• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#3361



นายอเลฮานโดร โอโซริโอ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าได้ประกาศศึกสู้โควิดระลอก 4 ผนึกพันธมิตร "KBank-CRG-PTG" (ธนาคารกสิกรไทย (KBank) บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน) (PTG) และอีกหลายเครือข่ายพันธมิตร ผ่าน 4 กิจกรรมหลักซึ่งจะเริ่มต้นส.ค. ส่งโครงการ "สู้ไปด้วยกัน" เร่งสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ภายใต้งบประมาณรวมกว่า 160 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้ป่วยที่แยกกักตัวที่บ้าน โรงพยาบาลและองค์กรการกุศล รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับ เพื่อมุ่งบรรเทาความเดือดร้อนให้คนไทย พร้อมเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กให้สามารถประคับประคองธุรกิจต่อไปได้ ทั้งนี้ 4 กิจกรรมหลักภายใต้โครงการ "สู้ไปด้วยกัน" ประกอบด้วย พร้อมใจสู้คู่ร้านค้า โดยแกร็บร่วมกับ KBank "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ควบคู่ไปกับการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายและกระแสเงินสดหมุนเวียนให้กับธุรกิจร้านอาหาร มอบเงินสนับสนุนให้กับพาร์ทเนอร์ร้านค้าที่ใช้บัญชีกสิกรไทยในอัตรา 15% ของยอดขายในเดือน ส.ค. (จำกัดวงเงินสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อร้าน) โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.grabmerchantth.com/grabfood-kbank


เตรียมจัดแคมเปญ "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อมอบส่วนลดค่าอาหาร 50% เมื่อสั่งอาหารผ่าน GrabFood พร้อมช่วยโปรโมตร้านอาหารขนาดเล็กทั่วประเทศผ่านสื่อและแอพลิเคชั่น โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ พร้อมใจสู้คู่สังคมไทย: โดยแกร็บร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย พร้อมส่งเสริมการบริจาคสมทบทุนโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19ร่วมกับ CRG เพื่อช่วยจัดส่งอาหารจากแบรนด์ในเครือด้วยบริการ GrabExpress ให้กับผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นอกจากนี้ ยังได้มอบส่วนลดค่าบริการให้กับเครือข่ายช่วยเหลือสังคม อาทิ เพจเราต้องรอด และโรงพยาบาลศิริราช ในการจัดส่งอาหารหรือยาให้กับผู้ป่วย


นอกจากนี้ชวนผู้ใช้บริการเปลี่ยนคะแนน GrabRewards เป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนมูลนิธิของโรงพยาบาลต่างๆ อาทิ มูลนิธิรามาธิบดี โดยแกร็บจะร่วมสมทบทุนอีกเท่าตัวของยอดบริจาคทั้งหมดด้วย พร้อมใจสู้คู่พี่คนขับ: สร้างความอุ่นใจและพร้อมให้ความช่วยเหลือพาร์ทเนอร์คนขับที่ถือเป็นด่านหน้าในการให้บริการการเดินทางและการจัดส่งอาหาร-พัสดุผนึก PTG มอบสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับบริการพ่นฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหารของแกร็บที่สถานีบริการปั๊มน้ำมันพีที 855 สาขาทั่วประเทศไทยตลอดเดือนสิงหาคมฟรี รวมไปถึงกล่องใส่อาหาร ร่วมกับ GQ Apparel ทยอยมอบหน้ากากผ้ารุ่น GQWhite™ Mask พร้อมลายสกรีน Vaccinated จำนวน 150,000 ชิ้นให้กับพาร์ทเนอร์คนขับที่ได้รับวัคซีนแล้ว พร้อมใจสู้คู่คนไทย: โดยการมอบส่วนลดค่าบริการส่งอาหารและพัสดุผ่าน GrabFood GrabMart และ GrabExpress เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค ทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมถึง 19 กันยายน 2564 และมอบส่วนลดสูงสุด 80% สำหรับผู้ใช้ใหม่ (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU80" มอบส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับผู้ใช้เดิม (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU30"
#3362



แฟลช เอ็กซ์เพรส ประกาศเปิดให้บริการรับส่งพัสดุทุกพื้นที่ตามปกติเที่ยงคืนของวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ หลังเคลีย์พัสดุคงค้างในศูนย์กระจายพัสดุสาขาวังน้อยเรียบร้อย ยืนยันลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการชดเชยอย่างแน่นอน พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 ในทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อให้ลูกค้าผู้ใช้บริการทุกคนมั่นใจในความปลอดภัย

บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ผู้ให้บริการขนส่งแบบครบวงจร พร้อมเปิดให้บริการรับส่งพัสดุทุกพื้นที่ทั่วประเทศนับตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ภายหลังก่อนหน้าได้รับคำสั่งปิดศูนย์กระจายพัสดุสาขาวังน้อยจากคณะกรรมการโรคติดต่อ ในส่วนพัสดุตกค้างที่อยู่ในศูนย์ฯวังน้อยจะสามารถเคลีย์ได้ทั้งหมดภายในวันที่ 30 กรกฎาคมเช่นเดียวกัน พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 ภายในศูนย์กระจายพัสดุ และในสาขาอื่นๆทั่วประเทศ โดยเฉพาะสุขอนามัยของพนักงานที่เข้ารับส่งพัสดุถึงหน้าบ้านลูกค้าผู้ใช้บริการเพื่อลดความเสี่ยงต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโดยไม่คิดค่าบริการเพิ่ม

ทั้งนี้มาตรการชดเชยให้กับลูกค้าผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบจากกรณีปิดศูนย์ฯ มีรายละเอียด ดังนี้
1) ตามประกาศของบริษัทฯ ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 พัสดุที่ถูกจัดส่งระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ถึงเที่ยงคืนวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ระบบจะดำเนินการคำนวณพัสดุที่มีระยะเวลาอยู่ที่ศูนย์กลางกระจายพัสดุ (Hub) นานเกินกว่า 3 วัน ทางบริษัทฯ ยินดีคืนเงินค่าขนส่ง 100% สำหรับพัสดุที่ลูกค้าปลายทางปฏิเสธการรับพัสดุเนื่องจากความล่าช้าของปัญหาจากศูนย์กลางกระจายพัสดุ ทางบริษัทฯ รับผิดชอบค่าตีกลับไปยังผู้ส่งต้นทาง และสำหรับพัสดุบางส่วนที่ถูกรับฝากส่งในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 และบริษัทฯ ทำการตีกลับคืนผู้ส่ง ทางบริษัทฯ จะคืนเงินค่าขนส่ง 100%

2) ค่าชดเชยรวมทั้งหมดตามข้างต้น หากเกินกว่า 500 บาท จะทำการชดเชยในรูปแบบของเงินสดผ่านแอพพลิเคชั่น แฟลช เอ็กซ์เพรส โดยสามารถทำการถอนเงินสดจากแอพไปยังธนาคารใดก็ได้ หากน้อยกว่า 500 บาทจะชดเชยในรูปแบบของคูปอง 20 บาท ซึ่งมีอายุการใช้งาน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่บริษัทฯ ดำเนินการส่งคูปองให้ สำหรับคูปองและเงินสดจะถูกโอนเข้าไปยังบัญชีผู้ใช้ในแอพพลิเคชั่น แฟลช เอ็กซ์เพรสของท่านก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 1 สิงหาคม 2564

3) คูปองและเงินสดจะถูกโอนเข้าไปยังบัญชีผู้ใช้ที่ใช้ในการจัดส่งพัสดุ (ท่านสามารถใช้บัญชีลูกค้าทั่วไปหรือบัญชีลูกค้าธุรกิจในการเข้าสู่แอพพลิเคชั่น แฟลช เอ็กซ์เพรส และตรวจสอบที่แอพพลิเคชั่น แฟลช-โปรไฟล์) หากบัญชีผู้ใช้เป็นของแพลตฟอร์มจะดำเนินการโอนเข้าเบอร์โทรศัพท์ของผู้ส่งที่ผูกไว้กับบัญชีผู้ใช้ของแฟลช เอ็กซ์เพรส (ท่านสามารถใช้เบอร์โทรศัพท์ผู้ส่งเข้าสู่แอพพลิเคชั่น แฟลช เอ็กซ์เพรสเพื่อตรวจสอบ)

4) ผู้รับปลายทางที่พัสดุได้รับผลกระทบข้างต้น จะได้รับคูปองมูลค่า 10 บาท จำนวน 5 ใบ ต่อจำนวนพัสดุที่ได้รับผลกระทบ 1 ชิ้น ซึ่งมีอายุการใช้งาน 6 เดือน (ท่านสามารถใช้เบอร์โทรศัพท์ของผู้รับพัสดุเข้าสู่ระบบแอพพลิเคชั่น แฟลช เอ็กซ์เพรส เพื่อตรวจสอบ)

5) ตั้งแต่ที่บริษัทฯได้มีการออกประกาศ เราได้ดำเนินการเคลมสินค้าเสียหายอย่างเร็วที่สุด สำหรับพัสดุที่เสียหายหรือสูญหายทั้งหมดที่ยังไม่ได้ดำเนินการในช่วงเวลาประกาศที่ผ่านมา บริษัทฯจะดำเนินการทั้งหมดในวันที่ 30 และ 31 กรกฎาคม 2564 โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว บริษัทฯจะทำการแจ้งเตือนให้มีการเคลมพัสดุ (ท่านสามารถยื่นเคลมได้ผ่านทางแอพพลิเคชั่น แฟลช เอ็กซ์เพรส)

6) การใช้งานคูปองทั้งหมดไม่มีเงื่อนไขข้อจำกัดของจำนวนพัสดุขั้นต่ำและมูลค่าขนส่งขั้นต่ำ เมื่อมีการส่งพัสดุจะถูกใช้เป็นส่วนลดโดยอัตโนมัติ โดย 1 พัสดุต่อ 1 คูปองส่วนลด ระยะการใช้งานภายใน 6 เดือน
หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ call center 1436 และทาง FaceBook Fanpage: Flash Express และดูรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ www.flashexpress.co.th และแอพพลิเคชั่น แฟลช เอ็กซ์เพรส
#3363



กระทรวงอุตสาหกรรมเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) อยู่ที่ระดับ 97.73 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.58 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยไตรมาสที่ 2/64 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 20.41 ครึ่งปีแรก 64 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9.41 เนื่องจากประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการของภาครัฐในแต่ละประเทศ รวมถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนในหลายประเทศส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำและยุทโธปกรณ์) ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 45.23 ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่สำคัญจะยังเติบโตต่อเนื่องตามภาคการส่งออกซึ่งถือเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในช่วงเวลานี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรมเปิดเผยว่า สถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI)เดือนมิถุนายน 2564 ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากทิศทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญทั่วโลกมีแนวโน้มดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และยุโรป ส่งผลให้ภาคการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญขยายตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เหล็กและเหล็กกล้า แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีบางโรงงานอุตสาหกรรมต้องหยุดการผลิตชั่วคราวแต่เป็นเฉพาะบางสายการผลิต และสามารถกลับมาเร่งกำลังการผลิตได้เหมือนเดิม



ขณะเดียวกันกระทรวงอุตสาหกรรมมีการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ด้วยหลักการ "Online - Onsite - Upgrade -Vaccine" คือ 1.Online ให้โรงงานประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไทย สต๊อป โควิด-19 พลัส และไทยเซฟไทย 2. Onsite จัดทีมแนะนำและติดตามการประเมินตนเอง โดยให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานในพื้นที่ของกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมกันจัดทีมสุ่มตรวจประเมินโรงงานในพื้นที่ในโรงงาน

3.Upgrade จัดทำมาตรการฟื้นฟูสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หลังจากโรงงานประเมินตนเอง เพื่ออัพเกรดสถานประกอบการให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 4. Vaccine เร่งรัดการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในโรงงาน รวมทั้งผลักดันการเป็นศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและโรงงานขนาดใหญ่ที่มีคนงานมากกว่า 2,000 คน เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในภาคแรงงาน และจะสามารถทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเดินหน้าการผลิตต่อไปได้

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2564 ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 อยู่ที่ระดับ 97.73 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.58 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยไตรมาสที่ 2/64 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 20.41 ส่วนครึ่งปีแรกปี 2564 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9.41 โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทอง อาวุธ รถถัง และอากาศยาน) มูลค่า 18,440 ดอลล่าร์สหรัฐ ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 45.23 ส่วนการนำเข้าสินค้าทุน ขยายร้อยละ 28.5 ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 69.4 ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น



สำหรับการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2564 ขยายตัวเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการผลิตของอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.87 โดยเป็นการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นในรถทุกประเภทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ยางล้อขยายตัวตามไปด้วย อุตสาหกรรมเหล็กขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก ส่งผลให้การผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.80 การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.65 ตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากการเรียนและการทำงานออนไลน์ และอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางที่เติบโตตามความต้องการใช้งานทางการแพทย์สูงขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 อีกทั้ง ในเดือนมิถุนายน 2564 อุตสาหกรรมเครื่องประดับ ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 178.89 สะท้อนให้เห็นภาพของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศการเร่งกระจายการฉีดวัคซีน และแผนการเปิดประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้การคาดการณ์ MPI ในเดือนถัดไปจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญ อาทิเช่น การระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรม ปัญหาการขาดแคลนชิปในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งปัญหาต้นทุนค่าระวางการขนส่งสินค้าทางเรือตู้คอนเทนเนอร์สูงขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในอนาคต

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่มีดัชนีผลผลิตที่ส่งผลบวกขยายตัวในเดือนมิถุนายน 2564 ยานยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 90.06 จากการผลิตเกือบทุกรายการสินค้า ประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เวียดนาม ญี่ปุ่น เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้น ทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 82.14 ส่วนตลาดในประเทศยังขยายตัวได้แม้จะมีการระบาดระลอก 3 ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 32.32 ตามความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ขยายตัว และความต้องการสินค้าเพื่อการทำงานแบบ work from home มากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มของการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น

