• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#3401


จัสมิน สุวัณณะปุระ นักกอล์ฟหญิงมือ 87 ของโลกชาวไทย เปิดตัวอย่างน่าประทับใจในวันแรกของศึก เลดีส์ สกอตติช โอเพน หลังทำผลงานรั้งอันดับ 2 ร่วม ตามหลังผู้นำเพียง 2 สโตรก เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ตามเวลาสกอตแลนด์

ศึกกอล์ฟ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการ เลดีส์ สกอตติช โอเพน ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 50 ล้านบาท) ณ สนาม ดุมบาร์นีย์ ลิงส์ ระยะ 6,584 หลา พาร์ 72 สกอตแลนด์ เปิดฉากการแข่งขันวันแรกไปแล้ว

ปรากฏว่าผู้นำคือ มิเชล ธอมป์สัน โปรมือ 599 ของเจ้าบ้าน โชว์ฟอร์มตี 7 อันเดอร์ จากการลงสนามทำ 7 เบอร์ดี 1 อีเกิล แต่เสีย 2 โบกี จบวันทำได้ 7 อันเดอร์พาร์ ยึดตำแหน่งผู้นำลีดเดอร์บอร์ด

ขณะที่สาวไทย "โปรจูเนียร์" จัสมิน สุวัณณะปุระ ทำได้เยี่ยมตี 8 เบอร์ดี เสีย 1 โบกี และ 1 ดับเบิลโบกี จบวันสกอร์ 5 อันเดอร์พาร์ อยู่ที่ 2 ร่วม ตามหลังผู้นำ 2 สโตรก ตามด้วย "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล ตีได้ 4 อันเดอร์พาร์ อยู่อันดับ 5 ร่วม

ส่วนสาวไทยคนอื่น "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล และ "โปรเหมียว" ปภังกร ธวัชธนกิจ ที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจที่โอลิมปิก 2020 ตีได้ 3 อันเดอร์พาร์เท่ากัน อยู่อันดับ 15 ร่วม และ สเตซี ลูอิส แชมป์เก่า วันแรกเปิดที่ 1 อันเดอร์พาร์ อันดับ 35 ร่วม
#3402


นางสาวอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ PROSPECT เปิดเผยว่า นับจากจัดตั้งและนำทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (PROSPECT) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา สามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวม 110.79 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 73.29 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 107.95 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 71.73 ล้านบาท เนื่องจากอัตราการเช่าของกองทรัสต์ฯ สูงขึ้น จากโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (BFTZ) ย่านบางนา-ตราด กม.23 ที่มีคุณภาพและความหลากหลาย โดยมีทั้งคลังสินค้าและโรงงานในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Trade Zone) และพื้นที่ทั่วไป (General Zone) รวมถึงทำเลที่ตั้งที่ดีมีศักยภาพสูง

สำหรับสถานการณ์ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โครงการ BFTZ มีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 98% เทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมาอยู่ที่เกือบ 96% เนื่องจากได้เซ็นสัญญากับผู้เช่าใหม่ 10 ราย คิดเป็นพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 14,000 ตารางเมตร โดยมีทั้งผู้ประกอบการไทย จีน และสหรัฐอเมริกา ที่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่กำลังเติบโต ส่วนผู้เช่าเดิมมีอัตราการต่อสัญญามากกว่า 75% และได้ผู้เช่าใหม่มาแทนผู้เช่าเดิมทั้งหมด

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ในอัตรารวม 0.2870 บาท จะปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินออกให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 8 กันยายน 2564

"ปัจจุบันโครงการ BFTZ มีพื้นที่ให้เช่าคงเหลือใน General Zone อีกประมาณ 4,000 ตารางเมตร ที่ผ่านมามีผู้ติดต่อแสดงความสนใจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังทางโครงการจะสามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่ให้อยู่ในระดับเดิมหรือใกล้เคียง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง" นางสาวอรอนงค์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเพิ่มทุน ทั้งทรัพย์สินจากพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ที่เป็นบริษัทแม่ และทรัพย์สินของผู้พัฒนาโครงการรายอื่นๆ เนื่องจาก PROSPECT เป็นกองทรัสต์ที่จัดตั้งโดยบริษัทแม่ที่เป็นผู้เสนอขายทรัพย์สิน แต่มีนโยบายการลงทุนได้อย่างอิสระ ส่วนการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 รวมถึงทางบริษัทแม่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ BFTZ 2 และ BFTZ 3 มีพื้นที่รวมประมาณ 120,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีการก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปีนี้และปี 2565ซึ่งหากมีการเสนอขายให้แก่กองทรัสต์ ทาง PROSPECT จะได้รับสิทธิ์พิจารณาก่อน

ผู้จัดการกองทรัสต์ PROSPECT กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 โครงการ BFTZ ได้วางแผนรับมือและให้ความช่วยเหลือผู้เช่า โดยการตรวจคัดกรองผู้ผ่านเข้า-ออกอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งประสานงานกับเทศบาลตำบลบางเสาธง และสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลในกรณีที่ได้รับการร้องขอจากผู้เช่า และประสานงานในการปฏิบัติตามมาตรการ Bubble and Seal ในกรณีที่มีผู้เช่าพบพนักงานติดเชื้อ

นอกจากนี้ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทรัสต์ PROSPECT ได้ประสานงานกับศูนย์พักคอยรอการส่งต่อผู้ป่วยในพื้นที่ ภายใต้การดูแลของสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการและเทศบาลตำบลบางเสาธง และร่วมสนับสนุนงบช่วยเหลือ พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นคนกลางในการอำนวยความสะดวกจัดส่งผู้ป่วยระดับสีเขียว (ที่ไม่แสดงอาการ) ไปพักรักษาตัวยังศูนย์ฯ ดังกล่าว ระหว่างรอการส่งตัวไปที่โรงพยาบาล ตลอดจนประสานงานการจัดหาวัคซีนทางเลือกและการลงทะเบียนฉีดวัคซีนตามสิทธิ์ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้แก่พนักงานของผู้เช่า โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนขอรับวัคซีนแล้วกว่า 50% ส่วนพนักงานของผู้เช่าที่ฉีดวัคซีนและได้รับแจ้งคิวฉีดวัคซีนแล้ว มีสัดส่วนรวมกันประมาณ 15%
#3403


วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. เปิดเผยว่า การปลูกพืชสมุนไพรในพื้นที่ส.ป.ก.ได้สนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากเห็นว่าการปลูกสมุนไพรจะสามารถสร้างความมั่นคงเชิงคุณภาพชีวิตได้ แต่การขับเคลื่อนเป็นไปตามความประสงค์ของเกษตรกรนั้นไม่ถือเป็นนโยบายหลัก โดยมีเกษตรกรบางกลุ่มที่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดและผลิตในเชิงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรในพื้นที่ ส.ป.ก.รวม 4,500 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วม 5,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 32 จังหวัด แต่ปัจจุบันกระแสการใช้สมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการของโรคโควิด-19 มีมากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ และคาดว่าจะมีการวิจัยผลิตตัวยาออกมารักษาในอนาคต ซึ่งส่วนผสมที่สำคัญที่เป็นพืชสมุนไพร ดังนั้นจึงทำให้พืชสมุนไพรมีอนาคตมาก รวมถึงรัฐบาลจึงกำหนดนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ

ในขณะที่ ส.ป.ก.ได้กำหนดให้ตั้งศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดินใน 5 ภูมิภาค ประกอบด้วย จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ลำพูน จ.นครราชสีมา จ. นครศรีธรรมราช และ จ.ฉะเชิงเทรา ที่อยู่ในเขตอีอีซี

สำหรับ จ.ฉะเชิงเทรา นั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) มีความสนใจที่จะยกระดับพัฒนาพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการปลูกสมุนไพรเชิงอุตสาหกรรม และร่วมวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งเกษตรกรมีความพร้อมอยู่แล้วสามารถต่อยอดได้ทันที

ศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน จ.ฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 3 ต.คลองนครเนื่องเขต อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา จะทำหน้าที่เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า รูปแบบ การใช้ประโยชน์ที่ดินขนาดเล็ก หรือที่ดินแปลงเล็กเพื่อให้ทำการเกษตรให้ได้ผลตอบแทนสูง เพื่อให้เกษตรกรนำไปประยุกต์ใช้ กับแปลงเกษตรของตนเอง สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้และมีคุณภาพที่ดี เช่น พืชผักปลอดสารพิษตามตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) รวมถึงการทำเกษตรปลอดภัย (การผลิตพืชผักในระบบโรงเรือนมุ้ง การปลูกพืชสมุนไพร)

การพัฒนาตามแนวทางดังกล่าวถือเป็นการพัฒนารูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ มีศักยภาพเหมาะสมต่อการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการส่งเสริม วิจัย พัฒนา ขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน ภาคตะวันออก เพื่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออก โดยได้กำหนดทิศทางในการดำเนินงานที่เน้นส่งเสริม สนับสนุนองค์ความรู้ในการขยายพันธุ์พืช การผลิต การอนุรักษ์พันธุกรรมเพื่อการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพร ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

