• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Joe524

#10591


เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล แสดงทัศนะว่า ทัพนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีมูลค่ารวมกันมหาศาล ไม่สมควรพลาดหยิบแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้

แมนฯยู มีคิวเปิดศึก พรีเมียร์ ลีก ซีซันใหม่ เจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่บ้านของตัวเอง วันที่ 14 สิงหาคม ขณะเดียวกัน ยังนับเป็นปีที่ 3 แล้วที่ โอเล กุนนาร์ โซลชา เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม

"ผีแดง" ซีซันนี้ใช้เงินก้อนโตจ่ายค่าตัวนักเตะบิ๊กเนมอย่าง เจดอน ซานโช ที่ 73 ล้านปอนด์ และ ราฟาเอล วาราน กองหลังคนใหม่ 42 ล้านปอนด์ ซึ่งหากเมื่อนับค่าตัวของนักเตะชุดปัจจุบันทั้งทีม ก็อยู่ที่ 500 ล้านปอนด์

และนั่นทำให้ คาร์ราเกอร์ อดีตแนวรับ ลิเวอร์พูล มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ลูกทีมของ โซลชา ต้องรีดฟอร์มยอดเยี่ยมไปคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ให้ได้โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เพราะถือว่ามีขุมกำลังที่เพียบพร้อมที่สุดแล้วในปีนี้

"โซลชา กำลังเข้าสู่การทำงานปีที่ 3 ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และสโมสรก็ต่อสัญญากับเขาอีก 3 ปี มันถึงเวลาแล้วที่ ยูไนเต็ด จะต้องลุยเพื่อแชมป์ลีก นั่นคือ ความคาดหวังที่แท้จริง และคุณไม่สามารถลดระดับความทะเยอะทะยานนั้นได้"

"ซีซันที่แล้ว ยูไนเต็ด มีศักยภาพที่จะชิงแชมป์ แต่กลับล้มเหลวเมื่อถึงเดือนมกราคม พวกเขาต้องดีกว่านี้ ยูไนเต็ด มี 11 ตัวจริงที่ราคาแพงที่สุดที่ 500 ล้านปอนด์ ดีกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มี แจ๊ค เกรียลิช ในราคา 100 ล้านปอนด์"

"นี่คือทีมที่ดีและมีราคาแพงทีเดียว ซึ่งน่าจะส่งผลถึงความกดดันที่มีต่อ ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกัน กระนั้น พวกเขาผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว"
#10592


นางลินดา ลีสหะปัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BH แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี2564 จำนวน 216.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น387.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.42 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้รวม3,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% โดยเป็นรายได้จากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 2,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้น23% จาก2,422 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2563

ทั้งนี้สาเหตุหลักเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างประเทศ 27.3%และ 18.5% ตามลําดับ เป็นผลให้รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็นสัดส่วน 53.6%จากทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็น46.4% ในไตรมาส 2 ปี 2564 เทียบกับ 51.8% และ 48.2%ตามลําดับในไตรมาส 2 ปี 2563

ส่วนผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก2564 มีกำไรสุทธิ 307.59 ล้านบาท ลดลง 62%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 809.62 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้ 5,694 ล้านบาท ลดลง13.5% จากครึ่งปีแรก2563 ที่มีรายได้รวม 6,586 ล้านบาท 

ทั้งนี้สาเหตุหลักเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติ 32.3% หักลบกับการเพิ่มขึ้นของราไยด้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย13.1% เป็นผลทำให้รายได้จากลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็น53.7% จากทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็น46.3%ในครึ่งปีแรกของปี2564เทียบกับ41%และ59%ตามลำดัล ในครึ่งปีแรกของปี2563

ขณะที่คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด)อนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกปี 2564 (1ม.ค.-30มิ.ย.2564) ในอัตรา1.15 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 26 ส.ค. 2564 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 25 ส.ค. 2564 กำหนดจ่ายวันที่ 8 ก.ย.2564
#10594


"ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง" สนามบินแห่งใหม่ ณ เมืองชิงเต่า มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน เปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้ว เชื่อมต่อการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ

สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการของจีน เปิดเผยข้องมูลเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ว่า มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน เปิดใช้งานท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ของซานตงอย่างเป็นทางการ

ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง มีสถานะ 4เอฟ (4F) ซึ่งสูงสุดในการจัดระดับสนามบินของจีน สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ อาทิ แอร์บัส เอ380 เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)
ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)