ส่วนเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.93 จากเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กรูปพรรณรีดร้อน และเหล็กเส้นข้ออ้อย เป็นหลัก ตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องโดยเฉพาะยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดจนการเร่งก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของรัฐในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา

ขณะที่เครื่องประดับเพชรพลอยและโลหะมีค่า ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 178.89 เนื่องจากปีก่อนเป็นช่วงเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ยอดการผลิตและจำหน่ายยังอยู่ในระดับต่ำ ต่างจากปีนี้ ที่การผลิตเป็นไปตามปกติ รวมถึงการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ทำให้การจำหน่ายเติบโตได้มากขึ้น ยางรถยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 78.19 จากยางนอกรถยนต์นั่ง ยางนอกรถบรรทุกรถโดยสาร และยางนอกรถกระบะ ขยายตัวได้ตามยอดการผลิตรถยนต์ที่เติบโตได้ดีขึ้น รวมถึงมีการลดราคาและทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งในปีก่อนได้รับผลจากการแพร่ระบาดและมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ความต้องการสินค้าหดตัว

https:// siamrath.co.th/n/266720
#3364



ธนาคารไทยพาณิชย์ ผนึกกำลัง ดิจิทัล เวนเจอร์ส ต่อยอดแนวคิด "รายใหญ่ช่วยรายเล็ก" พัฒนา PayZave แพลตฟอร์มดิจิทัล สร้างมาตรฐานใหม่ในการชำระเงินระหว่างคู่ค้าให้รับ-จ่ายทันทีแบบไม่ต้องมีเครดิตเทอม หนุนธุรกิจผู้ซื้อใช้ศักยภาพด้านการเงินช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินของซัพพลายเออร์ พลิกไอเดียจากระบบซื้อก่อนจ่ายทีหลังสู่ทางเลือกใหม่ "จ่ายก่อนเซฟกว่า" ด้วยข้อตกลงส่วนลดการขายเมื่อจ่ายเงินทันที ผู้ซื้อเซฟต้นทุนค่าใช้จ่าย ผู้ขายได้เงินเร็ว สามารถทำธุรกิจต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งสินเชื่อนอกระบบ สร้างสมดุลสภาพคล่องแบบวินวินสำหรับทุกคู่ค้า

นายธนวัฒน์ กิตติสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน GTS and Ecosystems ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)กล่าวว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างอุปสรรคให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างกว้างขวาง ธนาคารจึงพยายามทำความเข้าใจปัญหาของของลูกค้าเพื่อลงมือช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ซึ่งในส่วนของลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ของธนาคารเอง ผลกระทบหลักที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาต่อเนื่องซึ่งเกิดจากการขาดสภาพคล่องหมุนเวียนในธุรกิจของคู่ค้าซัพพลายเชนซึ่งเป็นเอสเอ็มอีรายเล็กๆ จนไม่สามารถผลิตและส่งสินค้าให้ได้ตามข้อตกลง โดยพบว่าต้นตอของปัญหานี้ คือข้อกำหนดทางด้านเครดิตเทอมการชำระเงินซึ่งปกติมีระยะเวลา 45-60 วัน เอสเอ็มอีจึงขาดเงินหมุนเวียน ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด จึงใช้จุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีที่เรามีมาต่อยอดแนวคิด "รายใหญ่ช่วยรายเล็ก" ร่วมกันพัฒนา PayZave แพลตฟอร์มดิจิทัลแรกของประเทศไทย ที่เปิดให้คู่ค้าสามารถดำเนินการรับ-จ่ายค่าสินค้าระหว่างกันทันทีโดยไม่ต้องรอเครดิตเทอม

ทั้งนี้ PayZave เป็นแพลตฟอร์มที่เปืดโอกาสให่ทั้งสองฝ่ายจะทำข้อตกลงให้ส่วนลดการขาย เพื่อแลกกับการได้รับชำระค่าสินค้าก่อนครบรอบบิล โดยธนาคารจะให้การสนับสนุนทางการเงินกับผู้ซื้อในการชำระเงินให้คู่ค้าได้เร็วขึ้น ได้สินค้าที่มีต้นทุนถูกลง และผู้ขายก็ได้เงินค่าสินค้าทันทีโดยไม่ต้องไปหากู้จากแหล่งเงินทุนอื่น ซึ่งเป็นการบริหารสภาพคล่องที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์อย่างลงตัว พร้อมเปิดให้ทุกคู่ค้าในประเทศไทยสามารถใช้งาน PayZave ได้ทันทีเพื่อพยุงให้เอสเอ็มอีไทยทุกรายก้าวต่อไปข้างหน้าและผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน

"ในส่วนสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD)บนแฟลตฟอร์มนี้ ธนาคารไม่ได้ตั้งเป้าหมายและไม่จำกัด แต่ธนาคารมุ่งเน้นอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยสินเชื่อ OD ปกติ  เพื่อจูงใจให้มีคู่ค้ารายใหญ่เข้ามาช่วยสนับสนุนรายเล็กมากที่สุดเพื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ เพราะคู่ค้ารายใหญ่ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนเงินกู้และให้ส่วนลดกับรายเล็ก อาจจะมีศักยภาพและสภาพคล่อง ยังไม่จำเป็นต้องใช้วงเงินสินเชื่อ OD จากธนาคารแต่อย่างใด"

นายอรพงศ์ เทียนเงิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า แพลตฟอร์ม PayZave เกิดจากความต้องการช่วยเหลือซัพพลายเชนในช่วงโควิด-19 ด้วยโจทย์ว่าทำอย่างไรจึงจะลดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับซัพพลายเออร์รายเล็กๆ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ที่คุ้มค่า เปลี่ยนแนวคิดจากระบบ "ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง" เป็น "จ่ายก่อนเซฟกว่า" นำผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกันโดยตรงเพื่อสร้างข้อตกลงการชำระเงินโดยไม่ต้องมีข้อจำกัดทางด้านเครดิตเทอม 45-60 วัน เมื่อไม่มีเครดิตเทอมจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งคนกลางหรือสถาบันทางการเงิน จึงช่วยให้ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้ทั้งสองฝ่าย ผู้ซื้อได้ส่วนลดของสินค้า ผู้ขายได้รับเงินทันที ประหยัดเวลาด้วยขั้นตอนที่รวดเร็ว สะดวกทำรายการออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทันสมัยด้วยระบบ reconciliation (กระทบยอด) อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ หวังว่า PayZave จะเป็นทางเลือกในการบริหารสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ธุรกิจเพื่อทุกเครือข่ายซัพพลายเชน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่อยากจะเชิญชวนผู้ค้ารายใหญ่มาร่วมมือกันช่วยเหลือคู่ค้ารายย่อยที่ยังคงต่อสู้กับวิกฤตให้ผ่านไปได้ด้วยกัน คาดว่าจะมีคู่ค้าเข้าใช้งานในระบบราว 80,000 ราย ในปี 2564

"เราได้เปิดทดลองใช้แพลตฟอร์ม PayZave มาประมาณ 1 เดือนแล้ว ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดีในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและค้าปลีก ให้ความสนใจออย่างมาก มีฝั่ง buyer เข้ามาประมาณ 50 ราย แล้วก็ฝั่งซัพพลายเออร์ประมาณ 5,000 รายตอบรับดี ส่วนในเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น ขณะนี้เราเปิดให้ใช้บริการแพลตฟอร์มนี้ฟรีอยู่ 6 เดือน จนถึง 31 ธันวาคม 2564 หลังจากนั้นคงต้องพิจารณาในหลายๆด้านเพื่อให้ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากทางธนาคารเองก็มีต้นทุนเช่นกัน"

นายสุภาพ จรัลพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ที.เอส. เอ็นจิเนียริ่ง (2004) จำกัด กล่าวว่า บริษัทดำเนินกิจการในอุตสาหกรรมก่อสร้างมานานกว่า 30 ปี วิกฤตครั้งนี้รุนแรงและท้าทายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะในธุรกิจก่อสร้างที่ซัพพลายเชนมีผลอย่างมากต่อความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งในสถานการณ์ โควิด-19 ต่างประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างมาก บริษัทจึงเกิดไอเดียมองว่าเราจะสามารถช่วยแบ่งเบาปัญหาสภาพคล่องให้กับซัพพลายเออร์เหล่านี้ได้อย่างไร จึงได้หารือกับธนาคารไทยพาณิชย์ และดิจิทัล เวนเจอร์ส ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแพลตฟอร์ม PayZave ที่สามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุคโควิดได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถช่วยให้ซัพพลายเชนของบริษัทที่อยู่ทั่วประเทศขอรับเงินได้ทันทีเมื่อส่งมอบงานเรียบร้อย ทั้งยังใช้งานได้ง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ และระบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดอุปสรรคของธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อคู่ค้าทุกฝ่าย โดยปัจจุบันมีซัพพลายเออร์ของบริษัทขึ้นในระบบแล้วกว่า 1,500 ราย

นายวาริช ภูสนาคม กรรมการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วิลล่า มาร์เก็ท เจพี จำกัด กล่าวว่า วิลล่า มาร์เก็ท ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับกระบวนการทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และได้ทำงานร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ และ ดิจิทัล เวนเจอร์ส มาหลายโครงการ เมื่อได้ทราบว่ามีการพัฒนาแพลตฟอร์ม PayZave เพื่อช่วยเหลือคู่ค้าที่ประสบปัญหาในช่วงโควิด-19 บริษัทจึงยินดีที่จะมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มนี้เพราะเป็นทางเลือกที่เข้าใจปัญหาของซัพพลายเชนอย่างแท้จริง บริษัทเองมีความใกล้ชิดกับซัพพลายเชนในธุรกิจอุปโภคบริโภคมากกว่า 1,000 ราย เข้าใจดีว่าในเวลานี้สภาพคล่องเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือคู่ค้าทุกรายให้มีสภาพคล่องหมุนเวียนในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนคู่ค้าของเราให้ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากไปด้วยกัน
#3365



กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงาน การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือนมิถุนายน 2564 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 6,093 รายเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน (มิถุนายน 2563) และการจดทะเบียนนิติบุคคล จัดตั้งธุรกิจใหม่ในครึ่งปีแรกของปี 2564 มีจำนวน 41,022 ราย เพิ่มขึ้นถึง 23% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน (มกราคม - มิถุนายน 2563)  ในขณะที่การจดทะเบียนเลิกธุรกิจในเดือนมิถุนายน มีจำนวน1,048 ราย ลดลง จากช่วงเดียวกันของเดือนก่อนหน้า 22% และการจดทะเบียนเลิกในครึ่งปีแรกของปี 2564มีจำนวน 4,930 ราย เทียบช่วงเวลาเดียวกันปี 2563 ลดลง ถึง 21%


ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของจำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ และการลดลงของจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในครึ่งปีแรกนั้น อาจมีผลมาจากปัจจัยหนุนด้านเศรษฐกิจ เช่น การฟื้นตัวของตัวเลขการส่งออกจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจในเดือนมิถุนายน 2564 ของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่ 46.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย และยังอยู่ต่ำกว่า 50 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ที่อาจยืดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

เมื่อพิจารณาการเพิ่มขึ้นของจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปี 2564 ส่วนหนึ่งสอดรับกับพฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น ธุรกิจสร้างแม่ข่ายมีจำนวนจัดตั้งใหม่ทั้งสิ้น 262 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 28 เท่า และ ธุรกิจปลูกพืชประเภทเครื่องเทศ เครื่องหอม ยารักษาโรค และพืชทางเภสัชภัณฑ์มีจำนวนจัดตั้งใหม่ทั้งสิ้น 112 รายเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 10 เท่า รวมถึงนโยบายการผลักดันให้วิสาหกิจชุมชนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของภาครัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงมีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและธุรกิจ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทั้งความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจและสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งจะต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
#3366



"แทมมี่ ดักเวิร์ธ" ส.ว.สหรัฐฯ ลูกครึ่งไทย เผย สหรัฐอเมริกาวางแผนส่งวัคซีนโควิด-19 ช่วยไทย เพิ่มเป็น 2.5 ล้านโดส โดยล็อตแรก 1.54 ล้านโดส จะส่งถึงประเทศไทยวันศุกร์นี้

เมื่อวันอังคารที่ 27 ก.ค.ตามเวลาท้องถิ่น พันโทหญิง ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ นักการเมืองหญิงอเมริกันเชื้อสายไทย จากพรรคเดโมแครต เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาวางแผนที่จะจัดหาวัคซีนโควิด-19 ทั้งสิ้น 2.5 ล้านโดส ให้กับประเทศไทย

ดักเวิร์ธ กล่าวระหว่างพิธีการเปิดงานเสวนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อ "U.S. and Thailand Perspectives on Geostrategic Landscape and Regional Architecture" จัดโดยสถาบัน East-West Center ในกรุงวอชิงตัน และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน หัวข้อ "โอกาสใหม่สำหรับสหรัฐฯ-ไทย ในฐานะพันธมิตรอินโด-แปซิฟิก" เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2564 ว่า แผนดังกล่าวเป็นตามคำมั่นของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่จะจัดหาวัคซีนให้กับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งประเทศไทยจะได้รับทั้งสิ้น 2.5 ล้านโดส

