันจึงขอแจ้งเรื่องฤกษ์มาให้เพื่อนๆได้ใช้งานตามวิชาชีพ ตามถนัดของแต่ละคนเลยนะคะ โดยอ้างอิงตามไดอารี่โหร พ.ศ.2564 ของครูทองเจือ อ่างแก้ว ในช่วง 2 เดือนนี้ ดังนี้

ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564– 31 สิงหาคม 2564

ฤกษ์ปลูกต้นไม้ ทำเกษตร ได้ผลงอกงาม (ภูมิปาโลฤกษ์)
1.วันอังคาร 6 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 14.42 น. ถึงวันพุธ 7 กรกฎาคม เวลา 16.42 น.
2.วันศุกร์ 16 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ถึงวันศุกร์ 16 กรกฎาคม เวลา 24.00 น.
3.วันเสาร์ 24 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 13.06 น. ถึงวันอาทิตย์ 25 กรกฎาคม เวลา 12.18 น.
4.วันจันทร์ 2 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 21.06 น. ถึงวันอังคาร 3 สิงหาคม เวลา 24.00 น.
5.วันพฤหัสบดี 12 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 08.42 น. ถึงวันศุกร์ 13 สิงหาคม เวลา 07.54 น.
6.วันศุกร์ 20 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 21.06 น. ถึงวันเสาร์ 21 สิงหาคม เวลา 20.18 น.
7. วันจันทร์ 30 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 05.54 น. ถึงวันอังคาร 31 สิงหาคม เวลา 08.18 น.

ฤกษ์เก็บผลผลิตขาย เริ่มเปิดร้านค้า เริ่มเปิดขายของออนไลน์ ติดต่อการขายให้ขายสินค้าได้คล่องได้ดี ใช้ฤกษ์เศรษฐี มหัทธโนฤกษ์
1. วันอาทิตย์ 4 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 10.18 น. ถึงวันจันทร์ 5 กรกฎาคม เวลา 12.18 น.
2. วันพุธ 14 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 01.30 น. ถึงวันพฤหัสบดี 15 กรกฎาคม เวลา 01.30 น.
3. วันพฤหัสบดี 22 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 15.30 น. ถึงวันศุกร์ 23 กรกฎาคม เวลา 13.54 น.
4. วันเสาร์ 31 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 16.42 น. ถึงวันอาทิตย์ 1 สิงหาคม เวลา 18.42 น.
5. วันอังคาร 10 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 09.30 น. ถึงวันพุธ 11 สิงหาคม เวลา 09.30 น.
6. วันพุธ 18 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 23.54 น. ถึงวันพฤหัสบดี 19 สิงหาคม เวลา 22.42 น.
7. วันเสาร์ 28 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 01.30 น. ถึงวันอาทิตย์ 29 สิงหาคม เวลา 03.30 น.


ฤกษ์ขอความช่วยเหลือ ขอเงิน ขอบริจาค ทวงหนี้ ขอสิทธิที่ตัวเองพึงมีพึงได้ ใช้ฤกษ์ชูชก ทลิทโทฤกษ์
๑.วันเสาร์ 3 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 08.18 น. ถึงวันอาทิตย์ 4 กรกฎาคม เวลา 10.18 น.
๒.วันอังคาร 13 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 01.30 น. ถึงวันพุธ 14 กรกฎาคม เวลา 01.30 น.
๓.วันพุธ 21 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 17.06 น. ถึงวันพฤหัสบดี 22 กรกฎาคม เวลา 15.30 น.
๔.วันศุกร์ 30 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 15.06 น. ถึงวันเสาร์ 31 กรกฎาคม เวลา 16.42 น.
๕.วันจันทร์ 9 สิงหาคม เวลา 09.06 น. ถึงวันอังคาร 10 สิงหาคม เวลา 09.30 น.
๖.วันพุธ 18 สิงหาคม เวลา 00.01 น. ถึงวันพุธ 18 สิงหาคม เวลา 23.54 น.
๗.วันพฤหัสบดี 26 สิงหาคม เวลา 21.54 น. ถึงวันเสาร์ 28 สิงหาคม เวลา 01.30 น.
...............
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เฟซบุ๊ค นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว 
#3446


กสศ. เดินหน้า Reskill – Upskill ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ผ่านทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างกระบวนการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความสามารถ ในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตนเอง

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคประชาสังคม) ในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

กล่าวตอนหนึ่งในเวทีเสวนาออนไลน์ เรียนให้รู้...อยู่ให้รอด ภายใต้วิกฤตโควิด 19 บทเรียนการทำงานทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 ในหัวข้อ "ทุนพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน  ทางรอด ทางเลือกในยุค New Normal" เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาว่า โครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 หรือ ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ภายใต้การสนับสนุนของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เริ่มดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2562  กสศ. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริม สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือประชากรวัยแรงงานที่เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยใช้ชุมชนเป็นฐานสร้างกระบวนการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความสามารถ ในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตนเองให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ เพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็น (Reskill) เสริมทักษะใหม่ในบริบทใหม่ (Upskill) พัฒนาทักษะอาชีพรายบุคคล โดยใช้ทุนชุมชนในการพัฒนาอาชีพ

"เรากำลังเปิดพื้นที่การเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างนิเวศแห่งการเรียนรู้ใหม่ การเรียนรู้รูปแบบนี้เป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ของประเทศ ที่น่าจะเป็นคำตอบให้กับสังคมไทยได้ และที่สำคัญกำลังรอให้คนนำไปขยายผลต่อ"ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าว

ดร.สมคิด แก้วทิพย์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 กล่าวว่า องค์ประกอบที่สำคัญของโครงการฯ นี้ คือ "ระบบการจัดการร่วม" ที่ กสศ.มี "อนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการฯ" และจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีการทำงานร่วมกับ "พี่เลี้ยง" ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศทำหน้าที่ กระตุ้น หนุนเสริมองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้แก่ "หน่วยพัฒนาอาชีพ" ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเข้าไปทำงานและร่วมเรียนรู้กับ "ผู้เข้าร่วมโครงการฯ" ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการฯ องค์ประกอบเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดการบริหารจัดการร่วมเชิงบูรณาการบนฐานพื้นที่ ทำงานเชื่อมประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีจุดร่วมคือการนำปัญหาของพื้นที่เป็นตัวตั้ง

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ ชี้ว่า เรากำลังสร้าง "ต้นแบบ" การพัฒนาทักษะอาชีพบนฐานทุนชุมชนในมิติใหม่ ที่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ด้วยการเข้าไปดูว่าเขาต้องการแก้ปัญหาอะไร ชุมชนมีต้นทุนอะไร และสุดท้ายเรานำข้อมูลมาวิเคราะห์ออกแบบเป็นหลักสูตรเฉพาะร่วมกับชุมชนที่เหมาะสม เพื่อคลี่คลายปัญหาของชุมชน

ตลอดการทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกลุ่มแรงงานนอกระบบ แรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือ จำนวน 14,414 คน จาก 194  โครงการ ใน 51 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ  เกิดหลักสูตรการยกระดับการประกอบอาชีพที่ตอบโจทย์ท้องถิ่นและตลาดแรงงาน นำไปสู่การเป็นผู้ประกอบการและแรงงานที่มีฝีมือในชุมชน เกิดเครือข่ายคนทำงานรุ่นใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในการร่วมพัฒนา อีกทั้งยังเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิชาการ สถาบันการศึกษาในการพัฒนากลไกเสริม เครื่องมือ และชุดความรู้ร่วมกับหน่วยพัฒนาอาชีพ และเกิดเป็นนวัตกรรมการพัฒนาอาชีพในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การพัฒนาส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ การรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน และเกิดผลิตภัณฑ์ งานบริการที่ถูกยกระดับให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีออนไลน์

"การใช้ชุมชนเป็นฐานเป็นต้นแบบหนึ่งของ กสศ. ถือเป็นมิติใหม่ของการทำงานเชิงพื้นที่ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน โดย กสศ.เข้าไปหนุนเสริมทักษะความรู้และงบประมาณบางส่วน ทำให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นความสุขมากขึ้น ผมคิดว่ารูปแบบการทำงานแบบบนี้น่าจะเป็นทางเลือกทางรอดของประเทศได้"


ขณะที่ ดร.สมคิด กล่าวเสริมว่า ผลจากการทำโครงการ 2 ปีที่ผ่านมา วันนี้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือ เห็นระบบของการดึงโครงสร้างความรู้ มาร่วมปฏิบัติการในพื้นที่ เป็นระบบการศึกษาใหม่ในการพัฒนาอาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างทักษะและองค์ความรู้ที่จะนำมาประกอบอาชีพให้เกิดรายได้แล้ว ความรู้ที่เกิดขึ้นยังเป็นเกราะกำบังให้คนในชุมชนเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และที่สำคัญคือ เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างคนในชุมชน คือ "หาได้" และ "ให้ได้" สร้างสังคมแห่งการดูแลกันและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

ดร. สมคิด กล่าวสรุปว่า การสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการยกระดับทักษะความรู้ให้กลุ่มแรงงานสามารถประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพการศึกษา สังคม วัฒนธรรม ให้ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในชุมชน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลดความเลื่อมล้ำในสังคมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานได้อย่างแท้จริง
#3447


สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่า "นายมนัสวี ศรีโสดาพล เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน" เผยเบื้องหลังการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มเติมจากจำนวน 1.5 ล้านโดส ซึ่งเป็นข่าวดีที่รับแจ้งข่าวดีจาก วุฒิสมาชิกเชื้อสายไทย แทมมี ดักเวิร์ธ มาก่อนหน้านี้ ในเวลาไล่เลี่ยกับการได้รับแจ้งจากทำเนียบขาว

นายมนัสวี เปิดเผยกับ 'วีโอเอ ไทย' ว่า ทางสถานทูตฯ ได้รับข่าวดีจากทางทำเนียบขาวโดยตรงว่า สหรัฐจะให้บริจาควัคซีนในไทยเดิมทีที่ 1.5 ล้านโดส หลังจากนั้น พอเขาประกาศเราก็เริ่มหารือเพื่อที่จะลำเลียงวัคซีนเหล่านั้นไปเมืองไทยอีกสักพักหนึ่ง ส.ว. แทมมีก็โทรมาหาผม ท่านก็แจ้งข่าวว่า ในนามของประธานาธิบดีสหรัฐ

"ทางสหรัฐมีความห่วงใยกับประชาชนคนไทย ถือว่าเป็นมิตรเก่าแท้ของสหรัฐ เพราะฉะนั้นเขาก็จะขอเพิ่มวัคซีนให้เราเองอีกต่างหากอีก 1 ล้าน ก็โดยรวมแล้วก็เป็น 2.5 ล้านล็อตแรก 1.5 ล้านก็ไปถึงเมืองไทยแล้วสัปดาห์นี้ แล้วก็หาล็อตที่ 2 เราก็กำลังประสานกับทางทำเนียบขาวอยู่เพื่อให้เขาเร่งรัดให้รีบส่งให้เมืองไทย" เอกอัครราชทูตมนัสวี ระบุว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก ในทุกช่องทางที่เป็นไปได้ในการประสานกับหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐ เพื่อเจรจาเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของทุกประเทศทั่วโลก

นายมนัสวี กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา เราเกือบจะเรียกว่าทุกวัน ประสานกับทั้งฝ่ายบริษัทโดยตรง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและทำเนียบขาวกับกระทรวงต่างประเทศ และกับ ส.ส. และ ส.ว ของสหรัฐ เพื่อผลักดันให้เขา ให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยเข้าถึงวัคซีนเหล่านี้ได้เพราะมันจะเป็นคำตอบในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของสาธารณสุขและก็ในเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มันกระทบทั่วโลก เราก็พยายามเต็มที่นะ และที่สำคัญก็คือเราก็สนับสนุนให้ชุมชนไทยก็พยายามสื่อกับทางนักการเมืองของสหรัฐ ให้ช่วยนึกถึงประเทศไทย

"วิธีที่จะเข้าถึงฝ่ายรัฐบาลสหรัฐ เนี่ยมันก็ไม่ใช่แค่แค่ข้าราชการด้วยกันเองมันก็ต้องไปถึงกลุ่มต่างๆ ภาคเอกชน เข้าถึงภาคสถาบันวิชาการซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการส่งข้อมูลให้กับทางสภา หรือให้กับทางรัฐบาล เราก็เห็นว่าการที่ผมไปพบกับฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายรัฐสภาไม่เพียงพอ เราต้องพยายามหาแนวร่วมจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งของไทยกับของสหรัฐ ที่จะช่วยโน้มน้าวรัฐบาลในการในการเดินหน้าความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐ" นายมนัสวีเล่า