รวมทั้งขยายผลการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่งเสริมการขยายพันธุ์พืชสมุนไพรที่มีแนวโน้มขาดแคลนและหายาก เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งพันธุ์ดี มีคุณภาพ ยกระดับสมุนไพรไทย พัฒนาเป็นอาหารและยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ โดยใช้หลัก "การตลาดนำการผลิต" และมีการวางแผนระบบการผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP หรือเกษตรอินทรีย์ (Organic) สืบสานภูมิปัญญาไทย

'ทั้งนี้โครงการศูนย์กลางการส่งเสริม วิจัย พัฒนา ขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน จ.ฉะเชิงเทรา ภาคตะวันออก มีแผนดำเนินโครงการ 5 ปี (2564-2568) โดยเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะสามารถเปิดตัวศูนย์ได้ในเดือน ส.ค.นี้ หลังจากนั้นจะรวบรวม ขยายพันธุ์ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชสมุนไพรในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม

 

นอกจากนี้ ศูนย์กลางการส่งเสริม วิจัย พัฒนา ขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน จ.ฉะเชิงเทรา จะคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วม 500 ราย ซึ่งหรือพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ต่อรายต่อปี และคาดว่าจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเฉลี่ยครัวเรือนเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 3% จากการจำหน่ายวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์และสินค้าจากสมุนไพร

 

รวมทั้งมีแผนการผลิตตามปีปฏิทินการเพาะปลูกพืชสมุนในแปลงปลูก 2 รูปแบบ คือ

1.แปลงสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจและมีศักยภาพทางการตลาด พื้นที่ 5 ไร่ จำนวน 17 ชนิด ได้แก่ พริกไทย เคล กระชายดำ กระชายขาว ไพล ขิง ขมิ้น ใบบัวยก พลูคาว กระเทียม ผักชี หญ้าหวาน สะเดา กระทือ กวาวเครือขาว มะแว้งเครือ และเสลดพังพอนตัวเมีย

2.แปลงเรียนรู้ วิจัยและพัฒนา พื้นที่ 6,210 ตารางเมตร จำนวน 11 ชนิด ได้แก่ เคล กระชายดำ กระชายขาว ไพล ขิง ขมิ้น ใบบัวบก พลูคาว กระเทียม ผักชี และหญ้าหวาน โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.2564

รายงานข่าวจาก ส.ป.ก.ระบุว่า ที่ผ่านมา ส.ป.ก.ได้ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรหลายโครงการ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ทดลองปลูก "ฟ้าทะลายโจร" บริเวณสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งวางแผนการปลูกสัปดาห์ละ 1,000 ต้น เพื่อแจกให้เกษตรกรนำไปปลูกในครัวเรือน และใช้รับประทานเป็นยาสมุนไพรเพื่อป้องกันโควิด-19

รวมทั้ง จ.ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์มีศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าการลงทุนและอุตสาหกรรม ซึ่งมีการกำหนดแนวทางการพัฒนา จ.ฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่เชื่อมอีอีซีสู่เมืองที่อยู่อาศัยชั้นดี โดยมีการพัฒนาแบบจำแนกเชิงพื้นที่อุตสาหกรรมสีเขียวท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยสังคมมีคุณภาพป่าและน้ำอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการแข่งขันด้านการผลิตการแปรรูปและการส่งออกของภาคการเกษตร
#3404


ไปรู้จักกับ 5 ดารา-นักร้อง "คุณแม่หน้าเด็ก" ที่แม้อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย แต่ในหน้านั้นดูละอ่อนเด็กกว่าวัยมาก ที่สำคัญยังสวยไม่สร่าง

12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ "วันแม่แห่งชาติ"

และเนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติปีนี้ (พ.ศ.2564) เราจะพาไปดู 5 ดารา-นักร้อง เหล่าบรรดาคุณแม่วัยเก๋าในวงการบันเทิงแต่หน้าเด็ก ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี

ดารา-นักร้องที่คัดสรรมา 5 คนนี้ แต่ละคนนอกจากจะสวย เก่ง มากความสามารถแล้ว ยังเป็นพวกคุณแม่วัยเก๋าที่แม้อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย แต่ในหน้านั้นดูละอ่อนเด็กกว่าวัยมาก ที่สำคัญคือยังสวยไม่สร่างชนิดที่สาวรุ่น ๆ เห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้

นอกจากนี้ปัจจุบันลูก ๆ ของเธอ ก็เป็นขวัญใจใครหลาย ๆ คน จนเหล่าบรรดาแฟนคลับขอสมัครมาเป็นลูกเขย ลูกสะใภ้ จนหัวกระไดบ้านไม่แห้ง เรียกว่าออร่าซุปตาร์จับกันทุกคน แต่จะมีใครบ้างไปดูกันเลย

1.ปิ่น เก็จมณี


ประเดิมกับคุณแม่หน้าเด็กคนแรก "ปิ่น เก็จมณี" กับอายุ 47 ปีบริบูรณ์ ที่วันนี้เป็นคุณแม่คนสวยสุดแซ่บ ของ 3 เจ้าสุดหล่อ เจ้านาย เจ้าขุน และเจ้าสมุทร ที่เป็นขวัญใจของเหล่าบรรดาสาวเล็ก สาวใหญ่ทั่วบ้านทั่วเมือง จนทำให้คุณแม่ปิ่นขึ้นแท่นดีกรีเป็นคุณแม่สามีแห่งชาติหมายเลข 1 ไปแล้ว

2.แอน สิเรียม


"แอน - สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์" ในวัย 50 ปี นางเอกหน้าเด็กตลอดกาล เหมือนสต๊าฟเวลาไว้ เพราะไม่ว่ากี่ปีผ่านไป เลขอายุกลับทำอะไรเธอไม่ได้เลย

สำหรับคุณแม่แอนไม่บอกไม่รู้ว่าเธอเป็นคุณแม่ ลูก 1 ถ้าพูดถึงความสวย เรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ กับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน น้องนนนี่ นนลนีย์ ชนิดที่เวลาถ่ายรูปแม่-ลูกคู่กัน นอกจากจะดูสวยแพ็คคู่แล้ว ยังดูเหมือนพี่สาวกับน้องสาวมากกว่า

3.หมู พิมพ์ผกา

"หมู-พิมพ์ผกา เสียงสมบูรณ์" คุณแม่คนเก่ง สุดสตรอง ในวัย 51 ปี ที่หน้ายังสวยเหมือนเดิมเป๊ะ จนหลายคนยกให้แม่ เป็นไอดอล ขวัญใจคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แถมลูกชายสุดหล่ออย่าง นาย ณภัทร ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนสาว ๆ พากันอิจฉาอยากมาสมัครเป็นลูกสะใภ้กันเป็นแถว ส่วนเรื่องความเก่ง ไม่ต้องพูดถึงได้แม่มาเต็ม ๆ

4.นิโคล เทเรโอ


"นิโคล เทเรโอ" ยังคงดูเด็กไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ นับตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ มาจนถึงตอนนี้ก็จะมีอายุ 49 ปีเต็มแล้ว

นิโคล เทเรโอเป็นคุณแม่ลูก 1 แต่ก็ เหมือนเพิ่งจะผ่านมาเพียงไม่กี่ปียังไงยังงั้น นั่นก็เพราะว่าปัจจุบันรูปร่างหน้าตาของเธอยังสวย และเด็กเว่อร์ เรียกได้ว่าแทบจะไม่แตกต่างกับตอนที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ ๆ เลยทีเดียว มาพร้อมกับลูกชายน้อง น้องทิกเกอร์ หล่อเข้ม ร้องเพลงเพราะ แถมความสามารถรอบด้านจริง ๆ

5.มาช่า วัฒนพานิช


ปิดท้ายด้วย "มาช่า วัฒนพานิช" คุณแม่คนนี้จัดเป็นพวกสวยอมตะ เพราะอายุปาเข้าไป 50 แล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนความสวยของแม่ได้ แถมยังมีหนุ่มหล่ออย่าง "กาย นวพล" ที่อากาศว่าร้อนแล้ว ยัง Hot สู้ลูกชายแม่ไม่ได้เลย
#3405
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 
#3406


ผลการดำเนินงานกลุ่มปตท. จำนวน 7 บริษัท บมจ.ปตท.(PTT) ,บมจ.พีทีที โกล.เคมิคอล(PTTCG),บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP),บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR),บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC)และบมจ. โกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่(GPSC) ซึ่งไตรมาส2ปี 2564 มีกำไรสุทธิรวม68,976.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 206.12% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ22,532.39 ล้านบาท

ทั้งนี้จากทุกธุรกิจมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก2564 มีกำไรสุทธิ 137,701.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,373.16% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,625.26ล้านบาท 