ดักเวิร์ธ ระบุอีกว่า สหรัฐฯได้ส่งวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ 1.54 ล้านโดส ไปยังประเทศไทยแล้ว โดยวัคซีนดังกล่าวมีกำหนดจัดส่งถึงกรุงเทพฯ ในวันศุกร์นี้ (30 ก.ค.) หลังจากล่าช้าไปมากกว่าหนึ่งเดือน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ก.ค. วุฒิสมาชิกแทมมี่เคยประกาศแสดงความยินดีเรื่องสหรัฐฯ มอบวัคซีนให้แก่ไทย โดยดักเวิร์ธ ระบุในแถลงการณ์เมื่อครั้งนั้น ว่า ดิฉันรู้สึกยินดีที่จะประกาศวันนี้ ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีความมุ่งมั่นเพื่อส่งมอบวัคซีนอย่างน้อย 1.5 ล้านชุด ให้ประเทศไทย เพื่อช่วยให้ประชาชนชาวไทยเอาชนะปัญหาโควิด-19 ขณะที่การระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตากำลังเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก โดยการบริจาควัคซีนของสหรัฐฯ ซึ่งมีประสิทธิผลสูงนี้ ไม่มีเงื่อนไขข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีขึ้นด้วยความเข้าใจว่าจะไม่มีประเทศใดที่ปลอดภัยจากโควิด-19 ได้อย่างสมบูรณ์จนกว่าทุกประเทศจะปลอดภัย
#3367



เมื่อยุคสมัยของการเรียนรู้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ได้เข้ามาทำให้การเรียนการสอนของเยาวชนในปัจจุบันผ่านช่องทางออนไลน์เกิดเร็วขึ้น แม้จากเดิมจะเป็นแค่หนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีที่หลายภาคส่วนให้ความสนใจ

​ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการศึกษาจะกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดบริบทใหม่ให้แก่สังคม โดยเฉพาะครู-อาจารย์ผู้สอนที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญที่สุดในการเป็นบุคลากรต้นน้ำของภาคการศึกษา ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาการสอนให้รับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

​สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวถึงความภาคภูมิใจ และยินดีที่จะเข้ามาเชื่อมต่อ ช่วยเหลือคุณครูไทยในการเสริมทักษะเพื่อสร้างความรู้ในการพัฒนาสื่อสารการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ที่มีความจำเป็นอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบัน

​โดยในมุมของ AIS นอกจากการนำเครือข่าย AIS 5G การให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ AIS Fibre และการให้บริการ AIS WiFi ต่างๆ ที่ได้ลงทุนไปให้กลายเป็นดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์พื้นฐาน สำหรับนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติ รวมถึงการฟื้นฟูประเทศไทยในหลากหลายประเภท

​'การเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้ามาเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อให้คนไทยใช้งาน ทั้งในชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น AIS ยังอยากที่จะนำดิจิทัลแพลตฟอร์มนี้มาช่วยโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19'

​ที่ผ่านมา AIS นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้าไปช่วยเหลือทั้งภาคอุตสาหกรรม อย่างการนำ AIS 5G เข้าไปช่วยให้โรงงานสามารถปรับตัวสู่การเป็น Smart Man.cturing โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศในเวลานี้

​พร้อมกับเตรียมขยายไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในการนำโซลูชันจากพันธมิตรมาให้บริการทั้งด้านโรงงานอัตโนมัติ (Automation) หุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรม (Mobile Robots) และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์ และหุ่นยนต์ (Collaborative Robot) ภายใต้การนำศักยภาพ 5G ฟื้นฟูประเทศ

​ในขณะที่ภาคสาธารณสุขซึ่งเป็นงานด่านหน้าในปัจจุบันนี้ ได้นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปทำในเรื่องของ 'อสม.' ในการดูแลประชาชนในแต่ละชุมชน การนำเทคโนโลยีไปช่วยในโรงพยาบาลสนาม จนถึงสถานที่ฉีดวัคซีนต่างๆ

​'ระยะสั้น AIS อาจจะสามารถช่วยสาธารณสุขในการปกป้อง ป้องกัน แต่ในระยะยาวของการพัฒนา และฟื้นฟูประเทศได้จริงๆ คือเรื่องของการศึกษา เรื่องของเยาวชน จึงเป็นเหตุผลที่ได้เข้ามาทำโครงการ The Educators Thailand ให้แก่ครูไทย'

​วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือ การพัฒนาความพร้อมของคุณครูที่จะมีเยาวชนที่ต้องเรียนออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่าทักษะนี้จะมีความจำเป็นต่อไปในอนาคตแม้จะผ่านช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ไปแล้วก็ตาม

​'ครูยังเป็นหัวใจสำคัญมากๆ ในการที่จะขับเคลื่อนให้ลูกศิษย์ และเยาวชน สิ่งสำคัญมากๆ คือครูต้องปรับตัวเองเพิ่มเติม และมีความมั่นใจว่าโครงการนี้อาจารย์ที่เข้าร่วมจะสามารถต่อยอด จุดประกายความรู้ความสามารถที่มีอยู่ในการสอนเด็ก และเยาวชนรุ่นใหม่ให้มีพลังบวก เมื่อคุณครูสามารถชี้นำได้ และกลายเป็นความสุขในการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในเวลานี้'

***ต่อยอด AIS Academy พัฒนาภาคการศึกษา



ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา AIS ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาทักษะของพนักงานภายในองค์กรให้มีการอัปสกิล และรีสกิล ให้รับกับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เกิดขึ้น จึงเป็นการเสริมทักษะให้บุคลากรเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ​ก่อนเกิดการต่อยอดโครงการสู่ AIS Academy for Thais ภายใต้มุมมองใหม่ว่าการพัฒนาคนภายในองค์กรอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงหลักสูตรต่างๆ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน

​'AIS เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้สังคมไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องออกไปช่วยเหลือสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ ภายใต้ AIS Academy คิดเผื่อ เพื่อคนไทยในกิจกรรมต่างๆ มาจนถึงภาคการศึกษาซึ่งถือเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะช่วยปูทางเยาวชนสู่การทำงานในอนาคต'

​สำหรับโครงการ The Educators Thailand จะเริ่มจากเปิดโอกาสให้คุณครูได้สามารถเข้ามาเรียนรู้หลักสูตรต่างๆ และข้อมูลที่มีประโยชน์ผ่านแพลตฟอร์ม LearnDi ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทักษะใหม่ๆ ใน 5 หลักสูตร ตั้งแต่ 1.การเรียนรู้ภูมิทัศน์ของการเรียนในอนาคต องค์ประกอบของการเรียนการสอนออนไลน์ ระบบ Learn from Home จนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน 2.การวิเคราะห์เนื้อหา และวิธีการเรียนออนไลน์ 3.กลยุทธ์ในการสอนออลไน์ ทั้งการสอนแบบผู้เรียนอิสระ การสอนโดยใช้กิจกรรมกลุ่ม การออกแบบการสอนที่มีการแนะนำความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพิ่มเติมเข้าไป

​4.การผลิตวิดีโอออนไลน์สำหรับการศึกษา และ 5.การวัดประเมินผลออนไลน์ ทั้งความรู้ ทักษะ และทัศนคติต่างๆ โดยเมื่อผ่านหลักสูตรจะได้ใบประกาศนียบัตร และ Digital Credential Badge จาก AIS Academy ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองคุณวุฒิระดับสากล

***นวัตกรรมการสอนของครูไทยในอนาคต



​นอกเหนือจากการเพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนแล้ว ภายใต้โครงการ The Educators Thailand ยังมีการเปิดเวทีการแข่งขันเพื่อให้บุคลากรทางด้านการศึกษากว่า 1,000 คน จากทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น นักการศึกษา ครูผู้สอน บุคลากรด้านการศึกษาทุกสังกัด และนักศึกษาฝึกสอน มาเข้าร่วม Un Learn และ Re Learn ทักษะการสอน จนท้ายที่สุดจะได้มาซึ่งผลงานจากผู้เข้าร่วมโครงการในลักษณะต้นแบบของสื่อการสอนที่จะสามารถนำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อภาคการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต

​โดยหลังจากนี้ ในช่วง 2 เดือน ผู้สมัครเข้าร่วมจะเข้าหลักสูตรพัฒนา ออกแบบทฤษฎีการเรียนการสอน การออกแบบสื่อใหม่ๆ ยกระดับครูด้วยกัน จนถึงขั้นตอนการสอบวัดผล เมื่อผ่านจะได้รับใบประกาศนียบัตร

​เป้าหมายที่สำคัญของโครงการนี้คือ การเข้าไปยกระดับขีดความสามารถคุณครูไทย โดยเฉพาะการปรับกรอบความคิด (Mindset) ให้ฝักใฝ่ในการเรียนรู้ ด้วยการนำศักยภาพของเทคโนโลยีมาใช้ พร้อมกับการนำเครื่องมือดิจิทัลมาช่วยเชื่อมต่อผ่านแพลตฟอร์ม



กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช กล่าวเสริมว่า บริบทของภาคการศึกษามีการปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก การจะพัฒนาระบบต้องเริ่มจากการพัฒนาศักยภาพของคน

​ความตั้งใจของ AIS คือการนำเอาทักษะ องค์ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงศักยภาพความเป็นผู้นำด้านดิจิทัล เทคโนโลยี เข้ามาช่วยผลักดันตามแนวทางที่ AIS Academy เดินหน้าเรื่อง EdTech มาตลอด

​'จากประสบการณ์ที่ AIS มีการส่งเสริมการเรียนรู้ภายในองค์กรมาก่อน ทำให้เข้าใจถึงปัญหาในการที่จะปรับคนที่เคยชินกับรูปแบบการเรียนการสอนในรูปแบบเดิม มาใช้ระบบดิจิทัล หากภาคเอกชน และภาครัฐร่วมมือกัน และส่งเสริมกัน อย่างการนำประสบการณ์มาช่วยย่นระยะเวลา ทำให้ภาครัฐไม่ต้องไปทดสอบ หรือเดินผ่านเส้นทางปัญหาต่างๆ ก็จะทำให้ศักยภาพของการพัฒนารวดเร็วขึ้น'

​ปัจจุบันความเร็วในการปรับตัว และพัฒนาถือเป็นเรื่องสำคัญ จากที่ในอดีตที่มองว่าความสมบูรณ์เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ความเร็วสำคัญกว่าสมบูรณ์ จากสถานการณ์ที่เจออยู่ในปัจจุบันซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วัน รูปแบบในการรับมือสถานการณ์ก็ต้องเปลี่ยนทุกวัน

​ดังนั้น LearnDi จึงเข้ามาเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อช่วยพัฒนาให้เหล่าบุคลากรทางการศึกษา ครูอาจารย์ผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการได้ร่วมสร้างความแข็งแกร่งและนำศักยภาพการศึกษาโดยการพัฒนาวิธีการสอน และเสริมทักษะการสร้างสรรค์ผลงานสื่อการสอน ภายใต้แนวคิด 'มากกว่าความเป็น...ครูผู้สอน นวัตกรรมการสอนของครูไทยในอนาคต'

​นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ และสร้างสรรค์ผลงานเข้าประกวดยังมีโอกาสได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

​สุดท้ายเชื่อว่า The Educators Thailand จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะปลุกพลังของภาคการศึกษา บุคลากร และครูไทย ให้เกิดการปรับเปลี่ยนสู่การศึกษาในรูปแบบใหม่ ตามยุคสมัยดิจิทัล ซึ่ง AIS พร้อมที่จะใช้ความแข็งแกร่งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานมาเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อครูไทย ไปพร้อมกับคนไทย
#3368



โลกธุรกิจยุคใหม่ ที่ตลาดมีความผันผวน เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การเติบโตเพียงภายในประเทศอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เปิดบทสัมภาษณ์ "ซาแมนต้า สุริวัณ ตึ๊ง" ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ อาลีบาบา ถึงมุมมองใหม่ และเทรนด์สำคัญของอีคอมเมิร์ซ

โลกธุรกิจยุคใหม่ ที่ตลาดมีความผันผวน เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การเติบโตเพียงภายในประเทศอาจไม่เพียงพออีกต่อไป...

ซาแมนต้า สุริวัณ ตึ๊ง หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และปฏิบัติการ Alibaba.com ประเทศไทย แสดงทัศนะว่า ทุกอย่างกำลังมุ่งไปสู่ดิจิทัล  หากมีตัวตนบนโลกออนไลน์จะสามารถเข้าถึงดีมานด์ได้ทั่วถึงมากกว่าการเป็นผู้เล่นที่อยู่เฉพาะบนออฟไลน์เพียงอย่างเดียว

ทุกวันนี้อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยเทคโนโลยีกลายเป็นช่องทางและเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจมีทางรอด สามารถออกไปแข่งขันได้ในตลาดระดับโกลบอล ขณะเดียวกันเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าไปฉวยเพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตในระยะยาว

"อีคอมเมิร์ซกำลังเติบโต การเข้าสู่ธุรกิจบีทูบีระดับโกลบอลอาจเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไม่ถนัด ทว่ามีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าไปในแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาว"

ชี้ไทยศักยภาพเติบโตสูง

ผู้บริหารอาลีบาบาวิเคราะห์ว่า ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตในเวทีการค้าระดับโลกที่สูงมาก โดยมีสินค้ายอดนิยม 5 หมวดคือ อาหารและเครื่องดื่ม อาหารแปรรูป ขนม, สินค้าทางการเกษตร, ความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว, สินค้าเพื่อสุขภาพ, และอุปกรณ์ตกแต่งสวน 

ที่ผ่านมา แต่ละประเทศจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ส่วนสินค้าจากไทยหลักๆ ที่เป็นที่ยอมรับ แข่งขันได้ดี และมีนวัตกรรมจะเป็นกลุ่มอาหารและสินค้าทางการเกษตร ช่วงเดือน ม.ค.-ธ.ค 2563 การเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกของผู้ประกอบการไทยเติบโตมากถึง 45%

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2663 ทำให้มายเซ็ตผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีความต้องการสินค้าที่ดูคุ้มค่า ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพ มีมุมมองใหม่ๆ ไปถึงเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน 