ขณะเดียวกัน สถานทูตก็วิงวอนทางรัฐบาลสหรัฐ ให้ช่วยเร่งส่งวัคซีนที่เราขอซื้อ ให้มันเร็วขึ้น ให้มันทันกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งแล้วเราก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นเราก็ยังอาศัยเครือข่ายเพื่อนประเทศไทย (Friends of Thailand) ตัวแทนชุมชนไทย บุคคลที่เรารู้จักชาวสหรัฐ ที่เรารู้จักที่เขามีเส้นสายต่างๆ ให้เขาช่วยรณรงค์ให้ประเทศไทยอีกรอบหนึ่ง

เราก็ต้องชมพวกบริษัทอเมริกาที่อยู่ในเมืองไทยเพราะเขาก็มีความเป็นห่วงต่อธุรกิจของเขาด้วย ต่อคนงานของเขาด้วยก็เราก็ใช้ทุกรูปแบบ ที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งตอนนี้ก็เป็นเรื่องของการเข้าถึงวัคซีนที่เราลงนามสัญญาสั่งซื้อว่าถ้าเราได้เร็วขึ้นช่วยบรรเทาบรรเทาสถานการณ์ได้" นายมนัสวี กล่าว

ก่อนหน้านี้ทางทูตอาเซียนกับทำเนียบขาวก็มีการปฏิสัมพันธ์กันเกือบจะทุก 2 สัปดาห์ 3 สัปดาห์ต่อเดือนก็มีความใกล้ชิดผ่าน แต่นี่ผ่านวงของทูตอาเซียน 10 ประเทศเราก็ตอกย้ำเรื่องการเข้าถึงและซีนของเขาเขาก็บอกว่าเนี่ยเมื่อการผลิตเริ่มเพิ่มขึ้นเนี่ยเขาก็จะหาทางเพิ่มความช่วยเหลือทางด้านวัคซีนให้กับโลกอีกอีกรอบนึงนะ เพราะฉะนั้นขอให้ใจเย็นๆ แล้วเขาก็จะประกาศออกมาเป็นระยะๆ"

นอกจากนี้ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย มองไปถึงความร่วมมือในขั้นต่อไปที่จะพัฒนาและเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหรือองค์กรด้านการวิจัยของไทย กับ บริษัทเอกชนในสหรัฐ ในการตั้งฐานการผลิตวัคซีนหรือเวชภัณฑ์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในประเทศไทย

"เราได้ติดต่อกับทุกบริษัทวัคซีนของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขอซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการร่วมกันวิจัยและผลิตวัคซีน ซึ่งก็เดินหน้าไปต่อไป ตอนนี้แล้วก็พยายามจับเชื่อมโยง องค์การ หรือสถาบันหรือบริษัทต่างๆ ที่มีความชำนาญ ที่จะสามารถมาช่วยเป็นพันธมิตรในการผลิตวัคซีนในประเทศไทยแล้วก็ทางกรุงเทพฯ เองก็ได้มีการติดต่อโดยตรงกับบริษัทเหล่านี้ที่มีตัวแทนอยู่ในเมืองเมืองไทย

นายมนัสวี กล่าวในตอนท้ายว่า สถานทูตฯ มีโอกาสในสถาบันต่างๆ ที่มีมาตรฐานสูง และมีผลงานที่เด่นชัดแล้ว ประสบการณ์จากในอดีตของเราที่ร่วมผลิตยารักษามาลาเรีย ซึ่งทางฝ่ายสหรัฐแม้กระทั่ง ไมเคิล จอร์ช ดีซอมบรี อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ก็ตระหนักว่าประเทศไทยเรามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากกับทางสหรัฐ หรือทางศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐเองก็มีสำนักงานอยู่ที่ที่เมืองไทยเหมือนกัน

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952362
#3448


เมื่อวันที่ 1 ส.ค.64 นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nithi Mahanonda  ระบุว่า เปิดไทม์ไลน์ "วัคซีนซิโนฟาร์ม" 10 ล้านโดสนำเข้าไทย และแผนการจัดสรรและกระจายวัคซีน "ซิโนฟาร์ม" ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

1 สิงหาคม 2564: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สรุปแผนการจัดสรรและกระจาย "วัคซีนซิโนฟาร์ม" ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2564 พร้อมเปิดไทม์ไลน์วัคซีนซิโนฟาร์ม 10 ล้านโดสให้ประชาชนคนไทย ภายหลังจากวัคซีนซิโนฟาร์ม (SINOPHARM) ล็อตที่ 5 จำนวน 1 ล้านโดสเดินทางมาถึงประเทศไทยวันนี้ (1 สิงหาคม 2564)

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หนึ่งใน 5 หน่วยงานที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าวัคซีนโควิด-19 ตามประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นตัวแทนของรัฐบาลไทยในการดำเนินการประสานติดต่อและนำเข้าวัคซีน "ซิโนฟาร์ม" จากสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดและในการขออนุมัติการขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนฟาร์มจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ซิโนฟาร์มเป็นวัคซีนโควิด-19 รายการที่ 5 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564

ทางราชวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีทั้งจากกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานครเพื่อให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์สามารถกระจายวัคซีนช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงและได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วที่สุด ทั้งนี้ วัคซีนจากบริษัทซิโนฟาร์มที่ใช้ในประเทศไทยผลิตโดยสถาบันชีววัตถุแห่งกรุงปักกิ่ง (BIBP) เป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ติดต่อนำเข้ามา จำนวน 10 ล้านโดส ระหว่างเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2564 โดยมีกำหนดถึงประเทศไทย ดังนี้


ไทม์ไลน์วัคซีนซิโนฟาร์ม 10 ล้านโดส

• 20 มิถุนายน 2564 จำนวน 1 ล้านโดส

• 4 กรกฎาคม 2564 จำนวน 1 ล้านโดส

• 18 กรกฎาคม 2564 จำนวน 1 ล้านโดส

• 25 กรกฎาคม 2564 จำนวน 1 ล้านโดส

• 1 สิงหาคม 2564 จำนวน 1 ล้านโดส

• 15 สิงหาคม 2564 จำนวน 1 ล้านโดส

• 22 สิงหาคม 2564 จำนวน 2 ล้านโดส

• 29 สิงหาคม 2564 จำนวน 2 ล้านโดส


แผนการจัดสรร และกระจายวัคซีน "ซิโนฟาร์ม"

โดยพิจารณาทยอยจัดสรรตามลำดับความสำคัญเร่งด่วนตามประเภทการดำเนินธุรกิจที่มีผลต่อการขับเคลื่อนประเทศ ระดับความเสี่ยงของโอกาสในการแพร่เชื้อให้กับสังคม และระดับความเสี่ยงบนพื้นที่ของทำเลที่ตั้งสถานประกอบการและที่พักอาศัย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

1) กลุ่มองค์กรนิติบุคคล เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม จัดสรรไปแล้วให้กับประชากร จำนวน 2.26 ล้านคน ประมาณ 4.5 ล้านโดส เริ่มกระจายฉีดตั้งแต่ 25 มิถุนายน 2564

สำหรับภาคองค์กรนิติบุคคลที่ยื่นความประสงค์ขอรับการจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มบุคคลต่างๆ ให้ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งองค์กรเป็นผู้สนับสนุนค่าวัคซีนให้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ประกาศจัดสรรให้กับองค์กรนิติบุคคลที่ยื่นขอรับการจัดสรรในระยะที่ 1 เข้ามาทั้งหมดแล้ว โดยทยอยจัดสรรไปทั้งหมด 5 ครั้ง รวมประชากรที่ได้รับจัดสรรวัคซีนไปทั้งหมด จำนวน 2,264,957 คน = 4,529,914 โดส และเริ่มกระจายฉีดในกลุ่มองค์กรนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดการจัดสรร ดังนี้

• ครั้งที่ 1 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2564 จำนวน 476,682 คน

• ครั้งที่ 2 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 จำนวน 302,618 คน

• ครั้งที่ 3 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำนวน 338,419 คน

• ครั้งที่ 4 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 จำนวน 993,330 คน

• ครั้งที่ 5 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 จำนวน 153,908 คน

2) กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เดือนกรกฎาคมได้จัดสรรไปแล้วให้กับประชากร จำนวน 1.9 ล้านคน ประมาณ 3.9 ล้านโดส เริ่มกระจายฉีดตั้งแต่ 28 กรกฎาคม 2564

สำหรับภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานราชการ ที่ยื่นความประสงค์ขอรับการจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มประชากรในพื้นที่ให้ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่ง อปท.เป็นผู้สนับสนุนค่าวัคซีนให้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ทยอยประกาศจัดสรรไปแล้ว จำนวน 4 ครั้ง รวมประชากรที่ได้รับจัดสรรวัคซีนทั้งหมด จำนวน 1,965,944 คน = 3,931,888 โดส และเริ่มกระจายฉีดประชาชนในกลุ่ม อปท. ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดการจัดสรร ดังนี้

• ครั้งที่ 1 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 จำนวน 392,789 คน

• ครั้งที่ 2 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 จำนวน 148,082 คน

• ครั้งที่ 3 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 จำนวน 145,772 คน

• ครั้งที่ 4 ประกาศจัดสรรเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 จำนวน 1,279,301 คน


3) กลุ่มบุคคลธรรมดา เดือนกรกฎาคมได้ลงทะเบียนเปิดจองและจัดสรรไปแล้ว 1 ครั้ง จำนวน 57,034 คน = 114,068 โดส เริ่มกระจายฉีดในกลุ่มบุคคลธรรมดา ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2564

4) กลุ่มประชาชนเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส จำนวน 351,047 โดส = 175,523 คน

สำหรับวัคซีนที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้จัดสรรให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส ส่วนหนึ่งมาจากองค์กรที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มระยะที่ 1 ร่วมช่วยเหลือสังคมจัดสรรวัคซีนบริจาคให้อย่างน้อย 10% ของจำนวนวัคซีนซิโนฟาร์มที่ได้รับการจัดสรร และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ร่วมสมทบ "ครึ่งโดส" ต่อ 1 สิทธิ์การจองวัคซีนซิโนฟาร์มในรอบบุคคลธรรมดา

ทั้งนี้ ได้กำหนดเป้าหมายสำหรับผู้ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มบริจาคไว้ 5 กลุ่ม โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ได้แก่

• ผู้พิการ

• ผู้ด้อยโอกาส/ชุมชนแออัด

• ผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยติดเตียง/ผู้ป่วยเรื้อรัง

• พระ/นักบวช

• กลุ่มอาชีพต่างๆที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบนัดของวัคซีนหลักได้และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อ

ทั้งนี้ โดยสรุป ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้จัดสรรและกระจายวัคซีนซิโนฟาร์มให้กลุ่มต่างๆไปแล้ว จำนวน 8.9 ล้านโดส ยังมีโควต้าวัคซีนซิโนฟาร์มที่รอการจัดสรรอีกจำนวนประมาณ 1.1 ล้านโดส โดยในเดือนสิงหาคมนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะเปิดลงทะเบียนจองวัคซีนสำหรับบุคคลธรรมดาในรอบที่ 2 และเปิดลงทะเบียนการขอรับการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มสำหรับองค์กรนิติบุคคล ระยะที่ 2 โดยมีข้อกำหนดให้สำหรับองค์กรที่มีการยื่นขอรับจัดสรรให้กับพนักงานตั้งแต่ 100-2,000 คน เพื่อทยอยกระจายวัคซีนที่มีในโควต้าให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความต้องการเข้าถึงวัคซีนอย่างเร่งด่วนต่อไป พร้อมทั้งเตรียมแผนขยายอายุการให้วัคซีนซิโนฟาร์มในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นอายุ 3-17 ปี หลังจากรัฐบาลจีนได้อนุมัติรับรองการใช้วัคซีนซิโนฟาร์มเพื่อการใช้แบบฉุกเฉินในกลุ่มคนอายุ 3-17 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นจนกว่าวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกในประเทศไทย จะมีเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก็จะค่อยๆ ลดบทบาทในการนำเข้าและจัดสรรปริมาณวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์มนี้ลง

ข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564

นิธิ มหานนท์ 

เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และ 

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ 
#3449


เป็นระยะเวลา 16 เดือนแล้ว ที่วิกฤติโควิด-19 ยังอยู่กับคนทั้งโลก รวมถึงประเทศไทย และสร้างความเสียหายต่อสุขภาพ ประชากรกว่า 198 ล้านคนต้องติดเชื้อไวรัส และกว่า 4.2 ล้านคนต้องเสียชีวิต

ส่วนประเทศไทย ผู้ติดเชื้อล่าสุด ณ วันที่ 1 สิงหาคม ยอดพุ่งทยานแตะ 18,000 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 133 ราย จนรัฐต้องประกาศขยายพื้นที่สีแดงเข้มเพิ่ม 16 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด พร้อมยืดระยะเวลา "ล็อกดาวน์" ออกไปอีก 14 วัน เพื่อบริหารจัดการการแพร่ระบาดของไวรัส 

ความสูญเสียครั้งนี้ไม่จำกัดวงแค่สุขภาพ แต่ทำลายล้าง "เศรษฐกิจ" หรือจีดีพีของทั้งโลกและไทยกลายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งความหวังเดียวที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องถึงการกู้ชีพจรเศรษฐกิจได้ ต้องแก้ที่ต้นตอ นั่นคือการ "ฉีดวัคซีน" โดยเร็วและทั่วถึง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เมื่อคนแข็งแรง ย่อมมีพลังไปพลิกฟื้นเรื่องปากท้องได้อีกครั้ง 

ประเทศไทยมี "เครื่องยนต์" สำคัญที่ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ จากอุตสาหกรรมหลายเซ็กเตอร์ แต่หนึ่ง "ฮีโร่" ต้องมี "อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว" อยู่ในทำเนียบ เพราะไม่เพียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกมาเยือน ยังสร้างรายได้มหาศาล โดยปี 2562 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเยือนไทยร่วม 40 ล้านคน ทำเงินให้ประเทศมูลค่าราว 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของจีดีพี 

ทว่า นับต้ังแต่วินาทีที่โรคระบาดลามโลก ได้ "ชัตดาวน์" เศรษฐกิจทุกประเทศ และ "ดับเครื่องยนต์" เซ็กเตอร์ "การท่องเที่ยว" ให้จอดสนิท ทั้งห่วงโซ่ธุรกิจเสียหายสาหัส โรงแรมปิดให้บริการ สายการบินต้องหยุดบิน ทำให้ขาด "รายรับ" แต่ต้อง "แบกภาระรายจ่าย" รอบด้านทำให้ผู้ประกอบการต้อง "ขาดทุน" 

ส่วน "แรงงาน" ในภาคการท่องเที่ยวนับ "ล้านคน" ต้องตกงาน ว่างงาน หยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ฯ ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย เชื่อว่าไม่มีใครปล่อยให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่า ดั่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร "เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล" เคยทิ้งวรรคทองให้โลกจำ "Never let a good crisis go to waste."  