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า  ภาพรวมงบกำไรไตรมาส 2ปี 2564 ของกลุ่มปตท ที่ประกาศออกมาถือว่าดีกว่าคาดราว 6-7% มาจากPTTCG กำไรดีกว่าคาดหนุนกำไร PTT ดีกว่าคาดเช่นกัน จากค่าการกลั่นปรับตัวดีและมีรายการพิเศษบันทึกเข้ามา ส่วนPTTEP และ OR ที่ประกาศออกมาต่ำกว่าคาด จากขาดทุนการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันและผลกระทบโควิด-19

สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง2564 ประเมินว่า ทิศทางกำไรของหุ้นกลุ่มปตท. อ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากผลกระทบโควิด-19ที่รุนแรงและยาวนาน ราคาน้ำมันเริ่มทรงตัว และเงินบาทอ่อน มีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นเป็นหลัก โดยคาดรกำไรหุ้นกลุ่มปตท. (ไม่รวม GPSC)ทั้งปีนี้ค่อนข้างระมัดระวังอยู่ที่  159,000 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากปีก่อน    

ทั้งนี้ จากผลกระทบโควิดเดลตา ที่รุนแรงและยาวนานในครึ่งปีหลัง ยังคงกดดันหุ้นกลุ่มนี้ น่าจะซึมตัวลงและคาดใช้เวลา 3-5 เดือนกว่าที่โควิดคลี่คลาย แนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และถือได้นาน สามารถทยอยเข้าลงทุนกลุ่มหุ้นปตท. ได้เมื่อราคาย่อตัวลง แต่ถ้ารับความเสี่ยงไม่ได้แนะลงทุนหุ้นกลุ่มอื่น

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยบบล. ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี กล่าวว่า คาดกำไรสุทธิกลุ่มปตท. ยังขึ้นกับราคาน้ำมัน แต่หากดูในด้านของกำไรจากการดำเนินงานไม่รวมขาดทุนน้ำมัน คาดครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก หากโควิด-19 คลี่คลาย ประเทศต่างๆมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนความต้องการใช้ปิโตรเคมี น้ำมัน ฯลฯ เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรPTTEP จะได้ผลบวกจากราคาขายก๊าซฯที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้ากำไรกลุ่มปตท.ปีนี้อยู่ที่ 199,588 ล้านบาท  โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะซื้อ PTT ราคาเหมาะสม45 บาท ,PTTEP ราคาเหมาะ138บาท ,IRPCที่ 4.10 บาท  ส่วนPTTGCที่ 57บาท แนะถือ  ขณะที่ ORให้ราคาที่26 บาทและ TOP ที่41.50 บาท แนะขาย
#3407


เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 ติดตามความคืบหน้า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศผ่าน เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564

ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-16 สิงหาคม 2564 ผ่านทาง LINE Official รพ.จุฬาภรณ์ >> https://bit.ly/MomForm

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความ SMS ถึงคุณแม่ที่ลงทะเบียนเข้ามาทุกท่านให้เข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และนัดหมายการเข้ารับวัคซีนต่อไป

คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
เข้ารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อาคาร 9 (ทีโอทีเดิม) ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
ในวันฉีดวัคซีนกรุณานำเอกสารการฝากครรภ์ และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงเป็นหลักฐานในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน
#3408
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3409


"ดีแทค" สนับสนุน 2,000 ซิมพร้อมแพ็กเก็จเน็ตอันลิมิเต็ดความเร็ว 4 Mbps แก่กลุ่มเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ ของ กสศ. นำร่องในเขตกรุงเทพฯ สำหรับการเรียนออนไลน์เป็นการเร่งด่วนลดอุปสรรคการเรียนรู้ เตรียมพร้อมหาทางออกระยะยาวในยุคเรียนออนไลน์ มุ่งสู่เป้าหมายความเท่าเทียมทางดิจิทัล (Digital inclusion) ขณะที่ กสศ.เผยพบเด็กเจอปัญหาระหว่างเรียนมากกว่า 2.7 แสนคน ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม ย้ำสัญญาณอินเทอร์เน็ตคือโอกาสทางการเรียนรู้ และลดการปิดกั้นแม้เกิดสถานการณ์โควิด-19

ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจสังคมไทยในวงกว้าง ทำให้ผู้ปกครองนักเรียนครัวเรือนยากจนพิเศษจำนวนมากมีภาวะยากจนเฉียบพลันจากปัญหาการว่างงานและมีรายได้ลดลงสวนทางกับรายจ่าย รวมทั้งมีสมาชิกในครอบครัวที่ย้ายกลับภูมิลำเนาให้ต้องดูแลมากขึ้น จากข้อมูลพบว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษหรือนักเรียนทุนเสมอภาคมีอัตราลดลง 11% ระหว่างปีการศึกษา 2562-2563 อยู่ที่ 1,021 บาท/เดือน หรือประมาณ 34 บาท/วัน เท่านั้นในปีการศึกษา 2/2563 ซึ่งการระบาดของโควิด-19 จากการประเมินของคณะผู้วิจัยจากเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าการระบาดระลอกล่าสุดในปัจจุบันมีแนวโน้มส่งผลให้มีจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในปีการศึกษา 2564 นี้ อันเนื่องมาจากภาวะยากจนเฉียบพลันที่เกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของ COVID-19

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลต่อผู้ปกครองโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ทำให้เด็กในครอบครัวเข้าถึงระบบการศึกษาได้ยากขึ้น จนทำให้เด็กนักเรียนมีความเสี่ยงที่จะออกจากระบบการศึกษาถึงราว 700,000 คน (ข้อมูลโดย กสศ.)

"ดีแทคเชื่อว่าการศึกษาถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนในสังคมและจะต้องไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เทคโนโลยีการสื่อสารจะต้องทำหน้าที่ให้เด็กนักเรียนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีข้อจำกัดด้านต้นทุน พันธกิจสำคัญประการหนึ่งของดีแทคคือการสร้างสังคมดิจิทัลที่เท่าเทียมและทั่วถึง สอดคล้องกับกลยุทธ์ digital inclusion ภายใต้นโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ดีแทคยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนพันธกิจของ กสศ. ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทุกภาคส่วนของสังคมจำเป็นต้องร่วมมือกันประคับประคอง เพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปให้ได้" นายชารัด กล่าว

ดร.ไกรยส กล่าวเพิ่มเติมว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสมอภาคของเด็กเยาวชนทุกคนในช่วงเวลานี้คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้การศึกษาจะไปถึงเด็กทุกคนได้ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ป้องกันปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และแสดงให้เห็นว่าความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคหากอินเทอร์เน็ตเข้าไปถึงทุกพื้นที่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาของเด็กทุกคนได้อย่างเสมอภาค ดังนั้นมาตรการอินเทอร์เน็ตฟรีจึงถือเป็นหลักประกันสังคมที่สำคัญ นอกเหนือจากความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ สัญญาณอินเทอร์เน็ตยังช่วยเปิดประตูแห่งการเรียนรู้ การติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ และการช่วยเหลือในภาวะวิกฤตฉุกเฉินเป็นเรื่องที่สำคัญต่อชีวิต รัฐเองไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ เอกชนจึงมีส่วนสำคัญในการหนุนเสริมและช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำไม่ให้ขยายห่างมากขึ้นให้กับเด็กๆ ของเราทุกคน โครงการนี้เรายังได้รับการสนับสนุนจาก StartDee แอปพลิเคชัน ให้น้องๆ ทั้ง 2,000 คนสามารถเข้าถึงบทเรียนผ่านแอปพลิเคชันฟรีภายใต้โครงการ "Free School-in-a-Box"

นายชารัด กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาดีแทคได้พัฒนาแพ็กเก็จเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักเรียนภายใต้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตราคาพิเศษ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กับ โปรเสริม Happy Work & Learn สำหรับใช้งานไม่อั้นบนแอป Microsoft 365, Zoom, WebEx, Shopee ที่ความเร็ว 10 Mbps และเน็ตเต็มสปีด 1GB ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่มให้สอดคล้องกับการใช้งานและสถานการณ์ที่ต้องทำงานหรือเรียนหนังสือที่บ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ ดีแทคยังได้ร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. มอบแพ็กเกจเรียนออนไลน์ฟรี โดยสามารถใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนการสอนอย่าง MS Teams, Zoom, Google Meet, WebEx และ Line Chat ได้ไม่จำกัด พร้อมเน็ตเต็มสปีด 2 GB ต่อเดือนเพื่อใช้งานนาน 2 เดือน โดยนักเรียนสามารถลงทะเบียนรับสิทธิโดยแจ้งเบอร์ดีแทคผ่านโรงเรียน โดยแพ็กเกจจะเริ่มใช้งานได้หลังวันที่ 15 สิงหาคม นี้
#3410