นอกจากนี้ เทรนด์ที่น่าสนใจพบด้วยว่าผู้ซื้อในตลาดระดับโกลบอลมีอายุที่น้อยลง มีความคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยี โดยกว่าครึ่งหนึ่งอายุน้อยกว่า 34 ปี กล่าวได้ว่าไม่ใช่แค่ผู้บริโภคทั่วไปเท่านั้นที่คุ้นเคยกับการซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซ แต่บายเออร์ทั่วโลกต่างก็มองหาสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ จึงเป็นโอกาสและเวลาที่สำคัญสำหรับเอสเอ็มอีในการก้าวเข้ามา เพื่อปูทางก้าวผ่านวิกฤติและฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งกว่าเดิม

ชู 'อีโคซิสเต็ม' ครบวงจร

สำหรับอาลีบาบา แนวทางการทำธุรกิจครึ่งปีหลังเดินหน้าให้บริการเครื่องมือทางดิจิทัลที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของผู้ค้าออนไลน์ ให้สามารถออกไปทำตลาดระดับโลก ด้วยเป็นส่วนหนึ่งของเครืออาลีบาบามั่นใจว่ามีจุดแข็งด้านเทคโนโลยี รวมถึงเครือข่ายอีโคซิสเต็มที่ครบวงจร

บริษัทเน้นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ขายสามารถเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลที่สามารถทำได้จากทุกดีไวซ์ทั้งเว็บเบสและโมบายแอพพลิเคชั่น รองรับได้ทุกอุปกรณ์ มีบริการภาษาไทย ด้านผู้ซื้อมีความสะดวกมากที่สุดสามารถค้นหาสินค้าได้ง่ายผ่านการเสิร์ช รวมถึงการค้นหาด้วยรูปภาพ

นอกจากนี้ มีแผนเพิ่มการสนับสนุนทางการตลาด ทำให้การขายสอดคล้องไปกับความต้องการ จัดออนไลน์เทรดโชว์ เมกะแคมเปญ การอบรมผ่านออนไลน์ ซึ่งจะทำให้มือใหม่เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ได้โดยใช้เวลาไม่นาน มากกว่านั้นเพิ่มเซอร์วิสพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่นเพื่อทำให้การให้บริการเข้าถึงได้มากขึ้น

ไฮไลต์เช่น โครงการอบรมออนไลน์สำหรับซัพพลายเออร์ที่เพิ่งเข้าร่วมแพลตฟอร์ม ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้สมาชิกใหม่คุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและเข้าใจธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้น


เดินแผนเพิ่มลงทุนไทย

เธอเผยว่า ด้านมาร์เก็ตติ้งโซลูชั่น นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและสนับสนุนการขาย พร้อมแนะนำแนวทางการจัดทำแพ็คเกจที่ทำให้ขายสินค้าได้ โดยร้านค้าสามารถเข้ามาเริ่มต้นดำเนินการและพร้อมขายได้ทันทีภายใน 60 วัน

บทบาทของอาลีบาบามุ่งเป็นมาร์เก็ตเพลสที่สนับสนุน "Global Buy" และ "Global Sale" พร้อมมีข้อมูลแบบอินไซต์ที่จะช่วยผู้ประกอบการเติบโตในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก การทำตลาดรูปแบบบีทูบีในระดับโกลบอลจะมีส่วนทำให้ธุรกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้น เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีกว่าไม่ยอมออกมาทำอะไรเลย

"หน้าที่ของเราคือเข้าไปช่วยลดปัญหา ลดเวลาในการเริ่มต้นธุรกิจ รวมไปถึงการวางแผนกระบวนการ วิธีการบริหารจัดการ และผลการดำเนินงานที่สามารถคาดหวังได้เมื่อทำธุรกิจออนไลน์"

อาลีบาบาเชื่อว่า ตลาดไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้สูงมาก ดังนั้นมีแผนเข้ามาเพิ่มการลงทุนและการสนับสนุนที่มากขึ้นต่อเนื่องในทุกๆปี ขณะเดียวกันเดินหน้าทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย ผู้ค้า พันธมิตรระดับท้องถิ่น คาดว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตได้ไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา

หลังจากนี้ จะพยายามพัฒนาบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น อนาคตเตรียมร่วมมือกับพันธมิตรขยายการให้บริการที่ครอบคลุมด้านโลจิสติกส์และฟูลฟิวเมนท์ด้วย
#3369



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยความคืบหน้าธุรกิจให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้ดำเนินการติดตั้ง เนื่องจากลูกค้าหลายรายที่เคยเจรจากันไว้ ขอชะลอแผนการลงทุนติดตั้ง

โซลาร์รูฟท็อปออกไปก่อน ซึ่งเป็นการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยเฉพาะผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19

"ยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันลำบาก ไม่มีคนอยากจะลงทุน และหลายโรงงานก็ปิดตัวลง ทำให้ธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปยังไม่คืบหน้า ตอนนี้ยังไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ในอนาคตยังเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ และบริษัทยังไม่ล้มเลิกธุรกิจนี้แน่นอน เพียงแต่รอความพร้อมของลูกค้าที่ขอชะลอการติดตั้งออกไปก่อน"

สำหรับธุรกิจให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ก่อนหน้านี้ เอ็กโก กรุ๊ป ระบุว่า มีลูกค้าในมือแล้ว ประมาณ 40 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตในมือแตะระดับ 200 เมกะวัตต์ใน 5 ปี โดยจะมุ่งเน้นเจาะตลาดในกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม บริษัท ยังคงเดินหน้าเร่งรัดขยายการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพการเติบโตมากกว่าแทน โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานทดแทน ที่จะเป็นส่วนของสำคัญของการพลังงานสะอาดที่มีอนาคตเติบโตอีกมาก ซึ่ง บริษัท ก็ได้ปรับเป้าหมายจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 30% จากเดิม 25% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม ภายในปี 2573 และอีก 75% จะเป็นกำลังการผลิตจากพลังงาน Conventional และธุรกิจใหม่ จากปัจจุบันสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอยู่ที่ 22-23% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

อีกทั้งยังมีโอกาสปรับเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนให้มากกว่า 30% ได้ แต่ยังคงต้องรอดูความชัดเจนจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2022) เนื่องจากปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศขณะนี้สูงถึง 40% การเติมพลังงานทดแทนช่วงดังกล่าวอาจยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟได้ ซึ่งปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,016 เมกะวัตต์ 
#3370



นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางนโยบายขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) โดยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี ทรานส์ปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือ JWD เข้าซื้อหุ้นรวม 20% ใน บริษัท อีสเทิร์นซี  แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด (EASTERN SEA LAEM CHABANG TERMINAL หรือ ESCO) ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์รายใหญ่ในท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และผู้ให้บริการสถานีบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ ลาดกระบัง (Inland Container Depot หรือ ICD) โดยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะส่งผลให้ JWD เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ PSA ซึ่งเป็นผู้บริหารและดำเนินการท่าเรือขนส่งสินค้าระดับโลกของประเทศสิงคโปร์ เนื่องจาก PSA เป็นผู้ถือหุ้นหลักของ ESCO

'การลงทุนที่สำคัญในครั้งนี้นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปีของบริษัทฯ ซึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ในช่วงที่ผ่านมาและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยในช่วงแรก เจดับเบิ้ลยูดี ทรานส์ปอร์ต จะเข้าถือหุ้น 15% ใน ESCO และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20% ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า'นายชวนินทร์ กล่าว

ปัจจุบัน ESCO เป็นผู้ประกอบการท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ 3 แห่ง ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ได้แก่ (1) ท่าเรือ ESCO (B3) ที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการเองโดยได้รับสัมปทานโดยตรงจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย (2) ท่าเทียบเรือ LCB1 (B1) และ (3) ท่าเทียบเรือ LCMT (A0) ซึ่ง ESCO มีส่วนร่วมในฐานะผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานพัฒนาท่าเรือทั้ง 2 แห่งดังกล่าว โดยในปี 2563 ท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้ง 3 แห่ง ให้บริการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่ผ่านเข้า-ออกตลอดทั้งปี รวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้าน TEU คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่ผ่านเข้า-ออกในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังในปีที่ผ่านมา และคาดว่าความต้องการใช้บริการท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศ มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว หลังสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปเริ่มคลี่คลาย


ขณะเดียวกัน ESCO ยังเป็น 1 ใน 6 ผู้ให้บริการสถานี ICD ลาดกระบัง เพื่อรองรับการบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ของสายการเดินเรือต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง โดยมีรายได้จากการให้บริการลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ คลังบรรจุสินค้าเพื่อการส่งออกและนำเข้าพร้อมบริการพิธีการทางศุลกากร และการให้บริการขนส่งบริหารจัดการและซ่อมแซมตู้คอนเทนเนอร์โดยทางบกและทางราง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจขนส่งสินค้าของ JWD ในการนำเสนอบริการเพิ่มเติมให้แก่ผู้ใช้บริการสถานี ICD ลาดกระบังอีกด้วย


ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน ESCO ไม่เกินเดือนตุลาคมนี้เป็นอย่างช้า

ทั้งนี้ การเข้าลงทุนใน ESCO จะเป็นการรุกขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายใหญ่ในแหลมฉบังอย่างเต็มตัวของ JWD  จากปัจจุบันที่ได้รับสิทธิ์บริหารท่าเรือชายฝั่ง A ในท่าเรือแหลมฉบัง จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย และดำเนินธุรกิจท่าเรือขนส่งสินค้า MIPEC ในเมืองไฮฟง ประเทศเวียดนาม ผ่านการถือหุ้นใน Transimex ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่จากเวียดนาม โดยการรุกเข้าสู่ธุรกิจให้บริการท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ จะเพิ่มศักยภาพแก่บริษัทฯ ด้านการให้บริการโลจิสติกส์แบบ Multimodal Transportation สามารถเชื่อมต่อการให้บริการขนส่งสินค้าหลากหลายรูปแบบ ทั้งทางรถ ทางราง ทางน้ำ และเพิ่มโอกาสขยายฐานลูกค้าจากบริการท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ และบริการสถานี ICD ลาดกระบัง ไปสู่การให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจร


"ปัจจุบัน JWD ให้บริการขนส่งสินค้าในรูปแบบ Multimodal Transportation เช่น การขนส่งและเคลื่อนย้ายสินค้าทั่วไป ยานยนต์ สินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์, การขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ มายังท่าเทียบเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง, การยกขนและเคลื่อนย้ายตู้สินค้าที่ขนส่งทางรถไฟจากภาคอีสาน รวมทั้งจากภาคอุตสาหกรรมหลักในโซน EEC จังหวัดระยองสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ดังนั้นการลงทุนครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าและการให้บริการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งในฝั่งการให้บริการจากกรุงเทพฯ มายังท่าเรือแหลมฉบัง และจากสถานี ICD ลาดกระบัง มายังท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงการนำฐานข้อมูลสินค้าที่ผ่านเข้า-ออกท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาบริการด้านโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น" นายชวนินทร์ กล่าว
#3371


"MONOMAX" (โมโนแมกซ์) ผู้นำดูหนังออนไลน์แบบถูกลิขสิทธิ์ ในเครือ โมโน เน็กซ์ ชวนคอหนังสดุดีเหล่าวีรชนคนกล้าไปกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดแนวมหันตภัย "คนกล้าไฟนรก ONLY THE BRAVE (GRANITE MOUNTAIN NO EXIT)" ที่ได้สองนักเขียนบท "เคน โนแลน" และ "อีริค วอร์เรน ซิงเกอร์" มาร่วมกันดัดแปลงบทความจากนิตยสาร GQ หยิบยกเรื่องจริงของเหล่านักผจญเพลิงที่ออกปฏิบัติภารกิจยับยั้งไฟป่ายาร์เนล เมื่อปี 2013 จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ต้องสูญเสียนักดับเพลิงชาวสหรัฐอเมริกาสูงถึง 19 นายจากทั้งหมด 20 นาย ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว!



ภาพยนตร์ "คนกล้าไฟนรก ONLY THE BRAVE (GRANITE MOUNTAIN NO EXIT)" เป็นเรื่องจริงของกลุ่มนักผจญเพลิง แกรนิต เมาท์เท่น ฮอตช็อตส์ ที่ต้องรับมือกับไฟป่าครั้งร้ายแรงที่สุดแห่งประวัติศาสตร์อเมริกาที่เกิดขึ้น ณ เมืองเพรสคอตต์ รัฐอริโซน่า ที่พร้อมจะเปลี่ยนผืนป่าขนาดใหญ่ให้เป็นนรกบนดิน พวกเขาต้องออกลุยปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องผู้คนและเมืองอริโซน่าด้วยชีวิตของพวกเขา จนกลายเป็นตำนานวีรบุรุษที่ทุกคนต้องกล่าวขานเมื่อพลังแห่งมิตรภาพ ความเสียสละ และความกล้าหาญ ผลักดันให้พวกเขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องครอบครัว ชุมชน และเมืองอันเป็นที่รักให้รอดพ้นจากเพลิงมรณะและใช้เวลานานกว่า 12 วันกว่าจะควบคุมเพลิงไว้ได้!