"เนชั่น ทีวี ช่อง 22" จัดฟอรั่มออนไลน์ หยิบหัวข้อ "ไทยพร้อม...เปิดประเทศ ฟื้นท่องเที่ยว" เชิญตัวแทนภาครัฐ เอกชน ภาคการท่องเที่ยวมาช่วยระดมสมองเพื่อพลิกฟื้นท่องเที่ยวระยะสั้น และปลดล็อกกับดักดีใจกับ "ตัวเลข" นักท่องเที่ยวปีละหลายสิบล้าน สู่การแสวงหาโอกาส ตลาด นักเดินทางกลุ่มใหม่หลังโควิด-19 คลี่คลาย

++กล้าปลดล็อกอุปสรรค

แก้ "คอขวด" ท่องเที่ยว

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ไทยควรใช้ห้วงเวลาที่โรคโควิดระบาดซ่อมบ้านหรือปรับปรุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ดี ไม่ใช่แค่จังหวัดที่มีเศรษฐกิจอิงการท่องเที่ยวหรือเมืองหลัก แต่ต้องขยายสู่เมืองรองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงทางเดิน ชายหาด ฯ  

 นอกจากนี้ ท่ามกลางการบริหารจัดการไวรัส มีการกระจายฉีดวัคซีน จึงเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลด้านสาธารณสุขต้องกระจ่างแจ้งเพื่อสร้างความสบายใจให้กับทุกฝ่าย เพราะนาทีนี้ วัคซีนเป็นทรัพยากรหายาก และเงินงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายมีอยู่จำกัด 

ขณะเดียวถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องมี "ความกล้า" ในการแก้ไขกฏระเบียบที่เป็น "คอขวด" กติกาที่เป็นอุปสรรค สร้างความไม่สะดวก ช่วยลดภาระให้กับประชาชน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้ใช้ชีวิตยากลำบากอยู่แล้ว

"ใช้วิกฤติให้เกิดโอกาสใหม่ ต้องกล้าผ่าตัด รื้อกฎระเบียบ ใช้ปากกาแก้ไขกฎกระทรวง ค่าธรรมเนียมต่างๆ ตอนนี้มีประชุมเยอะ ก็ประชุมออนไลน์ซะ"   

ส่วนการปั๊มชีพจรผู้ประกอบการท่องเที่ยวระยะสั้น รัฐควรพิจารณากระบวนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ จากปีก่อนพูดไม่ถนัด เพราะยังไม่เห็นผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ที่ยังทำ "กำไรมาก" 

"ตอนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกำลังอ่อนแอ หลังจมน้ำมานาน แต่การพิจารณาให้สินเชื่อสามารถช่วยคนที่กำลังขึ้นจากน้ำ และดึงผู้ประกอบการในห่วงโซ่หรือซัพพลายเชนให้พ้นน้ำได้ทั้งระบบ"  


++4D คัมภีร์ดึงดูดนักเดินทาง

ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ฉายภาพธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมา ผู้ประกอบการมีความสุขกับตัวเลขนักท่องเที่ยวร่วม 40 ล้านคนต่อปี แต่โลกภายใต้โควิด ยากจะเห็นจำนวนคนมากมายเดินทางเช่นเดิม เพราะผ่านพ้นครึ่งปีแรก นักท่องเที่ยวมาไทยกว่า 34,000 คนเท่านั้น หลังเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ อ้าแขนรับนักเดินทางไปเกือบครึ่งหนึ่ง 


นอกจากนี้ โลกวิถีปกติใหม่(New Normal) แผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิม เพราะการจองทริปเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ไม่เตรียมการนานเหมือนในอดีต เพราะมีเงื่อนไขสถานการณ์โรคระบาดของแต่ละประเทศให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต มีผลต่อตารางการท่องเที่ยวทั้งสิ้น 

ท่ามกลางตัวแปรที่หลากหลาย แต่ภารกิจของททท. คือต้องผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโต จึงผ่อนเกียร์ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์การท่องเที่ยวไม่ได้ มุ่งผนึกกับสำนักงานทั้ง 29 ประเทศ ดึงนักเดินทางให้กลับมาเยือนไทย สื่อสารให้เข้าใจไทยมีภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ พัก อาศัย เที่ยวในเกาะได้ หากอยู่ครบตามเงื่อนไข ไร้ความเสี่ยงโรคระบาด อาจได้ขยายพื้นที่เที่ยวยังจุดอื่นๆได้ขึ้นภายใต้สถานการณ์และการควบคุมโรคระบาด  

ขณะที่การทำตลาดจะยึดสูตรเดิมไม่ได้ เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน จึงต้องปรับตัวเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย คัมภีร์ 4D ลุยตลาด ได้แก่ Demand ผู้ประกอบการต้องฟังความต้องการของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders)ที่ทำงานร่วมกัน อย่างยุคนี้มาเที่ยวโรงแรม ที่พักต่างๆต้องปลอดภัย เมื่อมาต้องตรวจเชื้อโควิด-19 ทำให้กินเวลานานขึ้น มีผลต่อเวลาเช็คอิน เช็คเอาท์ จึงต้องปรับให้เหมาะสม ไม่ยึดกฏเหล็กนับ 24 ชั่วโมง เช่น หากมาเช็คอิน 08.00 น. แล้วต้องเช็คเอาท์ เวลาใกล้เคียงกัน แขกเข้าพักต้องตื่นเช้าเพื่อออกจากโรงแรม อดมื้อเช้า เหล่านี้ต้องยืดหยุ่นได้ อย่าคำนึงถึงแค่ผลทางธุรกิจ

"กลยุทธ์เดิมอาจพัฒนาสินค้าดีขึ้นห้างขาย ประเทศไทยสวยหล่อเลือกได้ นักท่องเที่ยวมาเยือน 40 ล้านคน Enjoy มานาน แต่ยุคนี้ต้อง Demand Driven ทำตลาดต้องฟังเสียงลูกค้า ตอนนี้นักท่องเที่ยวพาครอบครัว คนรักมาเที่ยวจะมองหาสถานที่เที่ยวแล้วมั่นใจ ปลอดภัย"

Data Driven ข้อมูลขับเคลื่อนธุรกิจ ทำตลาดต้องรู้สถานการณ์แต่ละประเทศมีเงื่อนไขเกี่ยวกับโรคโควิด-19 อย่างไร ไทยอยู่ในโซนสีไหนของแต่ละประเทศ เพราะมีผลต่อการพัก กักตัวของนักท่องเที่ยวเมื่อกลับประเทศเหล่านั้น Digital โรคระบาดเป็นปัจจัยเร่งให้ดิจิทัลทรงพลังมากขึ้นและเปลี่ยนทุกสิ่งทั้งการติดต่อกัน อีเวนท์แบบกายภาพหรือ Physical ลดลง หากนักท่องเที่ยวไม่ต้องการใช้จ่ายเงินสด โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ต้องมีเทคโนโลยี บริการอิเล็กทรอนิกส์รองรับ และควรใช้เวลานี้ปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง เพราะยังมีเวลาก่อนนักเดินทางกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง

  Domestic กลับมาพึ่งการตลาดในประเทศ เมื่อคนไทยหยุดเชื้อเพพื่อชาติเป็นเวลานาน หากนโยบายเปิดประเทศ สถานการณ์โควิดคลี่คลาย การกระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวทั่วไทย เป็นกลไกฟื้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ "จีน" เป็นกรณีศึกษาน่าสนใจ เมื่อรัฐยังไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ ประชากรจำนวนมากเดินทางเที่ยวในประเทศทำสถิติเท่ากับปี 2562 การพักที่จุดหมายปลายทางต่างๆนานขึ้น เช่น ไปมาเก๊า 5 วัน จากปกติ 1-2 วันเท่านั้น 

++ เที่ยวเชิงสุขภาพ 

New S-Curve เติบโต   

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย อดีตเคยมีนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจากยุโรป สหรัฐฯ เข้ามาพักผ่อนเป็นเวลาหลายวัน กระทั่ง "มังกรผงาด" จีนยุคใหม่ต่างพากันตบเท้าออกนอกประเทศเพื่อชมโลกกว้าง ไม่เพียงเท่านั้น ยุคโลกไร้พรมแดน ทำให้มีนักท่องเที่ยวอิสระ(FIT)ทั่วทุกมุมโลกออกเดินทางมากขึ้น ทำให้กลุ่มเป้าหมายของแต่ละตลาดเปลี่ยน รวมถึงไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลมามหาศาล 

ทว่า จากนี้ไปตัวเลข ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญสุดอีกต่อไป เพราะผู้ประกอบการตีโจทย์ใหม่ ป้องกันความเสี่ยงจากตลาดเดียว และขยายตลาดเพิ่มขุมทรัพย์รายได้ ซึ่งหลายส่วนเห็นพ้องว่าหลังโรคโควิดระบาด การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) รวมถึง การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์(Medical Tourism) จะมีบทบาทยิ่งขึ้น 

กิตติศักดิ์ ปัทมะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจมนทาระ ฮอสพิตาลิตี้ กรุ๊ป ผู้บริหาร ตรีสรา รีสอร์ต ภูเก็ต หยิบข้อมูลย้อนหลังปี 2560 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่าถึง 6.4 แสนล้านดอลลาร์ ขนาดใหญ่กว่าจีดีพีไทยมาก และมีอัตราการเติบโตราว 7% ขยายตัวเร็วกว่าเศรษฐกิจหลายประเทศด้วยซ้ำ 

ทั้งนี้ หากธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่พึ่งพาชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะจีน รัสเซีย ซึ่งยังไม่กลับมาในเร็วๆนี้ ทำให้ต้องปรับตัวหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวให้ได้

นอกจากนี้ การติดตามสถานการณ์โรคระบาด และศึกษาข้อมูลต่างๆ ทำให้กรณีที่น่าสนใจ อย่างสหรัฐฯ มีผู้ป่วยนับล้าน หากไม่มีโรคเรื้อรังอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 14% หากมีโรคเรื้อรัง อัตราจะเพิ่มเป็น 45% หรือราว 3 เท่าตัว และมีผลต่อการเสียชีวิตจาก 5% เป็น 20% หรือเพิ่ม 4 เท่าตัว ผลกระทบไม่ได้เกิดกับร่างกายเท่านั้น แต่มีผลต่อสภาพจิตใจของคนในครอบครัวด้วย 

ขณะที่พฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพยังสูง 2-4 เท่าตัว และใช้เวลาทำกิจกรรม พักผ่อนยาวนานเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวทั่วไป ส่วนการเดินทางยังไปพร้อมครอบครัว พ่อแม่ ลูกฯ 

"โควิดทำให้คนตระหนักเรื่องสุขภาพ และกระตุ้นตลาดความต้องการตลาดสุขภาพทั่วโลก wellness tourism จึงเป็นโอกาสในวิกฤติ" 

ทั้งนี้ บริษัทจึงพัฒนาโครงการ "ตรีวนันดา" บนพื้นที่ 600ไร่ มีโซนที่พักอาศัย และรีสอร์ท รองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยจุดเด่นโครงการไม่เพียงรองรับนักท่องเที่ยว แต่ยังตอบโจทย์การลงทุนด้วย เพื่อให้ลูกค้าที่ลงทุนสามารถปล่อยเช่าได้ผลตอบแทน ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้กลับเข้ามาลงทุนส่งเสริมเครื่องยนต์เศรษฐกิจภูเก็ตและประเทศต่อไป