คลำหาทางออกไม่เจอ "ลูกบ้านแอชตันอโศกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลาง" ไลฟ์เฟซบุ๊ก ร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ หวั่นโดนลอยแพ ความมั่นคงที่อยู่อาศัย รีไฟแนนซ์คอนโดไม่ได้ ต่างชาติฝันสลาย เบรกซื้อโปรเจคอื่น กระเทือนเชื่อมั่นอสังหาฯ

"โครงการแอชตัน อโศก" ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ยังคงเดินหน้าหา "ทางออก" ให้กับผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดําที่ ส. 53/2559 คดีหมายเลขแดงที่ ส. 19/2564 ให้เพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้าย อาคาร หรือเปลี่ยนการใช้อาคารโดยไม่ยื่นคําขอรับใบอนุญาต ตามมาตรา 39 ทวิ และมาตรา 39 ตรี แห่ง พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ออกให้แก่บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของอนันดาฯ โดยให้มีผลย้อนหลัง


ทั้งนี้ ผู้ได้รับผลกระทบเริ่มจาก อนันดาฯ ที่ร้อนถึงผู้บริหาร "ชานนท์  เรืองกฤตยา" ซีอีโอพร้อมทีมฝ่ายกฎหมายต้องแจงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพื่อให้สื่อรับทราบ พร้อมให้ความเชื่อมั่นแก่ลูกบ้านว่าจะไม่ทิ้งใครไม่ไว้ข้างหลัง ยืนยันเคียงข้างทุกคนก้าวข้ามวิกฤติใหญ่ไปให้ได้ จะไม่มีการ "หนี" อย่างแน่นอน 

ล่าสุด เป็นคิวของ "ตัวแทนลูกบ้าน" โครงการแอชตัน อโศกที่มีกว่า 1,000 ชีวิต จากกว่า 600 ครอบครัว ออกมาตั้งคำถามถึงมาตรการ "เยียวยา" รวมถึงวอนทุกภาคส่วนให้ช่วยเหลือจากกรณีที่เกิดขึ้นด้วย 

วันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ตัวแทนลูกบ้านโครงการแอชตัน อโศก 2 ราย ได้ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก "ลูกบ้านแอชตันอโศกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลาง" เผยผลกระทบเกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าวมีหลายด้าน ได้แก่ การทำธุรกรรมทางการเงิน ที่ลูกบ้านกำลังยื่นขอ "รีไฟแนนซ์" กับธนาคาร ได้รับการ "ปฏิเสธ" ทันที เนื่องจากคอนโดถูกเพิกถอนใบอนุญาตย้อนหลัง  


ด้านความมั่นคง เนื่องจากโครงการแอชตัน อโศกได้ถูกแช่แข็งหรือฟรีซไว้ ทำให้ไม่มีผู้ใดต้องการทำนิติกรรมด้วย เพราะมองเป็น "คอนโดมิเนียมเถื่อน" จะโอนให้ลูกหลานต่อยังไม่ได้ ขณะเดียวกันเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ต้องการจะขายห้องชุดเพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องให้กับตัวเอง ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากทำนิติกรรมต่างๆได้ยาก 

นอกจากนี้ โครงการแอชตัน อโศก ยังมีลูกบ้านเป็นชาวต่างชาติ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นลูกบ้าน นักลงทุนต่างชาติต่อภาพลักษณ์อสังหาริมทรัพย์ของไทยโดยรวมด้วย  



จากปัญหาดังกล่าว ลูกบ้านโครงการแอชตัน อโศกค่อนข้าง "มืดแปดด้าน" ในการหาทางออก จึงหาที่ปรึกษาทางกฏหมายมาช่วยเหลือ ขณะเดียวกันเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางช่วยเหลือและหามาตรการ "เยียวยา" ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

"ความกังวลตอนนี้คือลูกบ้านต้องผ่อนแบงก์ไปประมาณ 30 ปี ค่าส่วนกลางจะเพียงพอต่อการดำเนินการทางกฏหมายหรือไม่  เงินที่จ่ายจะสูญเปล่าไหม หากโครงการถูกทุบทิ้งจะทำอย่างร เราทำงานหนักเก็บเงินซื้อห้องชุดเพื่อเจอแบบนี้เหรอ นี่คือคำถามที่ไม่มีคำตอบ"   

อย่างไรก็ตาม ลูกบ้านแอชตัน อโศก ได้วิงวอนสื่อ สังคม รัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1.อยากสอบถามว่าใครจะเป็นเยียวยายื่นมือช่วยลูกบ้านแอชตัน อโศกกว่า 1,000 ชีวิต ทั้งเรื่องที่พักอาศัย การรีไฟแนนซ์ และการต่อสู้คดีความในระยะยาว 3-5 ปี  

2.หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาต ทุบทิ้งโครงการแอชตัน อโศก ใครจะรับผิดชอบ หน่วยงานรัฐที่ออกใบอนุญาตหรืออนันดาฯ 


ต่างชาติ 1 ในลูกบ้านโครงการแอชตัน อโศก

"จนถึงวันนั้น จะมีใครเยียวยาเราไหม บริษัทย่อยคืออนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จะปันผล ปิดบริษัทหนีไปแล้วหรือยัง จะมีการตั้งสำรองหนี้เผื่อพวกเราไหม เพราะที่ผ่านมบริษัทไม่มีการตั้งสำรองหนี้ไว้ หรือรัฐจะมาเยียวยา"

ด้าน อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย ได้ทำหนังสือถึง "นายผยง ศรีวณิช" ประธานสมาคมธนาคารไทย เพื่อขอความร่วมมือในการแก้ปัญหาอันเนื่้องมาจากผลกระทบคำตัดสินของศาลปกครอง ซึ่งมีผลกระทบในวงกว้างต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภาคประชาชนและความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สมาคมฯ ได้ติดตามเหตการ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และพบว่าการเพิกถอนใบอนุญาต โดยมีผลย้อนหลัง แม้โครงการจะผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจทุกภาคส่วนตามขั้นตอนแล้ว ทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) สำนักงานเขตวัฒนา ผู้อำนวยการสำนักงานโยธา และกรุงเทพมหานคร จึงทำให้ได้รับใบอนุญาตครบถ้วนถูกต้อง แต่เมื่อเกิดดเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อห่วงกังวลผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย โดยมีโครงการมีลักษณะการใช้ที่ดินของหน่วยงานของรัฐเป็นทางเข้าออกนับ "ร้อยโครงการ"

"เหตุการณ์ข้างต้นอาจกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม โดยเฉพาะภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจธนาคารสินเชื่อลูกค้ารรายย่อยยหรือหลักประกันการชำระหนี้ต่างๆ ทุกฝ่ายขาดความเชื่อถือต่อระบบการขออนุญาตจากทางราชการ และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศและส่งผลกระทบต่อการลงทุน การจ้างงาน และเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก"
#3411


เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน ) กล่าวว่า ผลกระทบจากเศรษฐกิจมหาภาคจากโควิด-19 จะกระทบแต่ละธุรกิจไม่เท่ากัน อาหารอาจกระทบไม่มาก แต่โรงแรมแย่มาก ในส่วนอสังหาฯ ได้รับผลกระทบคือ

1. เกิด "ซอมบี้เฟิร์ม" คือบริษัทที่มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยได้น้อยกว่ารายได้หรือกำไรที่หาได้ คือบริษัทที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ไหวมากขึ้น ทุกเซกเตอร์จะมีซอมบี้เฟิร์มเพิ่มขึ้น ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในอันดับที่ 5 ของการมีซอมบี้เฟิร์มและมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น จนถึงปี 2565 แสดงว่าธุรกิจยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นใน 1-2 ปีนี้

2. เกิดภาวะการกระจุกตัวของตลาด (Market concentration) ในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น 50-60% จากเดิม 30% คาดว่า หลังโควิดรอบนี้จะอยู่ในมือบริษัทใหญ่ 70-80% เป็นทิศทางเดียวที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับธุรกิจโชห่วย รวมถึงอสังหาฯด้วย เพราะการฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้ต้องอาศัยกระแสเงินสดที่ดี ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เปรียบ

3. ดีมานด์ลดลง เพราะเมื่อไรที่คนตกงานเยอะบ้านจะขายได้น้อย หรือแม่แต่คนที่ยังทำงานอยู่แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดี ไม่กล้าเป็นหนี้ระยะยาว ทำให้ระยะสั้นดีมานด์ลดลง

4. หนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาล่าสุดพุ่ง 90% ส่งผลกระทบกับการซื้อบ้านยาก เพราะธนาคารไม่ปล่อยกู้ การปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นถึง 70% แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะอยู่ในภาวะขาลง