ติดตามชมเรื่องราวความกล้าหาญของเหล่านักผจญเพลิงได้ในภาพยนตร์ "คนกล้าไฟนรก ONLY THE BRAVE (GRANITE MOUNTAIN NO EXIT)" นำแสดงโดย จอช โบรลิน (รับบท อีริค มาร์ช), ไมล์ส เทลเลอร์ (รับบท เบรนแดน แม็คโดนัฟ), เจฟฟ์ บริดเจส (รับบท ดูแอน สไตน์บริงค์) และ เทเลอร์ เคิร์ธ (รับบท อแมนด้า มาร์ช) ผ่านทาง MONOMAX (โมโนแมกซ์) พากย์ไทยครบทุกเรื่อง! เพียงเดือนละ 250 บาท รับชมได้พร้อมกัน 5 คน สามารถสมัครผ่าน www.monomax.me  โทรสอบถามรายละเอียด 02-100-7007
#3372


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผู้หญิงเก่งมากความสามารถ ที่ควบตำแหน่งผู้บริหารได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ผ่านบททดสอบสุดหินจากบริษัทยักษ์ใหญ่แถวหน้าของเมืองไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกลายเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานรัฐ และกระทรวงต่างๆ สำหรับผู้บริหารคนเก่ง "คุณจิระวรรณ ไชยพงศ์ผาติ" อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานฝ่ายบริหารรัฐสัมพันธ์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย)

ล่าสุดก้าวกระโดดสู่ความท้าท้ายไปอีกขั้น สู่เบื้องหลังดีลบริษัทข้ามชาติกับรัฐบาลไทย กับตำแหน่ง "ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายดูแลรัฐสัมพันธ์" ของ SAP บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำระดับโลก แต่กว่าคุณจิระวรรณ จะมาอยู่บนเวทีระดับโลกได้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง จะน่าสนใจและให้แง่คิดมากมายแค่ไหน วันนี้ "เดลินิวส์ออนไลน์" มีคำตอบ ตามมาอ่านบนสัมภาษณ์กัน



กว่าจะมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของลาซาด้า คุณจิระวรรณต้องผ่านบททดสอบอะไรบ้าง

"ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิงที่มีอายุน้อยในตอนนั้น การที่เราจะได้รับการยอมรับ และได้รับมอบหมายในตำแหน่ง "รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานฝ่ายบริหารรัฐสัมพันธ์ " ของบริษัทลาซาด้า ซึ่งถือว่าเป็นคนแรกและคนเดียวของบริษัทที่เข้ามาดูแลประสานงานกับรัฐบาลโดยตรง ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ความรับผิดชอบหลักคือ การติดต่อ และประสานงาน รวมถึงทำโปรเจคท์ต่างๆ กับหน่วยงานรัฐ ซึ่งหน้าที่ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งจุดพิสูจน์ความสำเร็จ ทั้งบททดสอบในสถานการณ์ต่างๆ ทุกอย่างได้ทดสอบเรามาตลอดเวลา จนลาซาด้าทำให้เราเป็นที่รู้จักมากยึ่งขึ้นและลาซาด้าก็เป็นที่รู้จักในหน่วยงานรัฐต่างๆ มากขึ้นเช่นกัน 

ความท้าทายในการทำงาน

"สำหรับความท้าทายอย่างแรก คือ

1. ความเข้าใจของรัฐบาลที่มีต่อธุรกิจ E-Commerce ดังนั้น เราจึงต้องให้ความรู้ ความเข้าใจกับรัฐบาลก่อน

2. การประสานงานในบริษัทเพื่อให้การซื้อขายบน Platform ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเราต้องทำหน้าที่ในการประสานทั้งภาครัฐและบริษัท และด้วยในปัจจุบันการค้าขายแบบ E-Commerce นั้นก้าวกระโดดไปไกลมาก แต่กฎหมายไทยบางข้อยังไม่อัพเดท ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมากในการทำงานตรงนี้



จุดเริ่มต้นอะไรที่ทำให้ "คุณจิระวรรณ" ตัดสินใจก้าวกระโดดจากผู้บริหาร Lazada ไปที่ SAP บริษัท software ชั้นนำระดับโลก

"เรามองว่าบริษัท SAP เป็นผู้นำตลาดซอฟต์แวร์ระดับองค์กรขนาดใหญ่และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในแทบทุกอุตสาหกรรมให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทุกวันนี้ SAP เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และเป็นอันดับ 3 ของโลก เรามีลูกค้าทั่วโลกมากกว่า 440,000 ราย ลูกค้าของ SAP มีกระจายอยู่ในทุกอุตสาหกรรม และมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการเข้ามาทำงานที่ SAP เหมือนได้ก้าวไปอีกหนึ่งขั้นในชีวิตของการทำงาน ซึ่งเป็นการทำงานมาตรฐานระดับโลก

โดยเรามาทำงานที่นี่เป้าหมายคือ คือการนำนวัตกรรมทางดิจิทัลและประสบการณ์ของภาครัฐทั่วโลกจาก SAP มาช่วยเสริมสร้างศักยภาพของภาครัฐให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาวิกฤตการณ์ที่เกิดมากจากโควิท19 ซึ่งเป็นความท้าทายอันสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของรัฐไทย"

การเริ่มต้นใหม่กับ "SAP" มองความท้าทายอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ท้าทายกับการร่วมงานกับ SAP คือ

1. เราจะทำอย่างไรให้ภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยรู้จัก นวัตกรรมทางดิจิทัลสมัยใหม่ และใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของ SAP ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ     

ทั้งนี้แม้ว่า SAP จะอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่า 26ปีแล้ว แต่เรายังเห็นโอกาสที่จะช่วยทางภาครัฐและเอกชนในการนำนวัตกรรมทางดิจิทัลมาใช้ เพื่อที่จะขับเคลื่อน นโยบาย ไทยแลนด์ 4.0ในหลายๆมิติ

2. การเปลี่ยนจากบริษัท e-commerce มาเป็นบริษัท software ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย เช่น เรื่องของกระบวนการภายในองค์กร โครงสร้างองค์กร กระบวนการต่างๆ การจัดการองค์กร ที่แตกต่างกัน เช่น ธุรกิจ E-Commerce ก็จะเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ในขณะที่ SAP ก็จะเคลื่อนตัวอย่างมั่นคง ระบบต่างๆ ก็จะต่างกัน นอกจากนี้การทำงานกับ ลาซาด้าจะอยู่ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอาลีบาบา เป็นบริษัทแม่ แต่ SAP มีเครือข่ายทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นเราก็ต้องทำงานทั้งในอเมริกาและยุโรปด้วย ซึ่งกระบวนการของที่นี่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างบุคลากรในบริษัทได้อย่างยอดเยี่ยม


เป็นผู้หญิงมาอยู่บริษัทชั้นนำระดับโลกเป็นไงบ้าง มีความกดดันอย่างไรบ้าง

"ส่วนตัวเรามองว่า บททดสอบก่อนหน้านี้ได้พิสูจน์ตัวเราจนทำให้กลายเป็นที่ยอมรับต่อทุกคนหมดแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ในตอนนั้น ยังพ่วงตำแหน่ง เลขานุการคณะกรรมการกฎหมาย สมาคมประกันชีวิตแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 8 ปี ซี่งตอนนั้นมีอายุเพียง 29 ปี และเมื่อมาทำงานที่ลาซาด้า เรายังเป็นประธานฝ่ายบริหารรัฐสัมพันธ์ คนแรกของลาซาด้าในเมืองไทยด้วย และปัจจุบันยังดำรงเป็นอนุญาโตตุลาการศาลยุติธรรมของประเทศไทย

สำหรับตอนนี้ เมื่อเราก้าวมาบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง SAP ที่มาพร้อมกับตำแหน่ง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายดูแลรัฐสัมพันธ์ เมื่อถามถึงความกดดันว่ามีมากไหม แน่นอนว่าต้องมากอยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นผู้บริหารที่มีอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้บริหารท่านอื่น แต่มั่นใจว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด


ส่วนตัวมักจะมองตัวเองเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอด พร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา ถามตัวเองเสมอว่าเราจะเรียนรู้อะไรดี ซึ่งเรามักจะต้องคอยหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ใช่ทุกวัน แต่เป็นทุกชั่วโมง ในเรื่องของดิจิทัล และซอฟต์แวร์เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อให้รู้เท่าทันสถานการณ์โลกที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดก็กลายเป็นสิ่งที่หลอมรวมเป็นตัวเราขึ้นมาได้ และพิสูจน์แล้วว่าเวทีระดับโลกแบบนี้ก็เหมาะสมกับผู้หญิงแบบเรา ซึ่งเราทำให้ลาซาด้ากลายเป็นที่ยอมรับของหลายๆ หน่วยงานรัฐ และเราก็มั่นใจว่า เราจะทำให้ SAP เป็นที่รู้จักของรัฐบาลและประยุกต์ใช้นวัตกรรมดิจิทัลมากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืนได้เช่นกัน"

"คุณจิระวรรณ" ตั้งเป้าหมายจะบริหารไปรูปแบบไหน

"เป้าหมายหลักในการบริหาร SAP คือ อยากช่วยให้ภาครัฐและเอกชน เข้าใจนวัตกรรมดิจิทัลของ SAP และสามารถประยุกต์ใช้ให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมดิจิทัลนี้ในการขับเคลื่อนทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับประเทศไทยให้ก้าวทันโลก ทั้งนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของภาครัฐและสังคมในการรองรับกับ New normal ในโลกยุคดิจิทัลที่เกิดมาจากวิกฤตการณ์การระบบของโควิท19  นี่เป็นเป้าหมายจริงๆ ของเราที่ตัดสินใจสินใจก้าวมายืนอยู่บริษัทชั้นนำระดับโลกแบบนี้"

มุมมองของตลาดซอฟแวร์โลก จะสามารถพัฒนาศักยภาพด้านใดให้หมาะสม ความคาดหวังในอนาคตจะพาบริษัท  SAP ไปในรูปแบบไหน

"SAP เรามีความชำนาญในทุกๆอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ที่อยู่กับสังคมไทยมากกว่า 26ปีนั้น ได้นำ Best Practice และ solution ที่ประสบความสำเร็จในหน่วยของภาครัฐทั่วทุกมุมโลก มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับนโยบายของรัฐและบริบทของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นระบบการบริหารทรัพยากรขององค์กร (ERP)  ระบบบัญชีการเงินและภาษี, ระบบบริหารงบประมาณ, ระบบบริหารทรัพยากรบุคคล, ระบบวางแผนการผลิต, ระบบบริหารสินค้าคงคลัง, ระบบจัดซื้อจัดจ้าง, ระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์กับภาคประชาชน และอื่นๆอีกมากมาย โดยผ่านการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยระดับโลกของ SAP ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ ปัญญาประดิษฐ์(AI) การสอนให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยการใช้ข้อมูลหรือ Machine Learning(ML), การทำ Analytics เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ผ่านระบบคลาวด์แพลทฟอร์มของเรา

เพราะฉะนั้นทุกองค์กรทุกระดับไม่ว่าจะเล็ก กลางใหญ่ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมดิจิทัลที่ได้การยอมรับทั่วโลกได้โดยง่ายและอย่างทันท่วงที ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ของประเทศที่เราต้องแข่งกับเวลาในการแก้ปัญหา ส่วนในตัวของเราอยากที่จะโฟกัสเฉพาะรัฐบาล เพราะอย่างเราทราบกันดี ในเรื่องของระบบการบริการจัดการต่างๆของทางภาครัฐนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องปรับปรุงโดยใช้นวัตกรรมดิจิทัลเป็นอย่างมากเพื่อให้รัฐบาลสามารถให้บริการประชาชนในรูปแบบดิจิทัลหรือeservices ที่เข้าถึงกับประชาชนได้เร็วและง่ายและมีประสิทธิภาพ เราเล็งเห็นความสำคัญตรงนี้ จึงตั้งใจที่อยากจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้กับทุกกระทรวง ทบวง กรม และทุกองค์กรของภาครัฐ เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนพร้อมแข่งขันในเวทีโลก

ซึ่งถ้าซอฟต์แวร์ที่เป็นฟันเฟืองหลักของการเข้าสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทยยังไม่มีศักยภาพ มันจะไม่มีทางเลยที่ประเทศไทยของเราจะแข่งขันในเวทีกับระดับโลก เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ของ SAP จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสุ่จุดนี้ได้ และไม่ใช่เพียงภาครัฐเท่านั้น ยังรวมไปถึงภาคเอกชนต่างๆอีกด้วย

เพียงแต่ว่าถ้าเรามีโอกาสในการนำเสนอคุญค่าในการนำนวัตกรรมและประสบการณ์ของทาง SAP ต่อหน่วยงานของภาครัฐ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าทางภาครัฐจะเห็นความสำคัญและคุณค่า และให้ SAP มีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายต่างๆของภาครัฐมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ"


เรามองจุดที่เราอยู่ตรงนี้ เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง และจุดไหนที่เรามองว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว

"เรียกได้เราประสบความสำเร็จแค่ระดับนึงนะ เรายังพร้อมที่จะก้าวไปอีกขั้นเสมอ พร้อมที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ เช่นตอนนี้ได้เข้ามาทำงานกับ SAP ก็ได้เรียนรู้ระบบคลาวด์ และ success stories ของหน่วยงานรัฐทั้งในภูมิภาคนี้และในประเทศอื่นๆทั่วโลก ซึ่งตรงนี้เองเรามองว่าการเรียนรู้เป็นอะไรที่ไม่สิ้นสุด และอีกสิ่งที่อยากจะทำ คือ เราอยากจะใช้ความรู้ทั้งหมดที่เรามีใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคม เรามั่นใจว่า SAP จะช่วย ขีดความสามารถของการบริหารจัดการทั้งหมดของภาครัฐบาล และภาคเอกชนได้อย่างแท้จริง สามารถช่วยลดทั้งต้นทุน และเวลา และความรวดเร็วในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมทั้งก้าวไปสู่ระบบดิจิทัลให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเรามองว่าถ้าเราไปเป้าหมายเหล่านี้ได้ นั้นแหละคืออีกหนึ่งความสำเร็จของเรา"



สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ที่ "คุณจิระวรรณ" ต้องพบเจอในตอนนี้ มีผลกระทบต่อการทำงานอย่างไรบ้าง และจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