"ระยะยาว Wellness Tourism ตอบโจทย์การผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตในอนาคต เพราะคนทัวโลกต้องการมีสุขภาพดี ประเทศไทยมีทรัพยากร วัฒนธรรม บุคลากรตอบโจทย์" 

 ศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) เห็นพ้องว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ถือเป็นปัจจัยสร้างการเติบโตใหม่หรือ New S-Curve ของภาคท่องเที่ยว เพราะโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องรักษาชีวิต รักสุขภาพ หันมาสร้างภูมิป้องกันโรคต่างๆมากขึ้น 


หากมองดูประเทศไทย มีจุดแข็งมากมายที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ ทั้งมีทรัพยากรสมุนไพร การปลดล็อกกัญชาเพื่อทางการแพทย์ และเชิงพาณิชย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ บริษัทนำไปต่อยอดในโครงการมายโอโซน เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต ยกระดับเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางเหมือนการไปดื่มไวน์ณ เมืองต่างๆในประเทศฝรั่งเศส 

"โควิดทำให้คนโหยหามากสุดคือสุขภาพ เพราะมีเงินก็ตาย ขณะที่การส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เมดิคัล ฮับต่างๆ ไม่ยาก เพราะไทยมีจุดแข็งอยู่แล้ว หากทำได้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาเร็ว"

พัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่จะยั่งยืน ต้องหันพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และไม่แค่การรักษาพยาบาล แต่มองถึงการเป็นแหล่ง "ดิจิทัล ดีท็อกซ์" ใช้พื้นที่อับสัญญาณโทรศัพท์ พัฒนารีสอร์ท เพื่อให้นักเดินทางมาปรับคุณภาพชีวิต กลับมาตั้งสติมากขึ้น 

นอกจากนี้ จะยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร Agro Gastronomy เชื่อมโยงการเกษตรกับอาหารแบบครบวงจร มีลายแทงร้านเด็ดดี ปราศจากสารเคมี ดึงนักเดินทางให้มาเที่ยวแล้วได้เรียนรู้ศาสตร์การทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพติดตัวกลับไป เป็นต้น  

ภูเก็ต จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของไทย แต่ละปีโกยนักเดินทางจำนวนมาก เศรษฐกิจท้องถิ่น 95% พึ่งพาการท่องเที่ยว แต่โควิดทำให้ต้องคิดใหม่ ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต บอกว่า ระยะยาวการฟื้นเศรษฐกิจภูเก็ต ต้องไม่ยึดติดกับท่องเที่ยว ต้องสร้างเครื่องยนต์ใหม่ เช่น การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การศึกษา สมาร์ทซิตี้ฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ยอมรับว่าจะก้าวไปสู่จุดดังกล่าว เป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อย พัฒนาระบบขนส่ง ดูแลการท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อมให้ดี

"เพื่อไม่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ  ควรหานวัตกรรมทางการเงินเพื่อให้ภูเก็ตเดินหน้าต่อได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนมองระยะยาว ต้องเอาตัวรอดปัจจุบันก่อน หากติดหล่มการจัดการโรคระบาด อนาคตคงเป็นแค่ฝัน"
#3450


วิกฤติชิพเกิดจากในช่วงที่โควิด-19 ระบาด ทั่วโลกออกข้อจำกัดควบคุมการเดินทางการใช้รถใช้ถนนน้อยลง ผู้ผลิตชิพให้ความสำคัญกับสินค้าประเภทสมาร์ทโฟนและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นมากกว่าก่อน

ชิพถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ 60 ปีก่อนเพื่อใช้ในคอมพิวเตอร์ จากนั้นพัฒนามาใช้ในรถยนต์จนกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดและราคาแพงสำหรับอุปกรณ์ทันสมัยที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ การที่อุปทานชิพมีไม่พอทำให้ขาดแคลนไปทั้งโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากความต้องการสมาร์ทโฟนและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สูงเกินคาดในช่วงโควิด

เป็นที่ทราบกันดีว่า ระยะหลังชิพหรือเซมิคอนดักเตอร์ ถูกออกแบบมาให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น การผลิตก็ยากขึ้น นี่คือเหตุผลเบื้องต้นที่ทำให้ซัพพลายโลกขาดแคลน หากจะตั้งโรงงานใหม่ต้องใช้เวลาและเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นเนื่่องจากโควิด-19 ระบาดทำให้ซัพพลายชิพน้อยลง ปัจจัยหลักมาจากมาตรการกักตัวเปิดทางให้ผู้คนทำกิจกรรมที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือความบันเทิง ซึ่งต้องกระทำผ่านคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แทบเล็ต แม้แต่เครื่องเล่นเกม

โควิดยังบีบให้หลายๆ บริษัทพัฒนาระบบการทำงานทางไกล และติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์หรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งชิพนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับเทคโนโลยีทุกด้าน ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ได้ไปจนถึงในระบบรถยนต์ไฟฟ้า ปัญหาคอขวดช่วงโควิดจึงเริ่มที่อุตสาหกรรมรถยนต์ก่อน

สำนักข่าวอนาโดลูของตุรกีรายงานอ้างข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (เอสไอเอ) ยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกปี 2563 เพิ่มขึ้น 6.5% จากปี 2562 ทะลุ 4.39 แสนล้านดอลลาร์ หากเทียบเป็นรายภูมิภาคยอดขายในตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้น 19.8% ขณะที่ยอดขายในจีน ตลาดชิพใหญ่สุดของโลกเพิ่มขึ้น 5%

ดีมานด์สูงเกินคาด

ความต้องการที่สูงมากชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมแรกที่รู้สึกได้ถึงวิกฤติขาดแคลนชิพทั่วโลก รายงานจากบริษัทที่ปรึกษา "ดีลอยต์" เผยว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่จอแอลซีดีไปจนถึงระบบภายในจะมีสัดส่วนถึง 45% ของต้นทุนการผลิตรถหนึ่งคันภายในปี 2573

ต้นทุนส่วนประกอบที่มีเซมิคอนดักเตอร์เป็นพื้นฐานสำหรับใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้คาดว่าเพิ่มเป็น 475 ดอลลาร์ในปี 2563 และ 600 ดอลลาร์ในปี 2573

แม้ความต้องการชิพเพื่อใช้กับระบบคอมพิวเตอร์ในรถเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยความกังวลว่ามาตรการจำกัดการเดินทางช่วงโควิดจะส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ ทำให้ผู้ผลิตยกเลิกคำสั่งซื้อชิพ กลายเป็นว่าความต้องการจากบริษัทอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้นแทน ผู้ผลิตรถยนต์จะมาซื้อชิพทีหลังย่อมทำได้ยาก

ความยากลำบากในการหาซื้อชิ้นส่วนที่ต้องใช้ชิพและไมโครชิพทำให้ฟอร์ด เจนเนอรัลมอเตอร์ส โตโยต้า โฟล์คสวาเกน ฮอนด้า สเตลแลนติส และบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า "นีโอ" ต้องลดการผลิตหรือปิดโรงงาน

ความปั่นป่วนนี้ก่อให้เกิดความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์บีบให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องแข่งกับยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์อย่างแอ๊ปเปิ้ลซื้อชิพที่มีอุปทานจำกัด

บริษัทที่ปรึกษาอลิกซ์พาร์ทเนอร์สคาดว่า การขาดแคลนชิพอาจบั่นทอนรายได้อุตสาหกรรมรถยนต์โลกลงมากถึง 6.06 หมื่่นล้านดอลลาร์

เท่านั้นยังไม่พอ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นวิกฤติชิพอาจเป็นสาเหตุให้การผลิตหลายสาขาปั่นป่วนตามไปด้วย เช่น การผลิตสมาร์ทโฟน

เมื่อโควิดกระจายไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมชิพกำลังเตรียมการสำหรับช่วงหลังโควิดด้วยการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อรับมือวิกฤติ


ขณะนี้ชิพถูกมองว่าเป็นปัจจัยการแข่งขันระหว่างประเทศต่างๆ เมื่อบริษัทและนานาประเทศต่างพยายามกำหนดความเป็นไปในอุตสาหกรรมชิพผ่านการลงทุนมหาศาล เช่น อินเทล หนึ่งในผู้ผลิตชิพรายใหญ่สุดของโลก ประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตชิพใหม่อีกสองโรงในรัฐแอริโซนาด้วยเม็ดเงินลงทุน 2 หมื่นล้านดอลลาร์

ซัมซุง ยักษ์อิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้ก็กำลังวางแผนใช้งบประมาณ 1.16 แสนล้านดอลลาร์ ตั้งเป้าเป็นบริษัทผลิตชิพรายใหญ่สุดของโลกภายในปี 2573 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าซัมซุงกำลังก่อสร้างโรงงานใหญ่แห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปีนี้

ด้านไต้หวันเซมิคอนดักเตอร์แมนูแฟคเจอริง (ทีเอสเอ็มซี) ผู้รับจ้างผลิตรายใหญ่สุดของโลก ก็กำลังก่อสร้างโรงงานแห่งหนึ่งมูลค่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในแอริโซนาเหมือนกับอินเทล คาดว่าเริ่มผลิตได้ในปี 2567

ในจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาชิพจากต่างประเทศ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติสองรายให้เงินทุนราว 2.25 พันล้านดอลลาร์แก่เอสเอ็มไอซี ผู้ผลิตชิพชั้นนำของจีน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงานในเซี่ยงไฮ้ คาดว่าโรงงานแห่งนี้จะมีศักยภาพการผลิตเพิ่มเป็นสามเท่าในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อุตสาหกรรมชิพกำลังเตรียมตัวรับระเบียบใหม่จากการที่เศรษฐกิจโลกเปิดดำเนินการอีกครั้ง และนักออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ก็มีงานใหญ่รออยู่ข้างหน้าในการกำหนดระเบียบโลกใหม่หลังโควิด-19

จ่อลากยาวถึงปีหน้า

คาร์ลอส ทาวาเรส ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)สเตลแลนติส บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก กล่าวในงานสมาคมสื่อรถยนต์ที่เมืองดีทรอยต์ของสหรัฐ เมื่อกลางเดือน ก.ค.ตอกย้ำความเห็นของเดมเลอร์เอจีที่กล่าวไว้ก่อนในวันเดียวกันนั้นว่า การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่เล่นงานผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกส่งผลให้การผลิตรถยนต์ติดขัด อาจลากยาวไปถึงปี 2565

"วิกฤติเซมิคอนดักเตอร์เท่าที่ผมเห็นตอนนี้ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเห็นได้ทุกอย่าง กำลังลามเข้าสู่ปี 2565 ได้ไม่อยาก เพราะผมยังไม่เห็นสัญญาณการผลิตเพิ่มเติมจากแหล่งผลิตในเอเชีย เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับโลกตะวันตกในอนาคตอันใกล้" ทาวาเลสกล่าวและว่า สเตลแลนติสกำลังตัดสินใจเปลี่ยนชิพที่ใช้ให้หลากหลาย ซึ่งการปรับไปใช้ชิพที่แตกต่างออกไปต้องใช้เวลาราว 18 เดือน เนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีอันซับซ้อน

ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากโควิดทำให้ความต้องการรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ช่วยหนุนราคารถยนต์ใหม่และรถมือสองต่อเนื่องมาถึงความต้องการชิพ ผู้ผลิตบางรายรับมือปัญหาขาดแคลนชิพด้วยการลดบางฟีเจอร์ในรถยนต์ลง บางรายใช้วิธีผลิตโดยไม่ต้องใส่ชิพก่อนรอให้ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยประกอบทีหลัง

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952271
#3451



นิสสัน เปิดตัว อัลเมร่า สปอร์ตเทค ตกแต่งพิเศษด้วยฝีมืของ ออเทค เจแปน (Autech Japan) บริษัทในเครือ นิสสัน มอเตอร์ ที่ฝากผลงานตกแต่งกันรถหลายๆ รุ่น

บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมตลาดอีโค คาร์ เปิดตัว อัลเมร่า สปอร์ตเทค ที่ตกแต่งพิเศษเติมความสปอร์ต พรีเมียม แบบญี่ปุ่นทั้งภายในและภายนอก ด้วยผลงานของ ออเทค เจแปน  (Autech Japan, Inc) สำหรับลูกค้าที่ชอบความเรียบหรู ซึ่งนิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค จะใช้วัสดุตกแต่งที่

ออเทค เจแปน เป็นบริษัทในเครือ นิสสัน มอเตอร์ ญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อเสียงด้านงานออกแบบสไตล์สปอร์ตพรีเมียม และทำงานร่วมกับฐานการผลิตนิสสันในประเทศต่างๆ เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละตลาด ทำให้ได้รถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