ชิงเต่า แอร์พอร์ต กรุ๊ป ระบุว่าโครงการระยะแรกของท่าอากาศยานฯ ครอบคลุมพื้นที่ 16.25 ตารางกิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุนเกือบ 3.6 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.8 แสนล้านบาท)

โครงการระยะแรกดังกล่าวจะสามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารรายปีสูงถึง 35 ล้านคน ปริมาณสินค้า 5 แสนตัน และการขึ้นบิน-ลงจอดของอากาศยาน 3 แสนลำ ภายในปี 2025

นอกจากนั้นท่าอากาศยานฯ จะเชื่อมต่อชิงเต่ากับ 130 จุดหมายปลายทางในประเทศ ครอบคลุมเมืองและภูมิภาคสำคัญ รวมถึง 50 เมืองใหญ่ในต่างประเทศ ซึ่งมี 17 เมืองอยู่ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)
ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)

บรรดาผู้โดยสารสามารถเดินทางเข้าออกท่าอากาศยานฯ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งหลักอย่างสะดวกสบายผ่านบริการรถไฟใต้ดินและรถไฟความเร็วสูง

นักธุรกิจชาวเกาหลีใต้คนหนึ่งในเมืองชิงเต่าของซานตง เผยว่าการเปิดท่าอากาศยานฯ ช่วยให้นักธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เดินทางพบปะลูกค้าทั่วโลกง่ายดายยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันท่าอากาศยานฯ ยังเอื้ออำนวยประโยชน์แก่การขยับขยายเครือข่ายโลจิสติกส์ นำไปสู่การตัดลดต้นทุนการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

ปัจจุบันการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 เริ่มดำเนินงานแล้ว หากเสร็จสิ้นจะทำให้ท่าอากาศยานฯ รองรับผู้โดยสารปีละ 55 ล้านคน สินค้า 1 ล้านตัน และเครื่องบินขึ้นลง 452,000 ลำ

ทั้งนี้ เมืองชิงเต่าได้ปิดบริการท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า หลิวถิง หลังจากเปิดใช้งานท่าอากาศยานแห่งใหม่แล้ว
#10595
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 716
#10597
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812
#10598


นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทจะทำการเสนอการลงทุนแบบแอคทีฟของกองทุนรวมผสม ที่ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ จัดตั้งเป็นกองทุนเปิด MFC Thai Opportunity Drama-Addict Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1

MTOP1 มีจุดเด่นคือ กองทุนคาดหวังผลตอบแทนเป้าหมาย 5% ใน 5 เดือน เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันที่ 1% ต่อปี โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยเร่งที่จะสามารถทำให้กองทุนบรรลุผลตอบแทนเป้าหมายใน 5 เดือน

ที่ผ่านมาทาง MFC มีกองทุนหลากหลายที่ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในต่างประเทศซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ในขณะเดียวกันเราเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยก็มีความน่าสนใจไม่น้อยแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่หนักหน่วง แต่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมยังสร้างผลประกอบการได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นการลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ กองทุน MTOP1 จึงเข้าลงทุนในตราสารแห่งทุน ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ตราสารแห่งหนี้ ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูง และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures เป็นต้น

ภาพรวมตลาดมีปัจจัยสนับสนุนให้กองทุนนี้น่าลงทุน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) การเร่งผลิตและแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลกซึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และส่งผลให้แต่ละประเทศสามารถเปิดประเทศได้ส่งผลบวกโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย 2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ 3) การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทย โดยทางผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน เฉพาะตัว ซึ่งแม้การแพร่ระบาดระลอกสามในประเทศจะยังควบคุมไม่ได้ในทันที แต่กำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดีและราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน

ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีผลดำเนินงานแข็งแกร่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจ New S-Curve หรือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก mega trend เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชง หลังรัฐบาลไทยได้ปลดล็อกกัญชงให้เอกชนสามารถนำพืชชนิดนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมาก ปัจจัยนี้จะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสียสามารถมีกำไรเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ MTOP1 เปิดขายและให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 16 - 20 สิงหาคม 2564 มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อในแต่ละครั้ง 1,000 บาทกองทุน กองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือ สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออกจากกองทุนนี้
#10599
ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป


 ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากสถานการณ์โควิดได้ที่  www.jitasa.care

 ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด เว็บ JITASA.CARE จิตอาสาดูแลไทย (สำหรับอาสาสมัคร)  ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19