"ถ้าถามว่ากระทบไหม ตอบได้เลยว่ากระทบแน่นอน อย่างตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนต้องทำงานที่บ้าน โควิด-19 เปลี่ยนโลกเราให้กลายเป็นยุคนิวนอมอล(New Normal) ผ่านการใช้ดิจิทัลและเทคโนโลยีอย่างแท้จริง หลายๆ คนก็เริ่มจะศึกษาระบบคลาวด์ การปกป้องข้อมูลทาง internet ส่วนผลกระทบเรื่องของเศรษฐกิจก็มีคนพูดไปเยอะแล้ว เรามองว่าทุกคนควรที่จะหันมามองว่า เราควรจะมีระบบอะไรเพื่อจะช่วยให้ธุรกิจเราสามารถเติบโตได้มากขึ้นทันทีที่โควิด-19 หายไป เราเชื่อว่านวัตกรรมของ SAP จะช่วยบริษัท หรือรัฐบาลให้ก้าวไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิม เราจะไม่กลับมาสู่สิ่งนี้อีกแล้ว ภายใต้การเรียนรู้ในที่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว"

"สำหรับการบริหารจัดการในยุคนี้เรามองว่าพอมันเป็นยุคดิจิทัล 4.0 สิ่งที่สำคัญของบริษัททุกบริษัทนั้นก็คือ ดิจิทัลแพลทฟอร์ม เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มีรากฐานที่ดี ไม่มีเครื่องมือ คุณจะไม่สามารถไปต่อสู้กับใครได้เลย ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล และคนไทย ควรจะหันมามองได้แล้วว่า จริงๆ แล้ว ระบบหลังบ้านเราอะไรที่ควรจะซ่อมแซมได้บ้าง แล้วอะไรที่เราควรจะพัฒนา ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ใช้อดีตที่ผ่านมามองเป็นบทเรียน เพื่อให้เราสามารถป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากอีก 10 ปีข้างเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เราก็จะสามารถบริหารจัดการ รับมือได้ดีและรวดเร็วมากขึ้น สุดท้ายเรายังคงมองว่าดิจิทัลแพลทฟอร์มเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะบริหารจัดการระบบหลังบ้านที่ทุกคนจะต้องมี และหันมาตระหนักถึงได้แล้ว".. คุณจิระวรรณ กล่าวทิ้งท้าย... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/news/89889/
#3373



ในปัจจุบันภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ จากรายงาน IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ชี้ให้เห็นว่าแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาจากภาคพลังงาน ร้อยละ 35 รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นร้อยละ 18 รวมถึงภาคอาคารวัสดุก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ 8

ยิปซัมตราช้าง ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัม และนวัตกรรมระบบฝ้าเพดานและผนังยิปซัมในประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของ "ธุรกิจคาร์บอนต่ำ" และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.

คุณ จรุง กาญจนภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด เผยเทรนด์การทำธุรกิจว่าตอนนี้โลกกำลังมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ภาคธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น โดย ยิปซัมตราช้าง กำลังเดินหน้าเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ต่ำที่สุดและต้องทำอย่างต่อเนื่อง

"ปัจจุบันเราเป็นบริษัทผู้ผลิตแผ่นยิปซัมรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งมั่นใจได้ว่าตัวผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การใช้งาน ตลอดจนการกำจัดเศษซากจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง"

คุณ จรุง กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันกฎหมายจะไม่ได้บังคับใช้ในเรื่องฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ แต่เราเข้าใจและตระหนักดีถึงความสำคัญและยังคงเดินหน้าสร้างโมเมนตัมผลักดันให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันธุรกิจเองจะได้รับผลพลอยได้จากการดำเนินงานเรื่องนี้ในเชิงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองแล้ว ได้แก่ แผ่นยิปซัมมาตรฐาน ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. แผ่นยิปซัมทนชื้น ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. และแผ่นยิปซัมทนไฟ ตราช้าง ความหนา 15 มม.

"เราใส่ใจทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบ ขั้นตอนการผลิตจากฐานผลิตหลักที่จังหวัดสระบุรี การกระจายสินค้า และการใช้ประโยชน์ ตลอดจนการกำจัดซากที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

นอกจากนี้การเลือกใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การประเมินอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มาตรฐาน TREES (Thai's Rating of Energy and Environmental Sustainability)  โดยสถาบันอาคารเขียวไทย (TGBI) รวมถึงการประเมินมาตรฐานอาคารเขียว หรือ LEED (Leadership in Energy & Environmental Design) ซึ่งเป็นระบบการรับรองอาคารที่ยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคธุรกิจ

คุณ ยุทธศักดิ์ นฤชัยปราโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสถาปัตยกรรม บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด อธิบายถึงความสำคัญของ ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมขององค์กร นำไปสู่การหาแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และลูกค้าด้วย

"ประโยชน์สำหรับเจ้าของโครงการคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการนั้น ๆ และยังตอกย้ำความตั้งใจที่จะรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่ลูกค้าตรงของโครงการ หรือเจ้าของบ้าน จะมั่นใจได้ว่าเขาอยู่ในอาคารที่มีวัสดุก่อสร้างผ่านเกณฑ์มาตรฐานฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่กลุ่มนักออกแบบหรือสถาปนิก จะมั่นใจได้ว่างานที่ออกแบบมีการสเปกงานจากผลิตภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรมเชิงนิเวศ"

คุณ ยุทธศักดิ์ สรุปหลักง่ายๆ ว่าการพิจารณามาจากการคิดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของช่วงวัฏจักรชีวิตแต่ละผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การผลิต การกระจายสินค้า การใช้ประโยชน์และการกำจัดซาก โดย ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านเกณฑ์มี 3 รุ่น ได้แก่ แผ่นยิปซัมมาตรฐาน ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. ได้ค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ 3.43 ในขณะที่แผ่นยิปซัมทนชื้น ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. ได้ 3.35 และ แผ่นยิปซัมทนไฟ ตราช้าง ความหนา 15 มม. ได้ 7.98

คุณ จรุง ปิดท้ายว่า การขอฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ สอดคล้องกับนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเราที่มีมายาวนานกว่า 10 ปี นอกจากนี้ ยิปซัมตราช้าง ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น รางวัลโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) รวมถึงการดำเนินการเรื่องการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ หรือ LCA (Life Cycle Assessment) ตลอดจนมาตรฐานสิ่งแวดล้อม EPD (Environmental Product Declaration) ที่เราได้ทำมาตลอด และยังมุ่งมั่นเดินหน้ายกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไทยให้เติบโตเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
#3374

  

นับถอยหลังกับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 32 "โตเกียวเกมส์2020" กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น หลังจากโดนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เล่นงาน ทั่วโลก จนต้องเลื่อนทำการแข่งขันมากว่า 1 ปี

ทั้งนี้จะมีการเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งเป็นพิธีเปิดการแข่งขันและจะไปสิ้นสุดการแข่งขันในพิธีปิดในวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 17 วัน มีการชิงชัยกันทั้งหมด 33 กีฬา โดยมี 5 ชนิดกีฬาใหม่ที่ถูกบรรจุเพิ่มเข้ามาสเก็ตบอร์ด,ปีนหน้าผา,เบส.&ซอฟท์.,คาราเต้และกระดานโต้คลื่น

สำหรับนักกีฬาไทยผ่านการคัดเลือก และได้สิทธิ์เข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์รอบสุดท้าย 37 โควตา รวมจำนวน42 คนจาก 14 ชนิดกีฬา ยิงปืน&ยิงเป้าบิน , ขี่ม้า, เทควันโด, จักรยาน, เรือใบ&วินด์เซิร์ฟ , มวยสากล , กรีฑา , เทเบิลเทนนิส , เรือแคนู , เรือกรรเชียง , กอล์ฟ , ยูโด , ว่ายน้ำและแบดมินตัน

โปรแกรม"นักกีฬาไทย" ในโอลิมปิก2020 วันเสาร์ 24 ก.ค. 2564
แบดมินตัน รอบแบ่งกลุ่มเริ่มเวลา 07.00 น.
หญิงเดี่ยว:บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์พบ ดาเนียล่า มาเซียส (เปรู) ลงแข่งขันเวลา 07.40 น. โดยประมาณ
หญิงคู่:จงกลพรรณ กิติธรากุล และ รวินดา ประจงใจพบ เฉิน ชิงเฉิน และ เจีย ยี่ฟาน (จีน) ลงแข่งขันเวลา 09.40 น. โดยประมาณ
คู่ผสม:เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัยพบ โจชัว ฮัลเบิร์ต-ยู และ โจเซฟิน หวู (แคนาดา) ลงแข่งขันเวลา 16.40 น. โดยประมาณ

เทควันโดชิง 2 เหรียญทองเริ่มเวลา 09.00 น.
รุ่น 49 กก. หญิง (พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ)
รุ่น 58 กก. ชาย (รามณรงค์ เสวกวิหารี)


มวยสากลสมัครเล่น รอบแรกเริ่มเวลา 09.00 น.
เฟเธอร์เวต 57 กก. ชาย/หญิง (ฉัตรชัยเดชา บุตรดี)
เวลเตอร์เวต /หญิง (ใบสน มณีก้อน)


เทเบิลเทนนิสเริ่มเวลา 07.00 น.
ประเภทชายเดี่ยว/หญิงเดี่ยว (สุธาสินี เสวตรบุตร,อรวรรณ พาระนัง)
#3375

"หวย" เป็นเสี่ยงทายประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้ซื้อนั้นจะต้องทำการซื้อสลากหรือตัวเลขมาชุดหนึ่ง จากนั้นเจ้ามือจะทำการสุ่มจับตัวเลขขึ้นมา หากตัวเลขที่จับขึ้นมานั้นตรงกับที่อยู่ในมือของผู้ซื้อ ก็จะได้รางวัล เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันนี้หวยในประเทศไทยนั้นมีอยู่เพียงแบบเดียวคือ สลากกินแบ่งรัฐบาล ดังนั้นหากเป็นการซื้อโพยหรือเลขท้ายหวยกัน จะเรียกว่าเป็นหวยใต้ดิน แต่ก็ยังมีคนเล่นกันมาก เพราะเป็นทางลัดสู่ความร่ำรวยได้รวดเร็ว (แต่ไม่ค่อยมีใครรวยเพราะหวยหรอก) วันนี้เราจะมานำเสนอวิธีการเล่นหวยอย่างเซียนกันครับ
 
1. ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจและยอมรับก่อนว่า ไม่มีใครคนไหนในโลกที่จะถูกหวยทุกงวด หากมีคนบอกว่าทำได้ ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่าเป็นเรื่องเหลวไหล หรือโกหกเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง เพราะหวยนั้นแท้จริงแล้วเป็นเรื่องของโชคหรือลาภมากกว่าจะมากำหนดหรือกะเกณฑ์ได้

2. ดูว่าเรามีเงินทุนเท่าไหร่ แล้วลงมือแบ่งทุนนั้นออกเป็น 3 ส่วน เช่น มีเงินอยู่ 3 หมื่นบาทควรลงทุนกับหวยไม่เกิน 1 หมื่นบาท เผื่อเอาไว้จะได้ไม่เจ็บมากครับ เพราะอย่างที่บอกว่า ไม่มีใครที่จะโชคดีถูกหวยได้ทุกงวดหรอก

3. ห้ามลงทุนซื้อหวยน้อยชุด ควรกระจายซื้อให้มากชุดที่สุดเท่าที่ทำได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระจายโอกาสที่จะถูกมากขึ้นนั่นเอง โดยหลักการซื้อหวยนั้นควรถามใจตนเองก่อนว่า กล้าได้กล้าเสียแค่ไหน ถ้าซื้อมาแล้วโดนกินจะท้อหรือไม่ ข้อนี้เน้นเรื่องการวัดใจครับ ถ้าคิดว่าใจไม่ถึงอย่ามาเล่นหวย

4. โดยมากสูตรการซื้อหวยตามที่ที่เซียนหวยบอกจะซื้อที่ 16 ชุด 25 ชุด และ 40 ชุด โดยการเลือกซื้อเลขนั้นให้เลือกได้ตามใจชอบ จะตีความตามฝัน ทะเบียนรถพ่อแม่ วันเกิดลูกก็ได้ บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องอขงโชคลาภและการเสี่ยงดวง ถ้าเรามีดวงจะถูก มันต้องถูกสิน่า

5. ไม่ควรซื้อหวยแบบทวีคูณ เพราะนั่นคือ ทางขาดทุนดีๆ นี่เองเสี่ยงต่อการหมดตัวสูงมาก และอย่าไปคิดว่าการซื้อหวยนั้นจะทำให้คุณสามารถรวยได้แบบข้ามคืน เพราะคนที่คิดแบบนี้เจ๊งมาไม่รู้กี่ราย

ตัวอย่างจากเซียนหวย ตัวอย่าง หวย 40 ชุด ลงทุน 9,000 บาท ต้องมีทุน 3 เท่าคือ 27,000 (เริ่มต้นควรฝึกจาก 90 หรือ 900 บาทก่อนครับ 10 งวดผ่านแล้วค่อยลุย) เล่นหวยรอบแรก ลงทุน 40 ตัวๆละ 300 บาท เป็นเงิน 12,000 บาท หัก 25% 3,000 บาท จ่าย 9,000 บาท ถูก 300 บาทคูณ 70 ได้เงิน 21000 กำไร 12000 บาท

ก็อย่างที่บอกนะครับว่าไม่มีใครคนไหนในโลกที่จะถูกหวยทุกงวด สู้ตั้งใจทำมาหากินสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนยังจะดีซะกว่า ดังนั้นหากตอนนี้ใครเลิกได้ก็เลิกเถอะ แต่ถ้าใครคิดว่าไม่สามารถเลิกได้ ก็ให้เอาสูตรนี้ไปใช้ดู อาจช่วยคุณได้บ้าง ขอให้โชคดีครับ
#3376


เปิดรายละเอียดและสิทธิประโยชน์สำหรับสมัครเป็น "ผู้ประกันตน" ใน "ประกันสังคม ม.40" ว่า "สมัคร ม.40" แล้วได้อะไรบ้าง และจะเสียสิทธิรักษาพยาบาล "บัตรทอง" หรือไม่ ?