โดยการตกแต่งพิเศษให้กับ อัลเมร่า สปอร์ตเทค ประกอบด้วย

กันชนหน้าและกันชนหลังใหม่ตกแต่งด้วยสีเงิน
กระจังหน้าแบบโครเมียมดำเงา
สปอยเลอร์หลังใหม่
ตราสัญลักษณ์ สปอร์ตเทค ที่ฝาท้าย
กระจกมองข้างสีเงินพร้อมไฟเลี้ยว
ล้ออัลลอยสีดำปัดเงาขนาด 15 นิ้ว ลายใหม่ 

อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย กล่าว นิสสันทำงานอย่างเต็มที่เพื่อศึกษาความต้องการของลูกค้า ด้วยรถยนต์ที่มีอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ วัสดุที่มีคุณภาพ ที่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน

สำหรับนิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค  ราคาเริ่มต้นที่ 629,000 บาท

และนอกจาก อัลเมร่า สปอร์เทค ใหม่แล้ว ออเทคยังนำเสนอผลงานการออกแบบ และตกแต่ง รถยนต์รุ่นพิเศษต่าง ๆ ของนิสสัน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ต หรือการดัดแปลงเพื่อการใช้งานเฉพาะในรูปแบบต่างๆ ต่างๆ เช่น รถที่ผู้ใช้ วีลแชร์สามารถเข้าออกได้ง่าย เป็นต้น

โดยตัวอย่างผลงานเด่นๆ จาก ออเทค  ในญี่ปุ่น ได้แก่  

นิสสัน ลีฟ ออเทค

นิสสัน เซเรน่า ออเทค 

นิสสัน มาร์ช โบเลโร่

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951728
#3452



นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผย ว่า ตามที่ ส.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เสนอให้รัฐบาลเยียวยาชาวสวนมังคุดที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ราคาตกต่ำในฤดูกาลผลิตปี 2564 ระหว่างการประชุมที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช

 โดยมี นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และตนร่วมประชุมพร้อมด้วยตัวแทนภาครัฐภาคเอกชนและภาคเกษตรกร เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น โดยตนได้ชี้แจงว่า คณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ทบอร์ด-Fruit Board) ยินดีรับข้อเสนอไปพิจารณา

ระหว่างนี้ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมการเกษตร ฝ่ายเลขานุการของฟรุ้ทบอร์ด ศึกษาและรวบรวมข้อมูลตลอดจนมาตรการเยียวยาโดยให้ยึดแนวทางการเยียวยาชาวสวนลำไยฤดูกาลผลิตปี 2563 จากนั้นให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ ในครั้งต่อไปโดยเร็ว และจะเสนอต่อ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

นอกจากนี้ นายอลงกรณ์ ยังกล่าวต่อไปว่า จากการที่ตนลงพื้นที่เพื่อติดตามเร่งรัดการแก้ไขปัญหามังคุดและผลไม้ภาคใต้ 3 จังหวัด (ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช) ตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้ 7 มาตรการเพิ่มเติมล่าสุดของฟรุ้ทบอร์ด ระหว่างวันที่ 28 - 29 ก.ค. ที่ผ่านมา ร่วมกับนายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์โดยเฉพาะมังคุดมีราคาตกต่ำ พบว่าระบบการขนส่งผลไม้แบบบริการส่งถึงที่รวมทั้งระบบการค้าออนไลน์เกือบเป็นอัมพาตโดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้ามังคุดใหญ่ที่สุดของภาคใต้เพราะผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น บริษัทไปรษณีย์ไทย บริษัทเคอร์รี่ เป็นต้น ได้หยุดให้บริการโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น ตนจึงได้ประสานขอความร่วมมือไปยัง ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายพงษ์ทร วิเศษสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย เมื่อวันที่ 28 ก.ค. และภายใน 24 ชั่วโมง บริษัทไปรษณีย์ไทยได้เปิดให้บริการเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วนอีกครั้งพร้อมกัน 105 สาขาใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.เป็นต้นไป ทำให้ระบบการขนส่ง ระบบไปรษณีย์และการค้าออนไลน์กลับมาเปิดบริการอีกครั้งหนึ่ง

และวันนี้ได้ประสานกับบริษัทไปรษณีย์ไทยให้พร้อมนำส่งผู้รับปลายทางที่อยู่ในพื้นที่สีแดงทุกพื้นที่ซึ่งได้รับการยืนยันว่าจะเร่งกำชับไปรษณีย์ทุกสาขาให้ดำเนินการตามข้อเสนอและการจัดส่งอาจช้าไป 1 วัน เพราะต้องใช้สาขาปลายทางที่อยู่นอกพื้นที่สีแดงผลัดเวรกันส่งเนื่องจากก่อนหน้านี้พนักงานของสาขาในพื้นที่สีแดงติดโควิดโดยไปรษณีย์ไทยจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อช่วยชาวสวน

 

 ซึ่งตนได้ขอบคุณบริษัทไปรษณีย์ไทยและนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิตอลฯ ที่ให้ความร่วมมือ กับฟรุ้ทบอร์ดด้วยดีตลอดมา เพราะระบบขนส่งเป็นกลไกสำคัญในการค้าขายและระบายผลไม้ออกจากแหล่งผลิตทั้งการค้าแบบออฟไลน์และออนไลน์ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ขอความร่วมมือไปยังบริษัทเคอรรี่ตกลงที่จะเปิดบริการอีกครั้งเช่นกัน ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ ได้ติดตามประสานงานกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อย่างใกล้ชิดด้วยความห่วงใยต่อเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19

 

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ฟรุ้ทบอร์ดได้คิกออฟโครงการ "เกษตรกรแฮปปี้" โดยรณรงค์ภายใต้กลยุทธ์เพิ่มการขายภายในประเทศทดแทนการส่งออกซึ่งเป็น 1 ใน 7 มาตรการใหม่ของฟรุ้ทบอร์ด ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา และขอความร่วมมือพี่น้องชาวไทยทุกคนรวมทั้งชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยช่วยกันสร้างรอยยิ้มให้กับเกษตรกรด้วยการซื้อผลไม้ไทย

 

"ช่วงนี้ต้องเร่งช่วยระบายมังคุดคละที่สดอร่อยพร้อมจำหน่ายสู่ผู้บริโภคภายในประเทศทั้งรูปแบบการขายออนไลน์และออฟไลน์ซึ่งมีปริมาณมากและราคายังไม่น่าพอใจ แม้แนวโน้มราคาเริ่มปรับตัวดีขึ้นจึงได้ออกแคมเปญ "เกษตรกรแฮปปี้" ในวันนี้ ส่วนการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ รมว.พาณิชย์ และรมว.เกษตรฯ ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และปัญหาการขาดแคลนแรงงาน"

 รวมทั้งการขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าผลไม้ (ล้ง) ทั้งค้าภายในและส่งออกให้ล้งมาซื้อมังคุดด้วยมาตรการที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องทำให้สถานการณ์เริ่มกระเตื้องขึ้น โดยล่าสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช รายงานว่ามีล้งเข้ามาซื้อขายมังคุดและผลไม้เพิ่มขึ้นจาก 40 กว่า ล้ง เป็น 146 ล้ง

 

นอกจากนี้สมาคมผู้ส่งออกทุเรียนมังคุดแจ้งว่าสามารถจองตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งออกผลไม้ทางเรือได้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.ซึ่งจะทำให้ลดการขนส่งทางรถไปประเทศจีนที่แออัดติดขัดที่ด่านโหยวอี้กวนและด่านโมฮ่านมีผลทำให้ตู้คอนเทนเนอร์หมุนกลับมาภาคใต้ไม่ทัน เชื่อว่าตู้คอนเทนเนอร์จะทยอยกลับมาขนมังคุดได้มากขึ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้าจะทำให้การซื้อขายเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อราคาที่จะขยับตัวสูงขึ้น" นายอลงกรณ์ กล่าว


ด้านนายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัญหาหลัก ๆ ที่พบ มาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงมาตรการป้องกันและควบคุมเชื้อโรคของประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกมังคุดและผลไม้อื่น ๆ ของไทย ที่เกิดจากปัญหาการขนส่งล่าช้า การขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์และตะกร้าใส่ผลไม้ รวมทั้งปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าพื้นที่ที่ทำได้ยาก การขาดแคลนแรงงาน และตะกร้ามีไม่พอ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้เร็วขึ้น

 

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์มีแนวทางมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยกระจายมังคุดในประเทศช่วงที่การส่งออกมีปัญหา ดังนี้ 1. เชื่อมโยงและกระจายมังคุดออกนอกแหล่งผลิต โดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการแก่ศูนย์กระจายในจังหวัดแหล่งผลิต กก.ละ 3 บาท ซึ่งกรมการค้าภายในโอนเงินให้จังหวัดดำเนินการจำนวน 50,850,000 บาท ตามที่ฟรุ้ทบอร์ดอนุมัติเพื่อกระจายมังคุดจำนวน 16,950 ตัน ออกนอกแหล่งผลิตอย่างเร่งด่วน

 

สนับสนุนค่าขนส่งสำหรับผลไม้ที่ส่งผ่านไปรษณีย์ กรมการค้าภายในร่วมกับบริษัทไปรษณีย์ไทยสนับสนุนกล่องไปรษณีย์และสติกเกอร์ส่งฟรีผลไม้ทั่วประเทศส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์แก่เกษตรกรรายย่อยจำนวน 20,000 กล่องกล่องละ 10 กก. เพื่อช่วยกระจายผลไม้ 2,000 ตัน และ 3. เชื่อมโยงผู้รับซื้อของกรมการค้าภายในให้ช่วยเร่งระบายมังคุดเกรดรองหรือตกเกรดออกจากแหล่งผลิตโดยเร่งด่วนกรณีเกิดปัญหาระบายมังคุดไม่ทันในบางพื้นที่
 

จากนั้น ที่ปรึกษารมว.เกษตรฯ ได้ร่วมเปิดบริการส่งมังคุด ณ สำนักงานไปรษณีย์ไทยสาขาพรหมคีรี ก่อนเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์รับซื้อมังคุดชนิดคละกก.ละ 20 บาท ที่อำเภอพรหมคีรีซึ่งเป็นโมเดลใหม่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการล้ง เกษตรกรในพื้นที่และศูนย์บลูเฮ้าส์ พรรคประชาธิปัตย์ในการนำล้งมาซื้อตรงจากเกษตรกรด้วยราคานำตลาด โดยจะให้ขยายโมเดลนี้ในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย ต่อมา ได้เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนมังคุดแปลงใหญ่ และศูนย์กระจายสินค้าบริษัทไปรษณีย์ไทยอำเภอลานสกา สำหรับ จ.นครศรีธรรมราช มีพื้นที่ปลูกมังคุดทั้งหมด 96,159 ไร่ กระจายอยู่ใน 21 อำเภอ มีพื้นที่ที่ให้ผลผลิตแล้ว 90,016 ไร่ ปี 2564 นี้ คาดว่าจะให้ผลผลิตประมาณ 57,245 ตัน

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในวันที่ 28 ก.ค. นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ได้ลงพื้นที่ตลาดกระจายสินค้าเกษตร ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ติดตามสถานการณ์ผลไม้ในพื้นที่ และประชุมหารือกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมังคุด ตลอดจนการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อนำผลผลิตออกสู่ตลาด จากนั้นลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ผลไม้ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และร่วมหารือในการแก้ไขปัญหาการกระจายผลไม้ ปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำ และการเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายผลผลิตโดยเฉพาะเงา พร้อมทั้งลงพื้นที่ตลาดสหกรณ์การเกษตร อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี

 

ทั้งนี้ จ.ชุมพร มีปริมาณผลผลิตรวม 51,587 ตัน ช่วงปลายเดือน ก.ค. 2564 จะปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดกว่า 26,985 ตัน จนถึง ปลายเดือน ส.ค. 2564 ปริมาณ 16,141 ตัน และราคาผลผลิตมังคุด ตลาดทั่วไป กก.ละ 8 – 10 บาท ราคา หน้าล้ง 33 บาท (รับซื้อเฉพาะลูกค้าประจำ) ตลาดประมูลจากกลุ่มผลิตมังคุดคุณภาพในพื้นที่จังหวัดชุมพร จำนวน 26 กลุ่ม เปิดประมูลผลผลิตมังคุด เพียง 11 กลุ่ม ในพื้นที่ อำเภอหลังสวน พะโต๊ะ ละแม ราคาผลผลิตมังคุดตลาดประมูล 12 - 33 บาท (เฉลี่ยทุกเบอร์ ราคา 16.77 บาท) ปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะมีปัญหา 30,735 ตัน สำหรับ จ.สุราษฎร์ธานี ทุเรียนมีปริมาณผลผลิต 46,957 ตัน เก็บเกี่ยวแล้วร้อยละ 50 ราคา กก.ละ 110 บาท มังคุดมีปริมาณผลผลิต 7,294 ตัน เก็บเกี่ยวแล้วร้อยละ 50 ราคากก.ละ 23 บาท เงาะมีปริมาณผลผลิต 38,936 ตัน เก็บเกี่ยวแล้วร้อยละ 32 ราคากก.ละ 25 บาท ลองกองมีปริมาณผลผลิต 4,842 ตัน เริ่มเก็บเกี่ยวไปเพียงร้อยละ 0.66 ราคากก.ละ 50 
บาท.