เว็บ ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป
.
สายด่วนสถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด (กรุงเทพมหานคร),แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation),
แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

และ ข้อมูลติดต่อฉุกเนิน ต่างๆเช่น

-สายด่วนกรมการแพทย์ ช่วยเหลือผู้ป่วยในการหาเตียง โทร 1668
-สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินทันที /โทร 1669
-สายด่วน สปสช. ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โทร 1330
-ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร 1111
-สบายดีบอต หาเตียง Line Official: https://bit.ly/Covid-SaBaiDee
-กรุงเทพมหานคร Line ID: @bkkcovid19connect หรือ https://bit.ly/Covid-BKK
-เราต้องรอด Facebook: www.facebook.com/savethailandsafe Line ID: @iwillsurvive หรือ https://bit.ly/ Covid-iwillsurvive
-โควิดติดล้อถึงเตียง Facebook: www.facebook.com/CC.Kontumngan


และข้อมูลอื่นๆ คลิก JITASA.CARE 

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://prakasfree.website/ข้อมูลการติดต่อหน่วยงา/



คำค้น
#ช่วยเหลือโควิท, #ร่วมกันช่วยเหลือคนเดือดร้อนจากโควิท19, สายด่วน สถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด,
แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation), แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
 
#10601
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 716
#10603
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812
#10604


วันที่ 11 ส.ค. 2564 รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม ร่วมสนทนาในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง "นิวส์วัน" ในหัวข้อ "วิกฤตโควิด เรียนออนไลน์ หรือ หยุดเรียน 1 ปี ?"

โดย รศ.นพ.สุริยเดว กล่าวว่า ระบบการศึกษาของไทยเป็นระบบ.สูง สอบได้สอบตก แล้วเด็กแต่ละคนมีความถนัดต่างกัน แต่ถูกจับเข้าระบบคล้ายกับอุตสาหกรรมการศึกษา ทำให้เด็กมีความตึงเครียดสูง ปกติเวลาไปโรงเรียน เด็กก็จะคลายเครียดด้วยการเล่นในเวลาพักเบรก แต่ตอนนี้ต้องอยู่หน้าจอตลอดเวลา

แล้วตอนนี้น่าเห็นใจพ่อแม่มาก ภาระทุกอย่างอยู่ที่บ้าน ตนพูดตั้งแต่ปีที่แล้ว สถานการณ์โควิดควรพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ไม่ใช่เอาวิชาทั้งหมดมาทำเป็นเรียนออนไลน์ เด็กวันนึงอยู่หน้าจอหลายชั่วโมง ไม่สามารถออกนอกบ้านได้ ไม่สามารถเจอเพื่อนฝูงได้ แถมเรื่องไหนที่ไม่เข้าใจ พ่อแม่ก็ต้องช่วยลูก มันจึงไม่ใช่ตึงเครียดแค่เด็ก แต่เครียดทั้งบ้าน

รศ.นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า สิ่งที่กระทรวงศึกษาฯ ควรทำ คือต้องปลดล็อก ถ้ายังมีทัศนคติให้เอาเนื้อหาวิชาที่เรียนอยู่ตอนไม่มีโควิด เอาทั้งหมดมาแปรรูปไว้ในออนไลน์ ให้เด็กเรียนแต่เช้าจนบ่ายสาม แล้วให้การบ้าน ถ้ายังทำลักษณะนี้ อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่มานั่งเรียนแบบนี้ก็เครียด

ยิ่งเด็กเล็กปฐมวัย ผิดหลักพัฒนาการอีก เพราะเด็กเล็กสมาธิสั้น เรียนคุณครูทุกท่าน เด็กเล็กสมาธิสั้นทั้งโลกไม่ใช่เฉพาะเด็กไทย การเรียนของเด็กอนุบาล ควรเรียนรู้ผ่านการเล่น การนั่งหน้าจอผิดหลักการแน่นอน

ตนเสนอให้สำรวจพ่อแม่ ซึ่งควรทำตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่ามีกี่ครอบครัวที่พร้อมเป็นโฮมสคูลได้ กี่ครอบครัวไม่มีอินเตอร์เน็ต กี่ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีเวลา จากนั้นจัดให้มีอาสามัครการศึกษาขึ้นมา ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แล้วโรงเรียนคอยให้คำแนะนำพ่อแม่ว่าต้องเรียนอะไรบ้าง โดยให้แต่ละครอบครัวไปใช้เวลาว่างของตัวเอง ไม่ใช่ต้องเข้าเรียนเลิกเรียนตามเวลา