หลังจากที่ ครม. มีมติจ่าย "เงินเยียวยา" สำหรับ "ผู้ประกัน" ใน "ประกันสังคม" มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ก็มีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ "ประกันสังคมมาตรา 40" ที่เปิดให้ผู้ประกอบ "อาชีพอิสระ" สามารถสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพื่อรับเงินเยียวยา 5,000 บาทจากรัฐได้

แต่หลายคนยังมีข้อสงสัยว่าการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 จะได้ประโยชน์อะไร แล้วจะเสียโอกาสในการรักษาพยาบาล "บัตรทอง" อย่างที่โซเชียลมีเดียตั้งข้อสังเกตหรือไม่

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" จึงรวบรวมรายละเอียดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ผู้ประกันตนในประกันสังคมมาตรา 40 จะได้รับเพื่อไขข้อข้อใจ

 คุณสมบัติของผู้สมัครมาตรา 40 
- บุคคลทั่วไป อายุ 15-65 ปี


- ไม่มีนายจ้างประจำ เช่น อาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ ค้าขาย

 เงินสมทบที่ต้องจ่ายทุกเดือน 
ทางเลือก 1 : 70 บาท/เดือน (ช่วงเดือน ส.ค. 64-ม.ค. 65​ ลดเงินสมทบเหลือ 42 บาท )
ทางเลือก 2 : 100 บาท/เดือน (ช่วงเดือน ส.ค. 64-ม.ค. 65​​ ลดเงินสมทบเหลือ 60 บาท)
ทางเลือก 3 : 300 บาท/เดือน (ช่วงเดือน ส.ค. 64-ม.ค. 65​​ ลดเงินสมทบเหลือ 80 บาท )

 สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ 
ทางเลือก 1 : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต
ทางเลือก 2 : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ
ทางเลือก 3 : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ สงเคราะห์บุตร


- ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้วันละ 200 บาท ไม่เกิน 30 วัน/ปี

- การรักษาพยาบาลใช้สิทธิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือบัตรทอง 30 บาท นั่นหมายความว่า ผู้ประกันตนมาตรา 40 จะใช้สิทธิบัตรทองได้เหมือนเดิม เพียงแต่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น


เงื่อนไขการรับสิทธิ กรณีประสบอันตราย/เจ็บป่วย

- ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายใน 4 เดือน ก่อนประสบอันตราย/เจ็บป่วย

- รักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป จะได้รับสิทธิวันละ 200 บาท ไม่เกิน 30 วันต่อปี

 กรณีทุพพลภาพ 
- ได้รับเงินทดแทนการขาดได้ตั้งแต่ 500–1,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 15 ปี

- เสียชีวิตก่อนครบ 15 ปี รับเงินค่าทำศพ 20,000 บาท


เงื่อนไขในการรับสิทธิ กรณีทุพพลภาพ

- จ่ายเงินสมทบอย่างน้อย 6 เดือน ภายในระยะเวลา 10 เดือนก่อนทุพพลภาพ รับ 500 บาทต่อเดือน
- จ่ายเงินสมทบอย่างน้อย 12 เดือน ภายในระยะเวลา 20 เดือนก่อนทุพพลภาพ รับ 650 บาทต่อเดือน
- จ่ายเงินสมทบอย่างน้อย 24 เดือน ภายในระยะเวลา 40 เดือนก่อนทุพพลภาพ รับ 800 บาทต่อเดือน
- จ่ายเงินสมทบอย่างน้อย 36 เดือน ภายในระยะเวลา 60 เดือนก่อนทุพพลภาพ รับ 1,000 บาทต่อเดือน


 กรณีชราภาพ (รับเงินบำเหน็จ) 
- ได้เงินบำเหน็จพร้อมผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) คืนทั้งหมด


เงื่อนไขการรับสิทธิ กรณีชราภาพ

เมื่อผู้ประกันตนมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และแจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน หรือลาออก

ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบสามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มได้ไม่เกิน 1,000 บาท/เดือน


 กรณีชราภาพ (รับเงินบำนาญ) 
- ได้รับบำนาญรายเดือนขึ้นต่ำ 600 บาท/เดือน ตลอดจนเสียชีวิต

- กรณีจ่ายเงินสมทบไม่ถึงหลักเกณฑ์ที่จะรับเงินบำนาญ (ขั้นต่ำ) จะได้รับเงินบำเหน็จพร้อมผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) คืนทั้งหมด

- ได้รับบำนาญแล้วเสียชีวิตภายใน 60 เดือน ทายาทได้รับเงินบำเหน็จ 10 เท่าของเงินบำนาญรายเดือน

- กรณีทุพพลภาพก่อนได้รับบำนาญ จะมีสิทธิขอรับบำเหน็จพร้อมผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) คืน

เงื่อนไขการรับสิทธิ

- ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบครบหลักเกณฑ์ที่จะรับเงินบำนาญ (ขั้นต่ำ) หรือจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 420 เดือน (35 ปี)

- ผู้ประกันตนจะต้องมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน หรือลาออก

- ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบสามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มได้ไม่เกิน 1,000 บาท/เดือน

- ผู้ประกันตนสามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้ไม่เกินเดือน พฤษภาคม 2555


 เงินสงเคราะห์บุตร 
ในกรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40  ทางเลือกที่ 3 จะมีสิทธิ์ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรรายเดือน ตั้งแต่บุตรแรกเกิดจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์ คนละ 200 บาท คราวละไม่เกิน 2 คน ทั้งนี้ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบตามที่ประกันสังคมกำหนดด้วย

 การสมัครประกันสังคมมาตรา 40 
ช่องทางแรกสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ประกันสังคมได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม โดย วิธีสมัคร "ประกันสังคม" มาตรา 40 ผ่านเว็บไซต์ประกันสังคม www.sso.go.th สามารถทำได้ ดังนี้

1. เข้าไปยังเว็บไซต์ประกันสังคมที่ www.sso.go.th หรือ คลิกที่นี่

2. กรอกเลขบัตรประชาชน และ กรอกเลขหลังบัตรประชาชน

3. กรอกชื่อ-นามสกุลจริง, วันเดือนปีเกิด ตรวจทานให้ถูกต้อง

4. กรอกที่อยู่ปัจจุบัน, เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้

5. กรอกกลุ่มอาชีพ, รายได้ต่อเดือน, สภาพร่างกาย (กรณีเป็นผู้พิการ)

6. เลือกจ่ายเงินสมทบ (มีให้ 3 ทางเลือก) พร้อมเลือกสำนักงานประกันสังคมที่อยู่ใกล้บ้าน

7. ตอบคำถามว่าเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญหรือไม่?

8. จากนั้นกด "ยอมรับเงื่อนไข/ข้อตกลง" แล้วกด "ยืนยัน"

9 เมื่อผ่านขั้นตอนทุกอย่างแล้ว ระบบจะยืนยันผ่าน SMS ถือว่าขึ้นทะเบียนสำเร็จ

ช่องทางการสมัครอื่นๆ 

นอกจากจะสมัครผ่านเว็บไซต์ประกันสังคมได้แล้ว สำหรับคนที่ไม่สะดวกสมัครผ่านเว็บไซต์ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ได้ในช่องทางอื่นๆ ดังต่อไปนี้ 

1. สมัครด้วยตนเองที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่
2. สายด่วนประกันสังคม หมายเลข 1506
3. เซเว่น-อีเลฟเว่น ทุกสาขา
4. ธนาคาร ธกส. ทุกสาขา
5. Big c ซุปเปอร์เซ็นเตอร์
6. เครือข่ายประกันสังคมทั่วประเทศ

 ช่องทางติดต่อประกันสังคม 
เนื่องจากมีผู้ใช้บริการสายด่วน 1506 และเว็บไซต์ www.sso.go.th จำนวนมาก แอดมินขอ
เพจประกันสังคมแนะนำว่า ให้ลองติดต่อเข้ามาใหม่ในช่วงนอกเวลาทำการ โดยให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลช่องทาง Web chat หรือ inbox Facebook สำนักงานประกันสังคม หรือติดตามข้อมูลข่าวสารทางเพจ Facebook และข่าวประชาสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม
#3377


เมื่อเวลา 16.58 น.วันที่ 16 กรกฎาคม น.ส.วิไล ประดับศรี อายุ 56 ปี เลขที่ 103/3 หมู่ 4 บ้านบันไดม้า ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เข้าพบ พ.ต.ต.ชำนาญ ก่อเกิด สว.(สอบสวน) สภ.ปากช่อง เพื่อลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมถือสลากกินแบ่งรัฐบาล หมายเลข 556725 งวดที่ 28 ชุดที่ 03 และ 04 วันที่ 16 กรกฎาคม จำนวน 2 ใบ ตรงกับรางวัลที่ 1 ในงวดนี้ หลังลงประจำวันเสร็จแล้ว ข้าราชการตำรวจใน สภ.ต่างร่วมแสดงความยินดี รวมทั้ง ร.ต.อ.(หญิง)ศศินันท์ แสงทอง รอง สว.(สอบสวน) พนักงานสอบสวนสาวสวยเหมือนดาราภาพยนตร์ ร่วมถ่ายรูปด้วย

น.ส.วิไล ผู้โชคดีถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินรางวัล 12 ล้านบาท กล่าวว่า ตัวเองมีอาชีพรับจ้าง เป็นคนงานก่อสร้างทั่วไป ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท ส่วนสามี เป็นช่างก่อสร้าง ได้ค่าแรงงานวันละ 450 บาท ทุกงวดจะจองซื้อเลขรถ จยย.หมายเลข 725 จากคนขายประจำ งวดนี้ก็เช่นเดียวกัน คนขายประจำได้เอาสลากกินแบ่งมาขายให้เมื่อวานนี้ ซื้อทั้งหมด 6 ใบ รวมทั้งหมายเลข 556725 จำนวน 2 ใบ เลข 725

ก่อนหน้านี้ ก็เคยถูกรางวัลที่ 5 หลายปีก่อนได้เงินมา 4-5 หมื่นบาท และถูกเลขท้าย 2 ตัวมาหลายงวด โชคดีงวดนี้ถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินมาก็จะเอามาสร้างบ้านหลังใหม่ แบ่งให้ลูก พร้อมฝากธนาคารเก็บไว้ โชคดีที่เราไม่มีหนี้สิน เราประหยัด ทำงานทุกวันได้มาก็กินอยู่แบบประหยัด เก็บหอมรอมริบ แต่ก็ยังคงเป็นคนงานแบกปูน ผสมปูน ทำงานก่อสร้างต่อไป.

สาวชีวิตพลิก กลับบ้านมาขายก๋วยเตี๋ยวที่ยโสธร ก่อนถูกรางวัลที่ 1 รวย 12 ล้าน


เมื่อเวลา 19.30 น.วันที่ 16 ก.ค.64 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้าน น.ส.พิกุล (ขอสงวนนามสกุล)อายุ 33 ปี  แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ในพื้นที่บ้านหนองก้าว หมู่ 4 ต.หนองหมี อ.กุดชุม จ.ยโสธร หลังจากทราบว่าถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 16 ก.ค.64  หมายเลข 556725 จำนวน 2 ใบ เตรียมรับเงินจำนวน 12 ล้านบาท และกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่  โดยบรรยากาศที่บ้าน มีบรรดาญาติรวมทั้งเพื่อนบ้านที่ทราบข่าว พากันร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างต่อเนื่อง

น.ส.พิกุล เล่าว่า ตนเพิ่งกลับมาจากจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากสถานกาณ์โควิด-19 ระบาด จึงนำลูกกลับมาอยู่ที่จังหวัดยโสธร โดยปกติตนเป็นคนชอบเสี่ยงโชคกับลอตเตอรี่มาก กระทั่งก่อนวันหวยออกได้มีแม่ค้าได้มาเดินเร่ขายให้ โดยตนได้ซื้อไว้ทั้งหมด 8 ใบ และยังไม่ได้จ่ายเงินจำนวน 800 บาท เพราะหลังหวยออกคนขายจะมาเก็บเงินทีหลัง

โดยตนไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย แต่ด้วยความชอบเลข 25 และ 27 จึงได้เก็บเอาไว้ และมีแต่ก่อนวันหวยออก ตนฝันว่าญาติพี่น้องชวนกินแต่ข้าว 2-3 วันติดต่อกัน กระทั่งวันนี้ที่หวยออก ยังไม่รู้ตัวเลยว่าถูกรางวัล จนนึกได้ว่ายังไม่ตรวจลอตเตอรี่ที่ที่ซื้อไว้ จึงเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบมาตรวจ จนทราบว่าตนเองถูกรางวัลที่หนึ่ง ด้วยความตกใจจึงได้ร้องตะโกนลั่นบ้าน

หลังจากนี้ตนจะนำเงินที่ได้ไปใช้หนี้สิน พร้อมทั้งปลูกบ้านและเก็บเป็นทุนการศึกษาให้ลูก และเบื้องต้นต้นได้นำลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้วที่ สภ.กุดชุม จังหวัดยโสธร
#3378


"กลุ่มดุสิตธานี" เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมต่อเนื่อง หลังเข้ารับบริหารโรงแรม "ดุสิตดีทู หัวหิน" ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งที่ 3 ในหัวหิน พร้อมเปิดให้บริการ 16 ก.ค.นี้ ชูจุดเด่นท่องเที่ยววิถีใหม่ พร้อมเปิด "เพ็ทโซน" เอาใจคนรักสัตว์เลี้ยง

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มดุสิตธานีพร้อมเปิดให้บริการโรงแรม "ดุสิตดีทู หัวหิน" ในวันนี้ (16 ก.ค.) โดยนับเป็นโรงแรมในเครือดุสิตแห่งที่ 3 ในหัวหิน นอกเหนือจากโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ที่สร้างชื่อมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี และสถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก สวนสนประดิพัทธ์ ที่กลุ่มดุสิตธานีเข้าไปรับบริหารให้เมื่อเร็วๆ นี้