"โดยภาพรวมไม่มีข่าวดีสำหรับอสังหาฯ ที่สำคัญอสังหาฯ เข้าสู่ภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ จากวิกฤติโควิดที่รุนแรง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น เนื่องจาก 1 . แรงงานหายไปจากมาตรการปิดแคมป์ ซึ่งเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญ ทำให้ต้นทุนค่าแรงงานเพิ่มขึ้น 2. ราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อโครงการคอนโดที่ใช้เหล็กจำนวนมาก จากปัจจัยลบดังกล่าว คาดว่าอสังหาฯ ปีนี้ติดลบ 10% ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ติดลบ 35%"

เกษรา ประเมินว่า การฟื้นตัวจะทยอยกลับมาฟื้นตัวในช่วงปี 65 เป็นต้นไป หากสถานการณ์ โควิด-19 สามารถคลี่คลายลงได้ชัดเจนภายในสิ้นปี 64 และการที่มีวัคซีนโควิด-19 เข้ามามากขึ้น จะทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจกลับมาฟื้นได้ มีการกลับมาเปิดเมืองทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า และคนเริ่มกลับมาทำงานมีรายได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออสังหาฯ

ในส่วนของเสนาฯ การเปิดโครงการใหม่ยังคงเน้นโครงการคอนโดระดับราคาที่จับต้องได้ภายใต้แบรนด์ "SENA KITH" ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยในช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา บริษัทเปิดโครงการ SENA KITH ฉลองกรุง-ลาดกระบัง สามารถขายได้แล้ว 500 ยูนิต ซึ่งบริษัทจะยังมีการเปิดแบรนด์ SENA KITH เพิ่มเติมอีกในช่วงไตรมาสสุดท้าย ขณะเดียวกันยังจะเปิดโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังมีความต้องการซื้อและสามารถสร้างยอดขายได้ดี

สำหรับยอดขายในปีนี้ยังคงเป้าหมาย 1.1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาจะทำยอดขายได้เพียงกว่า 3,000 ล้านบาท แต่บริษัทยังเชื่อมั่นว่าหากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มเห็นแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้นก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของยอดขายกลับมาอย่างก้าวกระโดดมาในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ เพราะจะมีการเร่งการเปิดตัวโครงการใหม่ออกมามากในไตรมาส 4 และในปกติช่วงดังกล่าว จะเริ่มมีลูกค้าเริ่มมาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่งผลยอดขายเห็นการฟื้นตัวกลับมา หากโควิด-19 คลี่คลายลงชัดเจนในช่วงปลายเดือนส.ค.-ก.ย.

" ขณะนี้สถานการณ์โควิดยังไม่แน่ไม่นอน จึงมีโอกาสที่ปรับเปลี่ยนแผนปีนี้ได้ตลอด เพราะสถานการณ์แตกต่างจากปีก่อนมาก เริ่มรู้สึกว่าโควิดน่ากลัวมากขึ้นและเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น และยังมองว่าใช้ระยะเวลาควบคุมค่อนข้างนานกว่าปีก่อน ตอนนี้แทบปรับแผนทุกสัปดาห์ เพราะสถานการณ์ไม่นิ่ง ถ้าโควิดลากยาวไปถึงไตรมาส 4 ก็คงกระทบกับเป้าหมายยอดขาย-ยอดโอน ซึ่งเราก็ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด" เกษรา กล่าว
#3412

โรงพยาบาลสังกัด กทม.เร่งฉีดวัคซีน "ไฟเซอร์" บูสเตอร์เข็ม 3 บุคลากรการแพทย์-ด่านหน้าสู้ "โควิด-19"
วันที่ 9 ส.ค. ที่โรงพยาบาลกลาง สังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร(กทม.) ซึ่งได้รับการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(กทม.) ในชุดแรกจากข้อมูลที่รายงานวันแถลงข่าวออนไลน์สรุปการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ วันที่ 6 ส.ค. "กทม.ได้ 'ไฟเซอร์' แล้ว 7.6 พันโดส ย้ำฉีดบูสต์เข็ม 3 เฉพาะบุคลากรด่านหน้าเท่านั้น"

โดยในวันนี้ ได้มีการฉีดวัคซีนไฟเตอร์เข็ม 3 ซึ่งเป็นเข็มบูสต์เตอร์ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้วโดยบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าได้เข้ารับวัคซีน จำนวน 700 คน โดยจะดำเนินการฉีดวัคซีนให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน

สำหรับ "ขั้นตอน" การใช้วัคซีนไฟเซอร์นั้น ได้ถูกขนส่งในตู้ความเย็นติดลบ 70 องศาเซลเซียส เมื่อมาถึงโรงพยาบาลกลาง จะถูกเก็บที่ตู้ทำความเย็นติดลบ 20 องศาเซลเซียส จากนั้นเจ้าหน้าที่เภสัชกรรม จะนำขวดวัคซีนใส่กล่องควบคุมอุณภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส และนำมายังจุดฉีด หลังจากนั้นจะนำวัคซีนออกมาตั้งในอุณหภูมิห้อง 15-30 นาที เพื่อให้ตัวยาในขวดวัคซีนมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง


โดยก่อนการฉีดต้องทำการเจือจางกับน้ำกลือในปริมาณ 1.8 มิลลิลิตร และทำการคว่ำหงาย 10 รอบ จากนั้นทำการแบ่งบรรจุ เข็มละ 0.3 มิลลิลิตร จำนวน 6 เข็ม ต่อ 1 ขวด เนื่องจากวัคซีนเป็นชนิดเข้มข้น และต้องฉีดภายใน 6 ชั่วโมง โดยใช้เข็มชนิด Lowdead space syringe โลเดสเปสไซลิงค์ เพื่อให้ได้ส่วนผสมยาที่ใช้ครบถ้วน
#3413


กลุ่มบริษัทกัลฟ์ โดยนางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยนายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการฯ ร่วมลงนามสัญญาบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่ง 115 เควี และ 22 เควี ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ กฟภ.จะดำเนินงานบำรุงรักษาให้กับโรงไฟฟ้าเอสพีพี (SPP) 19 แห่ง ภายใต้กลุ่มบริษัทกัลฟ์ ส่งผลให้การจำหน่ายไฟฟ้าผ่านสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่งไฟฟ้ามีเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด

นางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่กลุ่มบริษัทกัลฟ์เลือกกฟภ.เข้ามาดำเนินงานบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า SPP 19 แห่ง เนื่องจากกฟภ. ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริการงานบำรุงรักษาชั้นนำในธุรกิจอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทย กลุ่มบริษัทกัลฟ์และกฟภ. เป็นพันธมิตรกันมายาวนานกว่า 20 ปี จึงเชื่อมั่นในทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญสูง การเลือกใช้อุปกรณ์ ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน ทำให้ระบบไฟฟ้ามีสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ หนุนให้โรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าได้ตามแผนตลอดระยะสัญญา

นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า กฟภ. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่กลุ่มบริษัท กัลฟ์มอบความไว้วางใจให้ กฟภ. เป็นผู้ดำเนินงานบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าจำนวน 19 แห่ง กฟภ. พร้อมนำประสบการณ์ และความชำนาญ ในการให้บริการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความมั่นคงในการจ่ายพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ สัญญามีระยะเวลา 3 ปี ครอบคลุมงานบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่ง 115 kV และ 22 kV รวมไปถึงงานบริการฉีดน้ำลูกถ้วยแรงสูงแบบไม่ตัดกระแสไฟฟ้า (Hotline Cleaning Insulator) และการให้บริการซ่อมอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน 24 ช.ม. สำหรับโรงไฟฟ้า SPP 19 แห่งภายใต้กลุ่มบริษัทกัลฟ์ รวมมูลค่างานเป็นวงเงินกว่า 223 ล้านบาท
#3414


วันนี้ (9 ส.ค.2564) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล กำหนดให้การ ฉีดวัคซีน เป็นวาระแห่งชาตินั้น ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตามมาตรการปิดแคมป์คนงานเป็นเวลา 1 เดือน

โดยมีเป้าหมายดำเนินการฉีด 3,500 คนต่อวัน จาก แคมป์คนงาน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด 611 แคมป์ คนงาน 83,082 คน เป็นคนไทย 32,471 คน ต่างด้าว 50,611 คน

'ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน' เปิดให้ฉีดรองรับ 3,500 คนต่อวัน
นายสุชาติ กล่าวต่อว่าวันนี้เป็นวันแรกที่กระทรวงแรงงาน โดยโรงพยาบาลในเครือประกันสังคม
กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ได้เปิด ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน

โดยแห่งแรกที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีดวันละ 2,000 คน มีทีมแพทย์พยาบาลจากโรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาครให้การดูแลการฉีด


แห่งที่ 2 ที่ ศูนย์ ณ อาคารลุมพินีทาวเวอร์ ถนนวิภาวดี แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีด 1,500 คนต่อวัน มีทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์ สนับสนุนในการฉีดวัคซีนโควิด-19


พร้อมเปิดให้บริการ 9-31 ส.ค.นี้เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
สำหรับ ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ทั้ง 2 แห่งจะให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 - 31 สิงหาคมนี้ เว้นวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์

"การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในแคมป์คนงาน เป็นหนึ่งในมาตรการที่กระทรวงแรงงาน ให้การป้องกันรักษาโดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่คนงานในแคมป์ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มคนงาน เป็นการสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนทั่วไปที่อยู่อาศัยบริเวณชุมชนรายรอบแคมป์คนงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคแรงงาน ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้"นายสุชาติ กล่าว
#3415


ความเคลื่อนไหว "ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (9 ส.ค.) ปิดตลาดดัชนี SET INDEX อยู่ที่ 1,540.19 จุด เพิ่มขึ้น 18.47 จุด หรือ 1.21% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 69,879.20 ล้านบาท ระหว่างวันเคลื่อนไหว "สูงสุด" แตะระดับ 1,543.71 จุด และต่ำสุด 1,525.29 จุด โดยเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นจาก แรงซื้อกลุ่มหุ้นเปิดเมือง (Reopening Play) นำโดยขนส่ง AOT บวก 4.48% ธนาคาร KBANK 3.83% และ SCB 2.90% จากความคาดหวังของนักลงทุนภายหลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับลดลงเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี ไม่แนะนำลงทุนกลุ่ม Reopening ในระยะกลาง-ยาว โดยแนะนำซื้อขายทำกำไร (เทรดดิ้ง) เท่านั้น เพราะยังมีความเสี่ยงจากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่ยังสูง รวมถึงยังต้องติดตามจำนวนผู้รักษาหายและจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนในระยะต่อจากนี้ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2564 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นผันผวน

"มุมมองตลาดสัปดาห์นี้ เราคาดดัชนีแกว่งตัวที่แนวรับ 1,500-1,520 จุด และแนวต้าน 1,550-1,567 จุด โดยการลงทุนแนะนำกลุ่มที่มีความทนทาน-ปลอดภัย (Defensive Play) ได้แก่ สื่อสาร ADVANC โรงไฟฟ้า BCPG รวมถึงหุ้นงบดี INOX และ UV"
#3416


นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ตัวแทนกลุ่มองค์กรผู้ก่อตั้ง "โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ" กล่าวว่า ตั้งแต่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ในรอบที่ 3 นี้ มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ประชาชนเองก็มีการติดเชื้อในระดับหลายหมื่นคนต่อวัน ภาคเอกชนจึงได้ร่วมกันจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาด 450 เตียง ขึ้นมาพร้อมรับผู้ป่วยระดับสีเขียวและสีเหลือง โดยใช้ชื่อว่า "โรงพยาบาลแสงแห่งใจ" เกิดจากแนวคิดที่ว่า พวกเราทุกคน ต้องช่วยกัน จุดแสงสว่าง คนละเล็กคนละน้อย เพื่อจุดประกายความหวังให้ประเทศไทย เดินก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เราจึงตั้งชื่อ โรงพยาบาลแห่งนี้ว่า "แสงแห่งใจ" เพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจ ของผู้ก่อตั้งทั้ง 7 องค์กร ที่อยากเสริมสร้างวัฒนธรรมดีๆ ให้คนไทยทุกภาคส่วน ร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งสื่อถึงแสงสว่างที่ออกมาจากใจของผู้ให้ และ แสงสว่างที่เป็นเสมือนความหวังในใจของผู้ที่ทุกข์ใจ

นอกจากนี้ เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว ทางเรายังได้จัดตั้งโครงการ "ศูนย์รวมปันสุข" ขึ้นเพื่อช่วยเหลือร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถเปิดร้านได้ตามปกติ รวมถึงชุมชนที่ขาดแคลนอาหาร ซึ่งเมื่อถึงจุดที่ มีโรงพยาบาลสนาม จึงได้รวมศูนย์ปันสุขเข้ามาอยู่ภายใต้โครงการโรงพยาบาลสนาม ซึ่งจะยังคงเดินหน้า ช่วยเหลือต่อไปตามเจตนารมย์และเพิ่มการจัดอาหารให้ผู้ป่วยทุกมื้อตลอดระยะเวลา 4 เดือน

ซึ่งจากผู้เริ่มก่อตั้ง 7 องค์กร ได้แก่ โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์, MQDC, อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค, ทีแอนด์บี มีเดีย โกล.  และมูลนิธิธนินท์ เทวี เจียรวนนท์, มูลนิธิอริยวรารมย์, มูลนิธิพุทธรักษา  ได้ขยายมามีพันธมิตรและผู้สนับสนุนกว่า 30 องค์กร อาทิเช่น มูลนิธิเอสซีจี (SCG) ได้ให้การสนับสนุนเตียงกระดาษจำนวน 600 เตียง และยังมีอุปกรณ์ก่อสร้างอื่นๆ ทาง CP และ MK ให้การสนับสนุนด้านอาหารผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ตลอดระยะเวลา 4 เดือน รวมถึงทาง TRUE ที่ได้จัด WIFI เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ในระหว่างการรักษาพยาบาล และอีกหลายๆ องค์กร เสมือนแสงที่มาช่วยให้ความสว่างออกมาจากใจ

ด้านนพ.อธิวัฒน์ น้อยประสิทธิ์ Chief Performance Coach, Risk and Quality Officer บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยยังมีระดับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทีมแพทย์ก็รู้สึกมีกำลังใจในการบริหารงาน เพราะได้รับมอบน้ำใจจากเพื่อนๆ ในวงการธุรกิจที่ช่วยกันสนับสนุนการดำเนินงานหาสถานที่เพื่อให้โรงพยาบาลได้มีโอกาสที่จะรักษาผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้น  ผมทราบดีว่าในท่ามกลางที่เราหลายคนอาจรู้สึกหมดหวังไม่เห็นหนทางที่จะออกจากปัญหาโรคระบาดเช่นนี้ การเปิดโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจนี้ นับว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเป็นทั้งที่รักษาตัว และเป็นจุดที่ได้สื่อสารไปยังผู้ป่วยและครอบครัว ให้รู้สึกมีความหวังเพราะการอยู่ด้วยความหวัง และ กำลังใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลดีต่อการรักษาผู้ป่วย รวมถึงสภาพจิตใจของคนในครอบครัวผู้ป่วยที่ต่างก็รอความหวังว่าญาติมิตรของเขามีโอกาสที่จะหายป่วย เมื่อรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ 

การให้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ จะมีทีมแพทย์เฉพาะทางและพยาบาลจากกลุ่มโรงพยาบาลพิษณุเวชได้แก่ รพ.พิษณุเวช พิษณุโลก รพ.พิษณุเวช พิจิตร และ รพ.พิษณุเวช อุตรดิตถ์ ซึ่งอยู่ในในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ให้การดูแล ซึ่งในทางการแพทย์ที่รพ.สนาม เราใช้บุคลากรทางการแพทย์ที่คอยดูแล ทั้งหมดกว่า 50 ชีวิต มีห้องฉุกเฉิน รวมทั้ง Oxygen High flow Pipeline จำนวนมากถึง 76 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มจะเป็นสีเหลือง-แดง ที่พร้อมในการดูแลผู้ป่วยวิกฤติในโรงพยาบาลสนาม และมีเตียงผู้ป่วยวิกฤตที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ห่างเพียง 5 กิโลเมตร  ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาที 


ทั้งนี้ "โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ พร้อมเปิดรับผู้ป่วยที่ลงทะเบียนผ่าน Website หรือ Call Center เท่านั้น โดยทางโรงพยาบาลได้ทำ Work Flow ให้มีความสะดวก รวดเร็ว ในการที่จะติดต่อประสานกับผู้ป่วย โดยกระบวนการคือ การลงทะเบียนจะเปิดรับลงทะเบียนในวันที่ 7 สิงหาคม เป็นต้นไป เมื่อลงทะเบียนแล้ว ข้อมูลผู้ป่วยจะถูกส่งเข้าไปที่ Assessment Center เพื่อประเมินอาการ โดยหากเข้าข่าย Home Isolation ทางโรงพยาบาลจะรับเข้าเป็นผู้อยู่ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาล ตามกระบวนการของ Home Isolation หากเข้าข่ายที่จะรับเข้าโรงพยาบาลสนามได้ จะมีทีมงานประสานในการรับการส่งตัวผู้ป่วย เพื่อเช็คอินเข้าโรงพยาบาลสนาม หรือส่งต่อฮอสปิเทล แต่หากมีอาการที่ค่อนข้างหนัก จะพิจารณารับเข้าก็รับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือส่งต่อโรงพยาบาลเครือข่าย

หลักการพิจารณาการจะใช้เรียงตามลำดับผู้ที่ลงทะเบียนเข้ามาตามระบบ โดยจะต้องแนบผลการตรวจมาด้วย โดยเมื่อเปิดแล้วโรงพยาบาลคาดว่า รับผู้ป่วยได้เต็มภายใน 4- 5 วันแรก และจากนั้นจะมีการหมุนเวียนตามจำนวนผู้ป่วยที่ได้กลับบ้าน นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลสนามนี้ได้นำหุ่นยนต์ปิ่นโต มาช่วยในการบริการและใช้ Application ไข่ต้ม แคร์ (Kaitomm Care) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย และเพิ่มความปลอดภัยของบุคคลากรทางการแพทย์อีกด้วย