สอง ยกเลิกระบบแพ้คัดออก ยกเลิกการตัดเกรดออกทั้งหมด โดยเฉพาะในเด็กอนุบาลและประถมทั้งหมด โดยเด็กอนุบาลให้ดูที่พัฒนาการของเขาเอา

ระดับ ป.1-6 กระทรวงต้องใจกล้าประกาศเป็นหลักสูตรสมรรถนะ ยกเลิกรายวิชาที่มันมีกี่สาระการเรียนรู้เต็มไปหมด และหลักสูตรตามชั่วโมง ยกเลิกให้หมด และยกเลิกการตัดเกรดไปด้วย โดยให้ครูมาเป็นช่วง ๆ แล้วมีจังหวะให้พักได้ เช่นชั่วโมงเช้าเรียนรู้อะไร ช่วงบ่ายให้เวลาเด็กไปเรียนรู้ ทดลอง โดยใช้ข้าวของในบ้านเลยก็ได้

ระดับมัธยม วิชาไหนไม่มีความจำเป็น ยกเลิกได้ก็ดี ในวัยนี้เขาสามารถเรียนออนไลน์ได้ แต่มันไม่ใช่การเรียนเต็มเหนี่ยว ควรปล่อยครึ่งวันให้โล่ง ให้เขาไปทบทวนบทเรียน

อีกอันที่ตนเสนอไปที่รัฐมนตรีแล้วด้วย คือควรแปรรูปกิจกรรมโฮมรูมเป็น 3 คำถาม คือ ถามลูกว่าเรียนมาทั้งวันรู้สึกอย่างไรบ้าง ได้เรียนอะไร แล้วสิ่งที่เรียนมาจะเอาไปปรับใช้ทำอะไรได้บ้าง

รศ.นพ.สุริยเดว กล่าวต่ออีกว่า โรงเรียนต้องเป็นศูนย์กลางโฮมสคูล คอยสนับสนุนพ่อแม่ คนที่พร้อมก็ช่วยอัปสกิลให้ ส่วนคนที่ไม่พร้อมก็มีอาสามัครลงพื้นที่

รศ.นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า เรื่องข้อเสนอหยุดเรียน 1 ปี ถ้ากระทรวงทำเท่ากับยกธงขาวยอมแพ้ ทำไมถึงไม่ทำตามที่ตนเสนอ ทำไมโรงเรียนจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้แห่งโลกออนไลน์ไม่ได้ โดยที่ไม่ต้องเข้าแถวเวลาพร้อมกัน ให้เป็นเรื่องของแต่ละบ้านแต่ละท้องถิ่น

การเรียนรู้หยุดไม่ได้ แต่อย่าทำผิดหลักธรรมชาติ หลักจิตวิทยาพัฒนาการ และต้องต้องไม่ผิดหลักสังคม พ่อแม่มีภาระมากมาย อะไรที่ติดขัดเพราะกฎหมายก็ล้างมันซะ นี่มันเป็นสงครามโรค เลิกยึดติดกรอบเดิม ๆ
#10605


ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร (10 ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 162 จุด โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า วุฒิสภาสหรัฐจะลงมติให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 162.82 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 35,264.67 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 เพิ่มขึ้น 4.40 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 4,436.75 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 72.09 จุด หรือ 0.49% ปิดที่ 14,788.09 จุด

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้ปัจจัยบวกจากการที่วุฒิสภาสหรัฐลงมติให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในวันนี้ ก่อนส่งต่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ โดยโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในโครงการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

ทำเนียบขาวระบุว่า โครงการดังกล่าวรวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณครั้งใหม่วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะรวมทั้งโครงการสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ ปัจจัยพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงการอื่นๆ

ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากดิ่งลงอย่างหนักวานนี้ตามการทรุดตัวของราคาน้ำมัน ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจเรือสำราญและกลุ่มสายการบิน ปรับตัวขึ้นเช่นกัน

หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นในวันนี้ตามการดีดตัวขึ้นของของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ตลาดจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันพุธ และเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ในวันพฤหัสบดี

นักลงทุนวิตกว่า หากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ส่งสัญญาณในการกล่าวถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ขาดแคลนแรงงาน:ปัญหาใหญ่นิวซีแลนด์
ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดากล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.