"เราเชื่อว่า หัวหินยังเป็นจุดหมายปลายทางที่อยู่ในใจนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มเสมอ เพราะสามารถเดินทางโดยรถยนต์ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ และหัวหินเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว"

โรงแรมดุสิตดีทู หัวหิน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหัวหิน สามารถเดินไปที่ชายหาดได้ภายใน 7 นาที อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองหัวหินหลายแห่ง เช่น ตลาดซิคาด้า และห้างบลูพอร์ตหัวหินรีสอร์ท มอลล์ โดยเราตั้งใจให้โรงแรมแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือคู่รัก ที่ต้องการพักผ่อนอย่างไร้กังวล ด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเทคโนโลยี Nanoe™ X ที่ช่วยกำจัดกลิ่นและยับยั้งแบคทีเรียในอากาศเสริมเข้าไปในห้องพักทุกห้อง เพื่อความสะอาดและปลอดภัย  และเปิดโซนห้องพักสำหรับลูกค้าที่ต้องการนำสัตว์เลี้ยงคู่ใจมาด้วย

สำหรับห้องพักของ "ดุสิตดีทู หัวหิน" ถูกออกแบบและตกแต่งแบบร่วมสมัย ประกอบด้วย ห้องพักและห้องสวีทรวม 152 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 30 ถึง 92 ตารางเมตร ห้องพักทุกห้องมีกระจกเปิดรับแสงธรรมชาติที่มีความสูงตั้งแต่เพดานจรดพื้น ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย โรงแรมนำเสนอสิ่งอำนวยครบครัน เช่น อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง สมาร์ททีวี 4K UHD ขนาด 55 นิ้วที่ให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อความบันเทิงได้อย่างง่ายดาย สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้บนชั้นดาดฟ้าและสระสำหรับเด็ก สวนขนาดใหญ่ ห้องออกกำลังกาย และห้องประชุม "ดอกจอก" ที่รองรับได้มากถึง 76 คน นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะได้รับบริการเสริมจากโปรแกรม 'ดุสิตแคร์' ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยทุกครั้งที่เข้าพัก ซึ่งประกอบไปด้วยมาตรฐานใหม่ในการบริการ เช่น เช็คอินตามเวลาที่ลูกค้าสะดวก เลือกรับประทานอาหารเช้าได้ทุกเวลา และชำระเงินผ่านมือถือ เป็นต้น


ขณะที่อีกหนึ่งจุดเด่นของโรงแรมที่เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัว คือ "เดอะแบรี่ คลับ" ซึ่งเป็นโซนสำหรับเด็ก นำเสนอกิจกรรมให้ครอบครัวได้ร่วมสนุกตลอดการเข้าพัก อาทิ กระบะทราย บ้านต้นไม้ การเพ้นท์กระเป๋า ปลูกต้นไม้ เรียนทำอาหาร และเกมส์ล่าขุมทรัพย์ที่มีสัญลักษณ์ 'แบร์รี่' มาสคอตลูกครึ่งหมีและเนื้อทรายคอยสร้างความเพลินเพลิน และให้ความรู้เด็กๆ เกี่ยวกับสัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ โดยลูกค้ารุ่นเยาว์จะได้รับแผนที่หมีน้อยเพื่อทำกิจกรรมสะสมแสตมป์และลุ้นรับไอศกรีม

ในด้านของบริการอาหาร ทางโรงแรมมีห้องอาหาร "คาเฟ่ซอย" ที่จะเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน นำเสนออาหารใต้แบบดั้งเดิม เช่น อาหารจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา และกระบี่ นอกจากนี้ ยังมี "ส้มบาร์" บาร์บนชั้นดาดฟ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปาร์ตี้ฮอลลีวูด ที่ให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับวิวทะเลแบบพาโนรามาขณะจิบค็อกเทล รวมถึง "ดุสิตกูร์เมต์" ร้านเบเกอรี่และคอฟฟี่ช็อปอันเป็นเอกลักษณ์ของดุสิต ที่นำเสนออาหารไทยและอาหารนานาชาติจานโปรดที่ปรุงด้วยวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม

และเพื่อเป็นการฉลองการเปิดโรงแรม ดุสิตดีทู หัวหิน กลุ่มดุสิตธานีนำเสนอแพคเกจ "The Journey has Begun" ในราคาเริ่มต้นคืนละ 2,499 บาทสุทธิ รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน และเตียงเสริมสำหรับลูกค้าที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ส่วนลด 20% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม โดยลูกค้าที่เข้าพักต่อเนื่อง 2 คืน จะได้รับเซ็ทอาหารใต้สูตรต้นตำรับมื้อเย็นสำหรับ 2 ท่านด้วย แพคเกจนี้สามารถเข้าพักได้ตั้งแต่ 16 ก.ค.-31 ส.ค.2564
#3379


การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 เป็นปฎิกิริยาเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในหลายมิติ รวมทั้งด้านการอยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย และนำเทคโนโลยีมาใช้ตอบโจทย์ความสะดวกและวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มากขึ้น โดย "ลุมพินี วิสดอม" บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล.พี. เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า "บ้านอัจริยะ"หรือSmart Residence ขยายตัวสูงมากกว่า 40% ต่อปีทีเดียว

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล.พี. เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยยุคหลังโควิด มีการออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชนภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งกลายเป็นวิถีชีวิตในปัจจุบัน (Now Normal)

การวิจัยของทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ "ลุมพินี วิสดอม" พบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอยและวัสดุ (Function & Material) สุขอนามัย (Health) เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย (Smart Living Technology) โดยนำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยโดยใช้เทคโนโลยี Internet of Thinks (IoTs) และอุปกรณ์อัจฉริยะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญทำให้การอยู่อาศัยสะดวก ปลอดภัย มากขึ้น

"พฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั่วโลกให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยเข้ามาใช้ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในรูปแบบของบ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Residence มากขึ้น รวมทั้งผู้ซื้อในไทย เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มีเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้การอยู่อาศัย สะดวก สบาย ปลอดภัย"

โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโควิด การใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากบ้านเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนและทำกิจกรรมส่วนตัว ปัจจุบันบ้านเป็นทั้งที่ทำงานและสถานที่พักผ่อนไปพร้อมกัน เมื่อผู้คนต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) มากขึ้น ทำให้การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยต้องมีพื้นที่ที่ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนการใช้สอยได้แบบ "Multifunctional Space"

ยกตัวอย่าง การแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านด้วยผนังทึบอาจต้องปรับเป็นผนังที่เปิดเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ภายในที่อยู่อาศัย ทำให้ดูโปร่ง มีการไหลเวียนอากาศที่ดี เลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม เช่น พื้นที่ครัวโดยเฉพาะครัวไทย ต้องใช้วัสดุที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ระบายอากาศได้ดี หรือพื้นที่อ่านหนังสือ-พื้นที่นั่งเล่นที่ต้องการปริมาณแสงธรรมชาติมากกว่าห้องนอน

จากการประเมินของ IDC สถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐ ระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ "Smart Residence" ของโลก เติบโตเฉลี่ย 31% ต่อปี จาก 644 ล้านเครื่อง ในปี 2561 เป็น 1,300ล้าน เครื่องในปี 2565 หรือเพิ่มมากกว่า "เท่าตัว" ภายใน 3 ปี ขณะที่ A.T. Kearney ระบุว่า มูลค่าตลาด Smart Residence ทั่วโลก อยู่ที่ 2.63 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 8.4 ล้านล้านบาทในปี 2568 ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ 2 หมวดหลัก คือ อุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัย

ด้าน "เมสเซ่ แฟรงก์เฟิร์ตนิว เอร่า บิซิเนส มีเดีย" ศึกษาการเติบโตของตลาด Smart Residence ในประเทศไทย พบว่า โปรดักท์ "Smart Home" ในไทยปี 2559 มีมูลค่า 645 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2563 มีมูลค่า 2,500 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี! แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Smart Residence เพื่อการดูแลผู้สูงอายุ เติบโตสูงสุด 60% และ Smart Home เพื่อการรักษาความปลอดภัยเติบโตอันดับ 2 อยู่ที่ 45% ต่อปี

ประพันธ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ยังมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ทำให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ดังนั้นนวัตกรรมด้านสุขอนามัย เช่น ระบบช่วยลดไวรัสและแบคทีเรียภายในอากาศ นวัตกรรมด้านวัสดุ เช่น สีทาบ้าน Low VOCs รวมถึงพื้นที่สีเขียวภายในบ้านถูกนำมาใช้มากขึ้น พร้อม เทคโนโลยี "Home Automation" เชื่อมต่อเข้ากับระบบสั่งการต่างๆ ทั้งทางเสียง หรือแอพพลิเคชั่น เพื่อควบคุมการทำงานของระบบเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เปิด-ปิดไฟ โทรทัศน์ เครื่องเสียง ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ การเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตกับอุปกรณ์สั่งการด้วยเสียง นวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาความร้อนภายในที่อยู่อาศัย เช่น ระบบ Fresh Air Intake การนำระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด ระบบเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ควบคุมผ่านแอพพลิเคชั่น เมื่อเกิดเหตุก็จะส่งสัญญาณเตือนมาที่โทรศัพท์ของผู้ใช้งาน

"Smart Residence" กำลังถูกพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G และมีความเสถียรของระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Price) มากขึ้น ตอบรับผู้บริโภคยุค Smart Life
#3380
ถ้าถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมีปัญหาผิว ทั้งริ้วรอย เรื่องสิว ผิวแห้งกร้าน คำตอบที่ได้คงจะมีร้อยพันที่คุ้นเคยกันดี ทำงานหนักไปบ้างละ เครียดมากไปใช่ไหมนะ พักผ่อนน้อยสินะ หรือ อี๋ เธอไม่รักษาความสะอาด ผิวหน้าเลยสกปรกน่ะสิ!!

อ้ะๆก็จริงอยู่นะ กับบรรดาเหตุผลมากมายก่ายกองสาเหตุปัญหาผิวที่ว่ามา แต่ถ้าถามเคยมีใครได้ยินบ้างหรือเปล่านะ ว่า "สมดุลไมโครโอมต่ำลง ผิวเลยแย่ไง" ???

ถ้าเกิดยังไม่เคยทราบ หรือเกิดสงสัยใจ อะไรนะ อะไรนะ ไมโครโอม? เกี่ยวอะไรกับผิวพวกเราล่ะ? บทความนี้ มาไขคำตอบกันจ๊ะ

รู้จัก Microbiome
Microbiome ของเรา คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่บนผิวของเรา มีมาตั้งแต่คลอดเป็นทารกน้อยๆจากท้องแม่ ซึ่งเจ้าไมโครโอมนี้คอยปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนของผิวพรรณ คอยดูแลผิวของเราไม่ให้ถูกแบคทีเรียตัวร้ายมารุกราน และยังดีต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้สุขภาพด้านร่างกายแข็งแรง ช่วยทำให้แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงพูดได้ว่ายิ่งไมโครโอมดี หรือมีสมดุลไมโครโอมดีแล้วล่ะก็ ผิวของคุณก็จะแข็งแรง ยิ่งแลดูอ่อนวัย และไม่แก่ชรานั่นเอง





ถ้าไมโครโอมแย่ ผิวก็ไม่โอเค
เป็นที่น่าเสียดายที่ไมโครโอมไม่ได้อยู่ให้เราสวยและก็สาวตลอดไป เพราะเหตุว่าเมื่ออายุมากขึ้น ไมโครโอมบนบริเวณใบหน้าก็ลดลง สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ ความชรา และก็ปัญหาผิวต่างๆทั้งยังโรคผื่น โรคผิวหนัง ไปจนถึงริ้วรอย แต่ว่าก็ยังโชคดีที่พวกเรามีวิธีทวงคืนความสมดุลของไมโครโอมอยู่ด้วยล่ะ





เพิ่มความสมดุลไมโครโอม กับ
เซรั่มบำรุงผิวหน้าสูตรใหม่ของ Lancôme Genifique Serum
Lancôme Genifique Serum เซรั่มบำรุงผิวหน้าจาก Lancôme สูตรใหม่ที่มีประสิทธิภาพเสริมสมดุลให้ไมโครโอม ด้วยการเพิ่มส่วนผสมหลัก Active Ingredients ซึ่งก็คือ Pre และ Probiotics Fractions 7 ชนิด เอกสิทธิ์ของทางลังโคม ที่ต่างก็เป็นประโยชน์เพิ่มสมดุลให้กับไมโครโอมเพื่อการมีคุณภาพผิวที่ดีขึ้น อ่อนเยาว์ บริเวณใบหน้ากระชับ แล้วก็ให้คุณสามารถรู้สึกถึงผลของการใช้ Genifique Serum ได้อย่างรวดเร็ว

LANCÔME GENIFIQUE สูตรใหม่ทำงานด้วยประสิทธิภาพการมอบทรัพยากรและคุณประโยชน์จำเป็น อาทิเช่น น้ำตาล อะมิโนแอซิด (amino acid) และก็ลิพิด (lipid) ให้กับผิวแล้วก็ไมโครโอม โดยในการใช้เซรั่ม Lancôme 1 หยด สามารถประสานพลังแห่งสารสกัดจากไมโครไบโอมได้ถึง 30 ล้านไมโครโอมเลยทีเดียว เมื่อได้ใช้เป็นประจำ สัญญาณความโรยราหลักๆและก็ปัญหาผิวต่างๆจะถูกปรับให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด





เมื่อรู้กันแบบนี้ อย่าลืมดูแลสมดุลของไมโครโอม เติม Probiotics Fractions 7 ชนิด โดยใช้ Lancôme Genifique เป็นประจำทุกครั้งหลังชำระล้างผิวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับไมโครโอม อัพเกรดสุขภาพผิวดี คืนความกระชับ และก็มอบความอ่อนเยาว์แก่ผิวพรรณของคุณ