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952127
#3453



ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (27, 29-30 ก.ค.) มีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 2.37 แสนล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า (19-23 ก.ค.) ที่มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 3.62 แสนล้านบาท เนื่องจากเปิดทำการเพียงแค่ 3 วัน

โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดการซื้อขายปลายสัปดาห์ที่ 1,521.92 จุด ปรับตัวลดลง 1.50% จากระดับปิดของสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 1,545.10 จุด

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียว 2,841.74 ล้านบาท ส่วนที่เหลือพร้อมใจซื้อ โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,389.84 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 635.29 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 816.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาการซื้อขายของบัญชี "เอ็นวีดีอาร์" (NVDR) ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศในการซื้อหุ้นไทย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 ก.ค. พบว่า

10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสูงสุด ได้แก่

KBANK มูลค่าซื้อสุทธิ 543.11 ล้านบาท

TRUE มูลค่าซื้อสุทธิ 341.02 ล้านบาท

ADVANC มูลค่าซื้อสุทธิ 336.23 ล้านบาท

CBG มูลค่าซื้อสุทธิ 321.78 ล้านบาท

CPALL มูลค่าซื้อสุทธิ 251.39 ล้านบาท     

RCL มูลค่าซื้อสุทธิ 214.30 ล้านบาท           

IVL มูลค่าซื้อสุทธิ 206.84 ล้านบาท           

SCC มูลค่าซื้อสุทธิ 203.47 ล้านบาท

PTT มูลค่าซื้อสุทธิ 172.50 ล้านบาท

AOT มูลค่าซื้อสุทธิ 165.76 ล้านบาท

และ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสูงสุด ได้แก่

TOP มูลค่าขายสุทธิ 539.02 ล้านบาท   

PTTEP มูลค่าขายสุทธิ 316.17 ล้านบาท   

PTTGC มูลค่าขายสุทธิ 196.51 ล้านบาท   

KGI มูลค่าขายสุทธิ 73.65 ล้านบาท   

GULF มูลค่าขายสุทธิ 66.75 ล้านบาท   

BJC มูลค่าขายสุทธิ 56.52 ล้านบาท   

AS มูลค่าขายสุทธิ 54.45 ล้านบาท   

ASP มูลค่าขายสุทธิ 53.17 ล้านบาท   

IRPC มูลค่าขายสุทธิ 50.01 ล้านบาท   

WICE มูลค่าขายสุทธิ 48.84 ล้านบาท   

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952178
#3454



อาการแพ้นมแบบเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมภายใน 15 นาที-2 ชั่วโมง โดยมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง ลมพิษ ปากบวม ลิ้นบวม หายใจลำบาก ปวดท้อง หรืออาเจียน
ถ้ารู้ว่าตัวเองแพ้ ให้งดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิด อย่างน้อย 3-6 เดือน ถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาดื่มอีกครั้ง

นมมีโปรตีนและแคลเซียมสูง หากต้องการรับประทานอาหารอื่นเพื่อทดแทนการดื่มนม ควรเลือกอาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือถั่วเมล็ดแห้ง หรืออาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก เต้าหู้ก้อน บรอกโคลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
นมวัวเป็นแหล่งของโปรตีนและแคลเซียม มีประโยชน์กับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่ก็พบว่าผู้บริโภคนมวัวบางกลุ่มจะมีอาการแพ้ ซึ่งสาเหตุหลักมักเป็นการแพ้โปรตีนจากนมวัว (cow's milk allergy) ในปัจจุบันโรคแพ้นมวัวพบได้บ่อยและมีอาการแสดงหลากหลายรูปแบบ ซึ่งปฏิกิริยาในการแพ้นมวัวอาจเกิดจากกระบวนการทำงานของแอนติบอดี IgE mediated หรือ non IgE mediated หรืออาจเกิดจากทั้ง 2 อย่างร่วมกันได้ โดยสาเหตุอาจเกิดจากการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังพบโรคแพ้นมวัวได้บ่อยในช่วงวัยทารกอันอาจเกิดจากระบบการย่อยอาหารของทารกที่ยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่

ประวัติที่น่าสงสัยว่าแพ้นมวัว

มีโรคภูมิแพ้ของบุคคลในครอบครัว
มีอาการที่แสดงหลังจากเด็กดื่มนมวัว เช่น มีผื่นลมพิษ ปากบวม ตาบวม ถ่ายมูกเลือด หายใจติดขัดดังครืดคราด หรือผื่นแพ้ผิวหนังที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
มีประวัติว่าแม่ดื่มนมวัวในช่วงตั้งครรภ์มากกว่าปกติ ซึ่งโปรตีนในนมวัวอาจกระตุ้นให้ทารกเกิดการแพ้ได้
กรณีที่เด็กกินนมแม่อย่างเดียว ในขณะที่แม่ดื่มนมวัวมากกว่าปกติในช่วงให้นมบุตร
เด็กมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ หรือมีประวัติเปลี่ยนนมมาหลายยี่ห้อ แต่ยังมีอาการดังที่กล่าวไปข้างต้น
ซึ่งสามารถวินิจฉัยหาสาเหตุได้ตรงจุด หากพาเด็กมาพบกุมารแพทย์เพื่อซักประวัติและตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย

อาการแพ้นม

หากเป็นอาการเฉียบพลันที่เกิดจาก IgE mediated อาการจะเกิดขึ้นหลังจากดื่มนมวัวภายใน 15 นาที-2 ชั่วโมง โดยจะมีอาการแพ้ซึ่งแต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง, ลมพิษ, ปากบวม, ลิ้นบวม, หายใจลำบาก, ปวดท้อง หรืออาเจียน เป็นต้น

หากอาการเกิดจาก non IgE mediated หรือทั้ง 2 อย่างตามที่กล่าวในตอนต้น อาการอาจเกิดขึ้นหลังดื่มนมวัวประมาณ 6-48 ชั่วโมง ซึ่งอาการก็อาจต่างกัน เช่น ผื่นแพ้ผิวหนัง ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือหายใจครืดคราด

ทำอย่างไรถ้ารู้ว่าแพ้นมวัว
ถ้ารู้ว่าตัวเองมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แนะนำให้มาพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตัวที่ดีที่สุด คือ การงดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดอย่างน้อย 3-6 เดือน ถึง 1 ปี แล้วลองกลับมาทดลองดื่มใหม่ในปริมาณน้อยๆ หากไม่ใช่อาการแพ้รุนแรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์

สำหรับทารกที่ดื่มนมแม่ สามารถกินนมแม่ต่อได้ แต่ต้องให้แม่งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว อย่างน้อย 1 สัปดาห์ จึงเริ่มกินนมแม่ได้ ในระหว่างที่งดนมแม่อาจพิจารณาใช้นมสูตรพิเศษทางการแพทย์สูตรเปปไทด์สายสั้น (extensively hydrolyzed formula) แทนได้ แต่หากอาการแพ้ไม่ดีขึ้นค่อยพิจารณาใช้นมที่เป็นอาหารทางการแพทย์ หรือที่เรียกว่าสูตรกรดอะมิโน (amino acid formula) โดยมารดาที่งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ควรได้รับการเสริมแคลเซียมทดแทน

สำหรับการรักษาอาการที่เกิดขึ้นจากการแพ้นมวัวจะเป็นการงดนมวัว และให้ยารักษาตามอาการ นอกจากนี้มีการแนะนำให้เด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ที่ไม่ได้แพ้ถั่วเหลือง อาจพิจารณาเปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองสูตรไม่หวาน ที่มีการเสริมแคลเซียม เป็นทางเลือกได้

การป้องกันการแพ้นมวัว

ในเด็กเล็ก การดื่มนมแม่จะช่วยป้องกันการเกิดการแพ้อาหารได้ เพราะเป็นการลดการสัมผัสโปรตีนแปลกปลอมจากนมผสม นอกจากนี้นมแม่ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย โดยไม่ควรงดนมวัวในกรณีที่ไม่มีอาการแพ้นมวัว เนื่องจากอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารในเด็กได้โดยเฉพาะแคลเซียม

(ปริมาณแคลเซียมที่ต้องการตามอายุ ได้แก่ ทารกอายุ 0-5 เดือน ได้รับเพียงพอจากนมแม่เพียงอย่างเดียว, ทารกอายุ 6-11 เดือน 270 มิลลิกรัมต่อวัน, เด็กอายุ 1-3 ปี 270-500 มิลลิกรัมต่อวัน)

ทางเลือกอื่นๆ สำหรับเด็กโต หรือผู้ใหญ่ที่แพ้นมวัว
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากพืชหลากหลายชนิด และสามารถหาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อต่างๆ เช่น

นมจากถั่วเหลือง (Soy milk) สามารถใช้เป็นทางเลือกหากแพ้นมวัว แต่ไม่แพ้ถั่วเหลือง โดยให้เลือกนมถั่วเหลืองที่มีการเสริมแคลเซียม เนื่องจากนมถั่วเหลืองจากธรรมชาติจะมีแคลเซียมต่ำ ข้อดีคือ ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย
นมจากอัลมอนด์ (Almond milk) เป็นนมทางเลือกของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการจำกัดปริมาณแคลอรีในแต่ละวัน เพราะนมจากอัลมอนด์ให้พลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนมวัวหรือนมถั่วเหลืองในปริมาณที่เท่ากัน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันที่ดี และวิตามินอี แต่มีปริมาณโปรตีนและแคลเซียมน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง โดยเฉพาะการให้นมชนิดนี้กับเด็กอาจได้คุณค่าทางอาหารน้อย ดังนั้นควรอ่านฉลากโภชนาการก่อน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริมแคลเซียมด้วย
นมข้าวโพด (Corn milk) และนมจากข้าว (Rice milk) นมข้าวโพดและนมจากข้าว จะมีปริมาณโปรตีนไม่มากนักเมื่อเทียบกับนมวัว และเหมาะกับผู้บริโภคที่มีประวัติการแพ้ถั่ว หรืออัลมอนด์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้การกินนมที่ไม่ใช่นมวัวนั้นมีคุณค่าทางสารอาหารมากขึ้น ผู้ผลิตบางรายก็มีการนำกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารในนมข้าวโพดและนมจากข้าวให้มีมากขึ้น เช่น การเสริมแคลเซียม เป็นต้น
คุณประโยชน์ของนมจากพืชแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันตามชนิดของพืช คุณภาพของวัตถุดิบ และกรรมวิธีการผลิต บางผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบในระยะที่มีสารอาหารสูง เช่น ใช้ข้าวในระยะงอก หรือการใช้เทคโนโลยีการแปรรูปวัตถุดิบให้คงปริมาณสารอาหารไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ คือ การอ่านฉลากข้อมูลทางโภชนาการ (Nutrition information) และส่วนประกอบ (Ingredients) อย่างละเอียด เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ และได้รับสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละช่วงวัย อีกทั้งข้อควรระวังในการบริโภคนมจากพืช บางผลิตภัณฑ์มักมีปริมาณน้ำตาลสูง ควรเลือกสูตรหวานน้อยหรือไม่หวานเลย และควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้หลากหลาย และครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน

อาหารทางการแพทย์ที่ใช้รักษาผู้ที่มีภาวะแพ้โปรตีนนมวัว
1. Soy protein-based formula (อาหารทางการแพทย์สูตรโปรตีนจากถั่วเหลือง) ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้โปรตีนนมวัวได้ อย่างไรก็ตามในถั่วเหลืองมีโปรตีน β-conglycin และ glycinin ซึ่งเป็นโปรตีนโมเลกุลใหญ่ และสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน จึงมีการแนะนำให้ใช้อาหารทางการแพทย์สูตรโปรตีนจากถั่วเหลืองสำหรับรักษาภาวะแพ้โปรตีนนมวัวในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของภาวะแพ้อาหารแบบเฉียบพลัน ผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้ที่มีอาการไม่รุนแรง และแนะนำให้ใช้ในทารกอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป หากผู้ป่วยรับประทานอาหารทางการแพทย์สูตรโปรตีนจากถั่วเหลืองแล้วไม่ได้ผล แนะนำให้ใช้อาหารทางการแพทย์สูตรเปปไทด์ขนาดเล็ก หรือสูตรกรดอะมิโนแทน