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.00น. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เป็นประธานในการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ และชมการสาธิตการรักษาพยาบาลด้วยระบบ telemedicine tablet "ไข่ต้ม ฮอสพิทอล" (Kaitomm Hospital) และหุ่นยนต์ "ปิ่นโต" ในการสื่อสารกับผู้ป่วย โดยมีนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์นนท์ จินดาเวช รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ นายณัฐพงศ์ แตงสุวรรณ นายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว ร่วมเยี่ยมชมเป็นคณะที่ 1 เพื่อขอบคุณภาคเอกชนและให้คำแนะนำ ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงานช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐ โดยมีคณะผู้บริหารโรงพยาบาลแสงแห่งใจนำโดย ดร.สาธิต วิทยากร กรรมการผู้จัดการบริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัดในเครือบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC และ นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  นพ.อธิวัฒน์ น้อยประสิทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล พร้อมคณะ พาเยี่ยมชม ณ ที่ตั้งโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ ซอยวัดคลองปลัดเปรียง ถนนบางนาตราด กม.5 

จากนั้นเวลา 14.00น. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ มี นายแพทย์พรณรงค์ ศรีม่วง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และนายณัฐพงศ์ แตงสุวรรณ นายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว ร่วมเยี่ยมชม และดูการสาธิตการรักษาพยาบาลด้วยระบบ telemedicine tablet "ไข่ต้ม ฮอสพิทอล" (KaitommHospital) และหุ่นยนต์ "ปิ่นโต" ในการสื่อสารกับผู้ป่วย เป็นคณะที่ 2  เพื่อขอบคุณภาคเอกชนและให้คำแนะนำ ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงานช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐ โดยโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจมีกำหนดเปิดรับผู้ป่วยที่ลงทะเบียนผ่านระบบ และได้รับการคัดกรองแล้ว เข้ามารักษาตัวเป็นวันแรกที่โรงพยาบาลในวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564    


บริการที่จัดให้บริการในโรงพยาบาลสนาม

1.การบริการทางการแพทย์ เทียบเท่ากับการเข้ารักษาที่ โรงพยาบาล

- มีพยาบาล คอยดูแล 24 ชั่วโมง โดยใช้ระบบ telemedicine tablet "ไข่ต้ม ฮอสพิทอล" (KaitommHospital) ที่พัฒนาโดยบริษัท โอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น ในการสื่อสารกับผู้ป่วย

- ได้นำเทคโนโลยี ในด้านเครื่องปรับอากาศ all fresh air ไม่มีการหมุนเวียนอากาศซ้ำ

- ใช้ "หุ่นยนต์ปิ่นโต" ที่ร่วมพัฒนาโดยบริษัท โอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น ส่งอาหาร เครื่องดื่ม และยา มาช่วยเหลือในงานแพทย์และพยาบาล เพื่อลดความเสี่ยงในการทำงานของเจ้าหน้าที่ 

- มีอุปกรณ์ยังชีพ มอบให้กับผู้ป่วยทุกท่าน เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับผู้ป่วยเมื่อเวลาผู้ป่วยเข้ามาเช็คอินและตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาลสนาม


2.ศูนย์รวมปันสุข   จัดอาหาร3 มื้อให้กับผู้ป่วย

- มีการจัดอาหาร 3 มื้อให้กับผู้ป่วย และแพทย์พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมี MK และ CP เป็นพันธมิตรหลักด้านอาหาร

- นอกจากนี้ ยังมีอาหาร และของว่างระหว่างวัน ให้กับผู้ป่วย 


3.การดูแลรักษาความปลอดภัย

- ใช้ระบบ CCTV และระบบ Security คอยดูแลความปลอดภัยภายในโรงพยาบาลสนาม ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

- นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนในด้านการดูแลความปลอดภัยจากหน่วยงานราชการในพื้นที่


4. อื่น ๆ

- Internet และ Wifi สนับสนุนจาก True ทำให้ผู้ป่วยได้ใช้ได้ฟรี เพื่อที่ให้ผู้ป่วยได้ลดความเครียดลง

- มีพื้นที่สันทนาการ ที่จะมีโทรทัศน์โดยได้รับ Content Support มาจาก True Vision รวมไปถึง Code พิเศษ เพื่อให้ผู้ป่วย สามารถดาวน์โหลด Application และดูจากมือถือของตัวเองได้ 

โดยการลงทะเบียนผู้ป่วยเพื่อรับการประเมินเข้าโรงพยาบาลสนาม สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ www.โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ.comและโทร 02-116-7888 ทางโรงพยาบาลตั้งมั่นที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐในการที่จะรับผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
#3417


"นพ.สันต์" ติงสื่อฟังไม่ได้ศัพท์ กรณีนักวิจัย "ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้" ขอถอนต้นฉบับที่กำลังรอตีพิมพ์ แม้ค่า p-value สรุปผลไม่แตกต่างจากยาหลอก แต่ไม่ได้หมายความว่า รักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น ชี้พิเศษกว่าคู่แข่ง "ฟาวิพิราเวียร์" ที่มีข้อมูลน้อยพอกัน คือ แค่ทำวิจัยเพิ่มอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้ว อีกทั้งยังหาง่าย ราคาถูก มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติ

จากกรณี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว เผยแพร่บทความว่า ทีมผู้วิจัยชาวไทย ที่สรุปผลได้ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิด-19 ลดการเกิดปอดอักเสบได้ ทำการขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับของตนเองที่รอตีพิมพ์กลับคืนจากคลังวารสารรอตีพิมพ์ (medRxiv) เหตุผิดพลาดในการคำนวณค่านัยสำคัญของความแตกต่าง (p-value) ซึ่งหากคำนวณอย่างถูกต้องแท้จริงแล้วค่านัยสำคัญจริงๆ คือ p=0.1 แปลได้ว่า "การใช้ฟ้าทะลายโจรลดปอดบวมได้ไม่แตกต่างจากใช้ยาหลอก" ทำให้สื่อหลายแห่งตีความไปว่าฟ้าทะลายโจร ใช้รักษาโควิดไม่ได้ (อ่านบทความ : จำเป็นต้องมีการวิจัยรักษาโควิด-19 ด้วยฟ้าทะลายโจรซ้ำด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น)

วันนี้ (8 ส.ค. 2564) นพ.สันต์ จึงชี้แจงว่า สื่อตีความผิดพลาด เนื่องจากค่า p-value ที่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่า ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องทำการวิจัยนี้ซ้ำใหม่ด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม


เมื่อวานนี้ ผมเล่าเรื่องคณะผู้วิจัยชาวไทย ที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของผมครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้..ไปโน่นเลย ผู้คนก็พากันกระต๊าก กระต๊าก ต่อๆ กันไป ซึ่งเป็นการตัดบทความของผมเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผลแบบอะเมซซิ่งทิงนองนอยมากส์

ตัวผมเองไม่ถือสานะครับ เพราะเรื่องก็ดี ชื่อก็ดี ภาพของผมก็ดี มักมีคนชอบเอาไปทำยำใหญ่ใส่สาระพัดเป็นประจำอยู่แล้ว เอาไปขายยาสีฟันก็ยังเคยมีเลย หิ หิ ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่กลับมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้คนได้หันมาสนใจและพยายามทำความเข้าใจงานวิจัยทางการแพทย์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะได้ไม่ถูกคนกระเดียดข้อมูลให้ตื่นตกใจได้ง่ายๆ

ขอย้อนไปเริ่มต้นที่สนามหลวงก่อนนะ

เมื่อมีโรคโควิด-19 มา ได้มีการทำวิจัยในห้องทดลองที่ไต้หวันและในเมืองไทย แล้วสรุปผลได้ตรงกันว่า ฟ้าทะลายโจรระงับยับยั้งเชื้อไวรัสซาร์สโควี 2 ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของโรคโควิด-19 ทั้งนอกเซลล์และในเซลล์ได้ [1, 2]

ต่อมาก็ได้มีการทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนกลุ่มเล็ก (case series) จำนวน 6 คน ซึ่งสรุปผลได้ว่าฟ้าทะลายโจรในขนาดที่ใช้ (180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวันนาน 5 วัน) สัมพันธ์กับการที่ไวรัสลดจำนวนลงและหมดไปจากตัว (viral shedding) ได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ไม่ได้ตีพิมพ์ แต่นำเสนอในที่ประชุมวิชาการโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [3]