2. Extensively hydrolyzed formula (อาหารทางการแพทย์สูตรเปปไทด์สายสั้น) เป็นสูตรอาหารที่ทำให้โปรตีนผ่านกระบวนการย่อยโดยใช้เอนไซม์ ความร้อน หรือกระบวนการ Ultrafiltration เพื่อให้แตกตัวเป็นเปปไทด์สายสั้นๆ เพราะเนื่องจากภาวะแพ้โปรตีนจากนมวัวนั้น โปรตีนที่ทำให้เกิดอาการแพ้ คือ β-lactoglobulin ดังนั้นการย่อยโปรตีนเป็นเปปไทด์สายสั้นจะทำให้ปริมาณ βlactoglobulin ในนมลดลง ซึ่งจะมีโอกาสกระตุ้นให้เกิดการแพ้ลดลง

3. Amino acid-based formula (อาหารทางการแพทย์สูตรกรดอะมิโน) เป็นสูตรนมที่ประกอบด้วย กรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acids) และกรดอะมิโนไม่จำเป็น (non-essential amino acids) ส่วนคาร์โบไฮเดรตมาจาก corn glucose polymer เป็นส่วนใหญ่ และปราศจากน้ำตาลแลคโตส ส่วนไขมันมาจากน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ซึ่งนมชนิดนี้จะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้โปรตีนนมวัวอย่างรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยนมสูตรเปปไทด์ขนาดเล็ก

4. Modular formula (MF, อาหารทางการแพทย์สูตรที่เตรียมสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย) คือ นมสูตรทางการแพทย์ที่เตรียมสำหรับผู้ป่วยให้เหมาะสมกับโรคแต่ละโรค โดยนมสูตรที่เตรียมสำหรับผู้ป่วยเฉพาะรายที่ใช้ในการรักษาภาวะแพ้โปรตีนนมวัว เช่น นมสูตรโปรตีนจากเนื้อไก่ หรือนมข้าวอะมิโน เป็นต้น

อาหารทดแทนนม
เนื่องจากผลิตภัณฑ์นมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์ คือ มีโปรตีน และแคลเซียมสูง ดังนั้นหากต้องการรับประทานอาหารอื่นๆ เพื่อทดแทนการดื่มนม ควรเลือกดังนี้

อาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น
อาหารที่มีแคลเซียมในปริมาณสูง เช่น ปลาตัวเล็ก เต้าหู้ก้อน บรอกโคลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
ซึ่งการกินในปริมาณที่เพียงพอ สามารถเป็นอาหารทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว.

บทความโดย : พญ.ธนิศา ขวัญบุญบำเพ็ญ กุมารแพทย์ด้านโภชนาการเด็ก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์
#3455



ธปท.ขยายเวลางานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้"เช่าซื้อรถยนต์"ถึง 31 ส.ค. 64  เพื่อช่วยประชาชนที่มีหนี้เช่าซื้อรถยนต์ทุกสถานะที่มีความยากลำบากในการชำระหนี้ช่วงที่โควิดระบาดหนัก แจงตั้งแต่1มิ.ย.มีประชาชนร่วมลงทะเบียน24,199 คัน

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ขยายเวลาจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อรถยนต์ออนไลน์ออกไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีหนี้เช่าซื้อรถยนต์ทุกสถานะที่มีความยากลำบากในการชำระหนี้ช่วงที่โควิด 19 ยังระบาดอย่างรุนแรง

ตามที่ ธปท. ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และผู้ให้บริการ 12 แห่ง ได้ร่วมกันจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ออนไลน์ขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่า มีประชาชนให้ความสนใจและทยอยลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องรวมจำนวน 24,199 คัน ซึ่งผลการไกล่เกลี่ยสามารถที่ช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าเงื่อนไขได้ประมาณร้อยละ 75

นางธัญญนิตย์ เปิดเผยว่า กำหนดเดิมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อรถยนต์จะหมดวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ยังมีความรุนแรงประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถออกมาทำงานได้ตามปกติ ธปท. จึงตัดสินใจต่ออายุงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อรถยนต์ออกไปอีก 1 เดือนเพื่อรองรับประชาชนที่อาจจะต้องการความช่วยเหลือ 

ธปท. ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มีหนี้เช่าซื้อรถยนต์ สมัครลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการภายในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ โดยงานมหกรรมครั้งนี้รองรับหนี้เช่าซื้อรถยนต์ทุกสถานะซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

(1) กลุ่มที่ยังผ่อนชำระปกติแต่เริ่มมีปัญหาการผ่อนชำระในช่วงนี้ ท่านสามารถขอลดจำนวนค่างวดที่ต้องจ่าย หรือ ขอพักชำระหนี้ ซึ่งดอกเบี้ยในช่วงพักชำระหนี้จะคำนวณจากฐานของค่างวดในช่วงที่พักชำระหนี้ตามแนวทางของ สคบ. ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มมีไม่มาก

(2) กลุ่มที่รถถูกยึดไปไม่นาน รถยังไม่ถูกขายทอดตลาด และเป็นรถที่ใช้ประกอบอาชีพ รวมทั้งกรณีที่ได้จ่ายค่างวดไปมากระดับหนึ่ง ท่านสามารถที่จะขอไกล่เกลี่ยที่จะรับรถคืน โดยแนวการไกล่เกลี่ยส่วนนี้คือผู้ให้เช่าซื้อจะยอมให้รับรถที่ยึดมากลับไป โดยจะให้ผ่อนชำระหนี้ต่อจากที่หยุดไป และจะคิดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มจากค่างวดที่ค้างชำระเท่านั้น ซึ่งจะจ่ายไม่มาก

(3) กลุ่มที่รถถูกขายทอดตลาดไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถตกลงกับเจ้าหนี้เกี่ยวกับจำนวนหนี้เช่าซื้อส่วนขาดที่เจ้าหนี้เรียกร้องให้ชำระเพิ่มเติม ก็สามารถใช้ช่องทางของงานมหกรรมครั้งนี้เจรจาไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้ โดยยอดหนี้ที่ต้องชำระหนี้เพิ่มจะคำนวณด้วยวิธีที่เป็นธรรม และสามารถผ่อนชำระหนี้ส่วนนี้ได้นาน 3 ปีโดยไม่มีดอกเบี้ย


สคบ. สำนักงานศาลยุติธรรม และ ธปท. ได้จัดทำ application สำหรับผู้ที่มีปัญหาติ่งหนี้ ที่จะสามารถเข้าไปเช็คเบื้องต้นได้ง่ายๆ ว่ามีภาระหนี้เหลือสักเท่าไหร่ ซึ่งสามารถเข้าเช็คได้ที่เว็บไซต์ของ สคบ. (www.ocpb.go.th/debt/) เราเชื่อว่าความโปร่งใสที่มีมากขึ้นจะทำให้เจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถหาข้อยุติได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ได้รับประโยชน์ทั้งลูกหนี้และผู้ให้บริการเช่าซื้อ

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. หรือที่ https://www.1213.or.th/App/DMed/V1 และหากมีข้อสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการลงทะเบียนออนไลน์ ท่านสามารถโทรสอบถามได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โทร. 1213 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30-16.30 น. หรือ นอกเวลาทำการ ท่านสามารถส่งอีเมลมาที่ Debtfair@bot.or.th พร้อมแจ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของท่านไว้ เจ้าหน้าที่ของ ธปท. จะติดต่อท่านกลับในลำดับต่อไป

สุดท้ายนี้ ธปท. ขอย้ำว่า แม้ท่านไม่ได้เป็นลูกค้าของผู้ให้เช่าซื้อทั้ง 12 แห่งที่ร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อรถยนต์ แต่ได้รับความเดือดร้อนประสบปัญหาจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด 19 ท่านสามารถยื่นขอความช่วยเหลือผ่านช่องทาง "ทางด่วนแก้หนี้" ของ ธปท. ที่ https://www.1213.or.th/App/DebtCase  ธปท. จะเป็นคนกลางในการส่งคำขอไกล่เกลี่ยหนี้ของท่านไปที่เจ้าหนี้ เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952133
#3456



ช่วงนี้โอปป้าชวนปลูกต้นไม้ ตามรอยซีรีส์เกาหลี "Nevertheless" โดย "เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก" เลือก "ต้นไม้สไตล์มินิมอล" ตกแต่งห้องก็สวย ช่วยฟอกอากาศได้ด้วย

ซีรีส์เกาหลี Nevertheless (รักนี้ห้ามไม่ได้) ออกฉายไปไม่กี่ตอน (เผยแพร่โดย Netflix) บรรดาติ่งเกาหลีพากันหา ต้นไม้สไตล์มินิมอล มาประดับห้อง โดยเฉพาะบทพูดที่พระเอก – พัคแจออน พูดกับนางเอก – ยูนาบี ว่า "ไปดูผีเสื้อกันไหม...ที่บ้านฉัน" กลายเป็นวลียอดฮิตติดกระแสโซเชียล อยากมีโอปป้าชวนไปดูผีเสื้อบ้าง...


ช่วงนี้ฤดูฝน ศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก (ราชประสงค์) ขอเกาะกระแสมาแรงของซีรีย์ดัง ชวนทุกคนปลูกสีเขียวไว้ในบ้านกับ ต้นไม้สไตล์มินิมอล กันก่อนจะไปดูผีเสื้อ...ปลูกต้นไม้ดีต่อใจเสมอ และ ต้นไม้สไตล์มินิมอล ดูแลง่าย ตกแต่งมุมไหนก็สวย ช่วยเพิ่มออกซิเจน และช่วยฟอกอากาศได้ด้วย เช่น


   คาลล่า ลิลลี่ ดอกสีม่วงสวยมาก

คาลล่า ลิลลี่ (Calla Lily) ไม้ดอกหลากสีสันสวยงาม มีถิ่นกำเนิดในอัฟริกาใต้ 

การดูแล :  ชอบแสงรำไร  รดน้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า


    ยางอินเดียดำ

สุขสมใจปอง หนึ่งในไม้ประดับชื่อมงคล สายพันธุ์อะโกลนีมา ราชาแห่งไม้ประดับสีสันฉูดฉาดโดดเด่น

การดูแล : แสงแดดรำไร  รดน้ำวันละครั้งหรือวันเว้นวัน โดยให้ดูความชื้นของดินเป็นหลัก


     มอนสเตอร่า ต้นไม้ฟอกอากาศยอดนิยม

ออมชมพู ต้นไม้ชื่อมงคล มีเก็บมีออม สีชมพูที่สายหวานต้องมี หนึ่งในไม้กระแสตระกูลซินนิงเกีย (Sinningia) ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในชั่วโมงนี้

การดูแล : แสงแดดรำไร  รดน้ำวันละครั้งหรือวันเว้นวัน
#3457
รับสมัครงานขายของออนไลน์..ฟรี!! ไม่มีค่าสมัคร..

ขายของออนไลน์  อาชีพเสริม  รายได้เสริม

ใช้เพียงมือถือ ก็ทำงานได้ จากทุกที่  ทุกเวลา

รับสมัครงานขายของออนไลน์(Online)...ฟรี!!ไม่มีค่าสมัคร..
คุณกำลังหา.."อาชีพเสริม รายได้พิเศษ  รายได้เสริม".. อยู่หรือ...

สมัคร :: https://forms.gle/Q2dDb74pW54aFmmD6

LINE ID :: savedee15


Tags :: ขายของออนไลน์,อาชีพเสริม,รายได้เสริม






#3458



เอสซีจี เซรามิกส์ ขึ้นแท่นบริษัทยั่งยืนที่น่าลงทุน ผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 64 แข่งขันได้กำไรต่อเนื่อง โชว์นวัตกรรมกระเบื้องฟอกอากาศ พร้อมดันแบรนด์ SUSUNN ลุยธุรกิจพลังงานทางเลือกเต็มตัว

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยงบการเงินรวมก่อนสอบทาน ของ COTTO ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 16 จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 328 โดยในไตรมาสนี้บริษัทยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ผลประกอบการใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขาย 5,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทสามารถทำกำไรสำหรับงวดได้ 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 119 ใกล้เคียงที่คาดการณ์ไว้



"แม้ว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวสูงขึ้นมากแต่ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรายังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้เป็นไปตามแผนงานได้ สำหรับยอดขายไตรมาสนี้และในครึ่งปีแรกจะเห็นได้ว่าสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนมากแม้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่แล้ว แต่เนื่องจากในปีนี้ช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญ โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดและร้านผู้แทนจำหน่ายขนาดใหญ่ ยังสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติจึงทำให้ยอดขายในตลาดระดับกลาง-ล่างยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งลาวและกัมพูชา ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมาร์ ส่งผลให้ยอดขายในส่วนของตลาดต่างประเทศลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน"

นายนำพล กล่าวต่อว่า ภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ คาดว่าผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและมีความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในภาพรวมยังไม่ฟื้น เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมากจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งจากความยืดเยื้อของการระบาด และการกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในประเทศ แผนการเปิดประเทศ การปิดกิจการ และการเลิกจ้างแรงงาน ล่าสุด การแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ที่กระจายตัวไปยังแคมป์ก่อสร้างมีผลกระทบเพิ่มเติมทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนแรงงานด้วย ส่วนแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะมีการชะลอโครงการใหม่และหันมาเร่งการโอนในปัจจุบันให้เร็วขึ้น ซึ่งภาครัฐอาจจะช่วยกระตุ้นได้ด้วยมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ มาตรการฟื้นฟูการสร้างรายได้ให้ประชาชน และเร่งฉีดวัคซีนป้องกันให้ครอบคลุมจำนวนมากที่สุด



อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่จะชะลอตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าแต่สำหรับตลาดสร้างซ่อมตกแต่งต่อเติมเห็นว่ามีแนวโน้มที่ยังไปต่อได้โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้คนต่างก็มีประสบการณ์ที่ต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัยเป็นระยะเวลานาน กระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะปรับปรุงและเตรียมความพร้อมของที่อยู่อาศัยเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ จึงเร่งออกสินค้านวัตกรรมในกลุ่ม Health and Clean อย่างต่อเนื่อง โดยมั่นใจว่าหลังจากสถานการณ์ฯ คลี่คลายลง จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ

"COTTO ยังคงเป็นผู้นำเทรนด์เรื่องสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้านและที่พักอาศัย จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือฝุ่น PM2.5 มีปริมาณสูงเกินค่ามาตรฐานทุกปีส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ และเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ล่าสุด ได้ออกสินค้า "กระเบื้องฟอกอากาศ" หรือ AIR ION (แอร์ ไอออน) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็กซึ่งเป็นภัยร้ายใกล้ตัวมากกว่าที่คาดคิด โดยเมื่อติดตั้งกระเบื้อง AIR ION 40% ของพื้นที่ บนพื้นหรือผนังของห้องจะสามารถดักจับฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 89% โดยคุณสมบัติฟอกอากาศนี้เกิดจากชั้นเคลือบของกระเบื้องที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุธรรมชาติที่มีคุณสมบัติปล่อยไอออนลบออกมากว่า 3,000 ไอออนต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เพื่อเข้าจับฝุ่นละอองที่ลอยตัวฟุ้งอยู่ในอากาศให้ตกสู่พื้นจนเหลือเพียงอากาศที่สะอาดตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม"



ทั้งนี้ในส่วนของแบรนด์ "SUSUNN" ที่ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาดหลากหลายประเภท ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มเปิดตัวแบรนด์ SUSUNN อย่างจริงจัง โดยลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในส่วนของโครงการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงาน บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) เรื่องเทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงาน หรือ Energy Saving ทั้งในด้าน Solar Business ด้าน Energy Audit และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าและคาร์บอนเครดิต ผ่านคนกลาง บน SUSUNN Platform ล่าสุด ยังได้ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของ เอสซีจี เซรามิกส์ ด้วย

"แบรนด์ SUSUNN ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทนอย่างแท้จริงโดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับรางวัลการันตีทั้งจากในและต่างประเทศทั้ง Thailand Energy Award และ ASEAN Energy Award หลายปีซ้อน โดยเราได้เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบมาประมาณ 2 ปีแล้ว และมีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มวัสดุวาล์วและข้อต่ออุตสาหกรรม เช่น บริษัท เอ็ม.เจ.บางกอกวาล์วและฟิตติ้ง จำกัด, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติก เช่น บริษัท มัลติแบกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือแม้กระทั่งกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมอุตสาหกรรมสงขลา ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ)"

โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมามีรายได้จากสินค้าและบริการรวมแล้วประมาณ 227 ล้านบาท ถึงแม้จะยังไม่สูงมากแต่ก็ถือว่าสอดคล้องกับเทรนด์การเติบโตของตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดในประเทศที่มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทและคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า จากการวางแผนขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมและบริการเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เช่น การนำเสนอนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาทิตย์ อาทิ แผงโซล่าร์เซลล์ แบบ BIPV (Building Integrated Photovoltaics) ที่ใช้แทนวัสดุก่อสร้าง เช่น หลังคาหรือผนัง โรงจอดรถพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Carport with EV Charger รวมถึงนำเสนอระบบการจัดการพลังงาน เช่น ระบบตรวจรับรองการจัดการพลังงาน ระบบตรวจวัดวิเคราะห์การใช้พลังงาน ตลอดจนจัดทำโครงการอนุรักษ์พลังงานให้กับสถานประกอบการของลูกค้าด้วยมาตรฐานระดับสากล และจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐในอนาคต เช่น โครงการซื้อขายไฟฟ้าและคาร์บอนเครดิตผ่านคนกลาง เป็นต้น

นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีเรื่องที่น่ายินดีที่ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ได้รับคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้อยู่ในทำเนียบ "บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน" หรือ ESG Emerging List ในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) และเป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนแบบยั่งยืนที่ทนทานต่อวิกฤตการณ์โควิด โดย COTTO เป็น 1 ใน 24 หลักทรัพย์ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 และติดกลุ่มหลักทรัพย์ยั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG100 ประจำปีด้วย

โดยล่าสุดจากการประเมินภาพรวมผลการดําเนินงานของ บริษัทฯ โดย สถาบันไทยพัฒน์ พบว่า บริษัทฯ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลผลการดําเนินงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ผลการดำเนินงานด้านสังคมและผลการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาล โดยมีภาพรวมผลการประเมินอยู่ในระดับ GOLD ซึ่งเป็นระดับสูงสุดด้วย
#3459



ซู่ววว ซู่ ซ่า ซ่า...เบิร์ธเดย์บอย ทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี วันเกิดอายุครบ 26 ปี มีสาวแซ่บรู้ใจ "จีน่า-วิรายา ภัทรโชคชัย" หรือ "จีน่า เดอะเฟซ" ตั้งใจลงมือทำเค้กให้ด้วยตัวเอง ทำเอาเจ้าของวันเกิดยิ้มแฉ่งแบบไม่ต้องกั๊ก "หอมหวาน" กว่าเค้กก็ "ความรัก" คู่นี้แหละ...
คริคริ.

ซู่ววว ซู่ ซ่า ซ่า...เบิร์ธเดย์บอย ทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี วันเกิดอายุครบ 26 ปี มีสาวแซ่บรู้ใจ "จีน่า-วิรายา ภัทรโชคชัย" หรือ "จีน่า เดอะเฟซ" ตั้งใจลงมือทำเค้กให้ด้วยตัวเอง ทำเอาเจ้าของวันเกิดยิ้มแฉ่งแบบไม่ต้องกั๊ก "หอมหวาน" กว่าเค้กก็ "ความรัก" คู่นี้แหละ...
คริคริ.

"หมวยซ่า" มาแล้ว!! "หมวยซ่า...า" พร้อมรายงานข่าวบันเทิง Right Here Right Now...

ข่าวแนะนำ
ปังจริงไม่จกตา!! จนต้องจับขึ้นแท่นศิลปินหน้าใหม่ 100 ล้านวิว ตั้งแต่เพลงแรก สำหรับ "โจอี้-ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ" จากสังกัดจีนี่ เรคคอร์ดส ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ ที่ปล่อยเพลงคิดถึงแห่งปีอย่าง "ดวงเดือน" ออกมากระแทกใจในช่วงที่ใครหลายๆคนอาจจะต้องห่างบ้านไปนานๆ การันตีความปังด้วยการกวาดอันดับมาแรงในชาร์ตต่างๆมาแล้วมากมาย งานนี้โจอี้ เผยสุดดีใจและเกินฝันมากๆ วินาทีแรกที่พอรู้ว่าทะลุว่า 100 ล้านวิวก็มีแอบน้ำตาซึม!!

ยินดีกับ "รอน อรัณย์" ศิลปิน บ.รถไฟดนตรี คว้ารางวัล "เพชรในเพลง" โดยสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม พิจารณามอบรางวัลเพื่อยกย่องบุคคลในวงการเพลงที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาไทย เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 29 ก.ค.ของทุกปี ปีนี้ผลงานเพลงของรถไฟดนตรีได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงเพื่อชีวิตชาย ศิลปิน "รอน อรัณย์" จากเพลง "รักคนอื่นไม่ได้เลย" เจ้าตัวสุดภูมิใจ พร้อมอยากให้คนไทยร่วมกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง.

ชวนอิ่มท้อง  -  บาส-สุรเดช พินิวัตร์ นักร้องนักแสดงสังกัด บ.สตาร์ ฮันเตอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด รวมกลุ่มแฟนคลับจัดทำโครงการ "บาสเด็กอ้วนชวนอิ่มท้อง" มอบอาหารกล่องสำหรับเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ แทนคำขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน ณ มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในพระราชูปถัมภ์ฯ.
ชวนอิ่มท้อง - บาส-สุรเดช พินิวัตร์ นักร้องนักแสดงสังกัด บ.สตาร์ ฮันเตอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด รวมกลุ่มแฟนคลับจัดทำโครงการ "บาสเด็กอ้วนชวนอิ่มท้อง" มอบอาหารกล่องสำหรับเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ แทนคำขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน ณ มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในพระราชูปถัมภ์ฯ.
แม้ตัวไม่อยู่แต่ยังฝากผลงานชิ้นเทพเอาไว้ "PopSmoke" ปล่อยอัลบั้ม "FAITH" เปรี้ยง!! ทำลายสถิติใหม่เปิดตัวขึ้นอันดับ 1 บน Billboard 200 charts สำเร็จในวีกที่ผ่านมาทันที ตามหลังอัลบั้ม "Shoot For The Stars Aim For The Moon" ให้อัลบั้มแรกอย่าง "Shoot For The Stars Aim For The Moon" ได้กลับเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 9 ในสัปดาห์นี้ ทำให้ยอดสตรีมรวมตั้งแต่วันแรกถึงปัจจุบันของอัลบั้มนี้อยู่ใน Top 10 นานกว่า 47 สัปดาห์!! ผลงานจารึกตลอดไป.

สั่นสะเทือนชาร์ตเพลงบน iTunes ทั่วโลก หลังศิลปินหนุ่ม "มิว-ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์" ปล่อยอัลบั้มเต็ม "365" (Three Six Five) เป็นศิลปินไทยเพียงคนเดียวที่พุ่งทะยาน
เข้าสู่อันดับ 13 Global Digital Artists Rankings หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มออกมาในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง ทั้งตัวอัลบั้มและเพลงต่างๆล้วนทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 และ Top 10 ในหลายประเทศทั่วโลก ถือเป็นเพียงก้าวแรกของอัลบั้ม "365" (Three Six Five) เท่านั้น ซึ่ง 1 ส.ค.นี้ จะสามารถฟังอัลบั้มนี้กันได้แบบเต็มๆ ผ่านทุกแพลตฟอร์ม ถึงเวลานั้น สถิติต่างๆน่าจะเกิดการขยับขึ้นอีกครั้ง มิวเลี่ยนรวมพลังทีไรจัดหนักจัดใหญ่ทู้กที!!

หมวยซ่า https:// www.thairath.co.th/entertain/news/2152006
#3460




เมื่อวันที่ 29 ก.ค.64 นายนัทธี ถิ่นสาคู ส.ส.ภูเก็ต พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงถึงกรณีคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ที่ 4202/2564 เรื่อง ยกระดับมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ที่ห้ามบุคคลและผู้ขับขี่ยานพาหนะทุกประเภทเข้าจังหวัดภูเก็ต ทั้งทางบก (ด่านตรวจทำฉัตรไขย) ทางน้ำ (ท่าเรือ) ทุกท่าในภูเก็ต และช่องทางภายในประเทศ (ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต) ยกเว้นบางกรณีหรือผู้ที่มีความจำเป็นว่า คำสั่งดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ จ.ภูเก็ต ของคนไทยที่มาจากพื้นที่อื่นซึ่งอาจมีความเสี่ยงนำเชื้อเข้ามา ยืนยัน ไม่กระทบกับการโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางโดยเที่ยวบินตรงมาจากต่างประเทศ ไม่ได้มาโดยเที่ยวบินภายในประเทศ และปัจจุบันหลายสายการบินในประเทศก็ยุติให้บริการชั่วคราวอยู่แล้ว

นายนัทธี กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภูเก็ต มีมาตรการที่พร้อม สามารถควบคุมดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี และชาวภูเก็ตก็รับความเสี่ยงตรงนี้ได้ เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นกลับคืน โดยแนวโน้มในขณะนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายนัทธี กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะเป็นคนภูเก็ต อยากให้คนจากจังหวัดอื่นๆ อดใจรอที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวภูเก็ตช่วงนี้ไปก่อน ความสวยงามทางธรรมชาติของภูเก็ตยังอยู่อีกนาน ให้สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศดีขึ้นแล้วค่อยเดินทางมาท่องเที่ยวภายหลังก็ได้ เพราะถ้าเดินทางมาตอนนี้ก็อาจเกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ว่าจะมีการนำเชื้อมาแพร่ หรือติดเชื้อจากภูเก็ตกลับไปหรือไม่ จะสร้างความไม่สบายให้เกิดขึ้นและท่องเที่ยวอย่างไม่มีความสุข.