ต่อมาพัฒนาการทางวิชาการในเรื่องนี้ ก็แยกกันทำไปสองทาง ทางหนึ่งคือ ได้มีการทำวิจัยแบบย้อนหลังตามดู (retrospective cohort study) กลุ่มคนไข้โควิด-19 ที่ได้รับการรักษาต่างกันสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้ฟ้าทะลายโจร 309 คน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ใช้ฟ้าทะลายโจร 526 คน แล้วพบว่า กลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 3 คน (0.9%) กลุ่มที่ไม่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 77 คน (14.64%) ซึ่งเป็นความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในรูปของรายงานสรุป (short communication) ในวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [4]

อีกด้านหนึ่งก็มีการทำวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ในรูปของการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งถือว่าเป็นระดับหลักฐานชั้นสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ รายละเอียดของงานวิจัยมีอยู่ว่าผู้วิจัยได้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 29 คน ให้กินฟ้าทะลายโจรซึ่งมีเนื้อยาแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มก.ต่อวันกินนาน 5 วัน อีกกลุ่มหนึ่ง 28 คน ให้กินยาหลอก โดยใช้การเกิดปอดอักเสบ (pneumonia) เป็นตัวชี้วัด พบว่า กลุ่มที่กินยาหลอกเกิดปอดอักเสบ 3 คน (10.7%) ขณะที่กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรไม่เกิดปอดอักเสบเลย (0 คน) เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.039) ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ส่งผลไปตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ โดยเผยแพร่นิพนธ์ต้นฉบับล่วงหน้าในเว็บไซต์งานวิจัยรอการตีพิมพ์ (medRxiv)[5] แต่ต่อมาคณะผู้วิจัยพบความผิดพลาดในการคำนวณค่า p-value ว่าที่คำนวณได้ p = 0.039 นั้นผิดไป ที่ถูกต้องเป็น p = 0.1 จึงได้ขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับกลับมาแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าว

ผมได้เล่าเรื่องการขอถอนต้นฉบับกลับมาแก้ไขให้แฟนบล็อกฟัง และแจ้งเปลี่ยนข้อสรุปของผมเองที่เคยพูดว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19 มีมากพอแล้วนั้น ผมต้องขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19ในคนยังมีไม่มากพอ (เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT) จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น

เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา (คือการเกิดปอดบวม) ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรสักแอะเดียวที่จะบ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ฟังให้ดีนะ "ยังไม่มั่นใจว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า" ไม่เหมือนกับ "ใช้แล้วไม่ได้ผล"

ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือ ทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ นับถึงวันนี้การใช้ Favipiravir แล้วจะทำให้ไวรัสโควิด-19 หายไปจากตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ..รึก็เปล่า จะทำให้ใช้ออกซิเจนน้อยลง..รึก็เปล่า จะทำให้ต้องเข้าไอซียูน้อยลง..รึก็เปล่า และที่สำคัญจะทำให้คนป่วยตายน้อยลง..รึก็เปล่า [6]

แต่ฟ้าทะลายโจรมันมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ เท่าที่ผู้รู้ทางสถิติคำนวณให้คร่าวๆ หากพิจารณาจากอัตราการเป็นปอดบวมของผู้ใช้และผู้ไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรในงานวิจัย retrospective cohort ที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แค่ขยายกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย RCT ไปให้ได้กลุ่มละ 40 คน คือ ขยายอีกกลุ่มละ 10 คน ก็จะเห็นดำเห็นแดงกันแล้ว

อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่าไปซื้อยาเขามาทั้งๆ ที่ผลการรักษาก็แปะเอี้ย ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจร ก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้
#3418


ในฐานะแชมป์เอฟเอ คัพ ดวลกับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี ในฐานะแชมป์พรีเมียร์ลีก ลงเตะกันที่สนามเวมบลีย์ สเตเดียม กรุงลอนดอน

ในเกมนี้ เลสเตอร์จัดตัวแบบเอาจริง นำโดยตัวหลักอย่าง "เจมี วาร์ดี" "เจมส์ แมดดิสัน" "อโยเซ เปเรซ" "ยูริ ตีเลอมองส์" และ "ฮาร์วีย์ บาร์นส" ส่วน แมนฯ ซิตี จัดตัวผสมตัวจริงกับสำรอง นำโดย "เฟร์รัน ตอร์เรส" "ริยาด มาห์เรซ" "อิลคาย กุนโดกัน" และใช้ "แซก สเตฟเฟน" เฝ้าเสาประตู

รูปเกมส่วนใหญ่ ทั้งสองทีมเน้นความแน่นอน ไม่มีฝ่ายไหนเปิดเกมบุกเต็มตัว โดยเรือใบสีฟ้าเป็นฝ่ายครอง.ได้ส่วนใหญ่และมีโอกาสทำประตูมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ไม่เข้าเป้า ขณะที่เลสเตอร์แม้โอกาสยิงน้อยกว่าแต่ส่องเข้ากรอบแบบได้ลุ้นกว่า


นาที 65 ถึงเวลาที่แฟน.ซิตีรอคอย เมื่อ แจ็ค กรีลิช นักเตะใหม่ที่ย้ายจาก แอสตัน วิลลา ด้วยสถิติค่าตัวสูงสุดในสหราชอาณาจักร 100 ล้านปอนด์ ได้ลงสนามมาแทน ซามูเอล เอโดซี


- แจ็ค กรีลิช ในยูนิฟอร์มแมนฯ ซิตี ลงสนามเป็นตัวสำรอง -


นาที 87 นาธาน อาเก เล่นพลาดหน้าประตูตัวเองเปิดช่องให้ เคเลชี อิเฮียนาโช เข้าปะทะ แล้ว.ไหลมาให้ แพตสัน ดากา โฉบเข้ายิงติดเซฟ แซก สเตฟเฟน

อย่างไรก็ตาม ผู้ตัดสินตัดสินใจเป่าฟาวล์ย้อนหลังจังหวะที่อาเกปะทะอิเฮียนาโช และให้จุดโทษแก่เลสเตอร์


จากนั้น อิเฮียนาโช รับหน้าที่สังหารไม่พลาด และกลายเป็นประตูชัยให้เลสเตอร์เฉือนชนะไป 1-0 ทำให้ทัพจิ้งจอกคว้าแชมป์รายการการกุศลนี้เป็นสมัยที่ 2 ต่อจากเมื่อปี 1978 ส่วนแมนฯ ซิตี ยังอยู่ที่ 6 สมัยต่อไป
#3419


 หลังจากที่ชานนท์ เรืองกฤตยา ซีอีโอ อนันดา แถลงข่าวยื่นอุทรณ์คำพิพากษาคดีเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน และ หลังจากที่ชานนท์ เรืองกฤตยา ซีอีโอ อนันดา แถลงข่าวยื่นอุทรณ์คำพิพากษาคดีเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน และคาดว่ากระบวนการทางศาลจะใช้เวลา 3-5 ปี นั้น ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับลูกบ้านถึงมาตรการ ความช่วยเหลือที่อนันดาจะดำเนินการให้กับลูกบ้าน กรณีหากถูกตัดสินให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง 

  ดังนั้นล่าสุด ตัวแทนท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย แอชตัน อโศก จึงได้ส่งจดหมายให้สื่อมวลชนเข้ารับฟังถึงผลกระทบที่ลูกบ้านจะได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลาง ในวันอังคารที่10 ส.ค.นี้ ผ่านทางเฟซบุ๊ก   โดยมีเนื้อหาดังนี้    

                                                                                               วันที่ 6  สิงหาคม 2564  
เรื่อง  ขอเชิญสัมภาษณ์กลุ่มตัวแทนท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย แอชตัน อโศก คอนโดมิเนียม เรียน  ท่านสื่อมวลชนทุกท่าน

          ตามที่มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเกี่ยวกับการเพิกถอนใบอนุญาตโครงการ แอชตัน อโศกที่ดำเนินการ โดยบริษัทอนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัดถึงแม้ว่าทางบริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้เรียนแจ้งกับทางลูกบ้านว่าเป็นเพียงคำตัดสินของศาลปกครองกลางในศาลชั้นต้นเท่านั้น ยังไม่มีผลกระทบต่อการอยู่อาศัยของท่านเจ้าของร่วมแต่อย่างใด และผู้บริหารโครงการของบริษัทอนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)ก็ได้ยืนยันว่า ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฏหมายทุกประการ    

      ในนามของตัวแทนของท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยทุกท่านของโครงการ แอชตัน อโศก ขอเรียนชี้แจงว่า ถึงแม้กระบวนการทางกฏหมายจะยังไม่สิ้นสุด แต่บัดนี้ทางลูกบ้านได้รับผลกระทบต่างๆแล้วทางกลุ่มตัวแทนเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยแอชตัน อโศก คอนโดมิเนียม ใคร่ขอเรียนเชิญ สื่อมวลชนทุกท่านรับฟังแถลงข่าวการเปิดใจครั้งแรกของกลุ่มตัวแทนลูกบ้านพร้อมร่วมสัมภาษณ์ในประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบที่ลูกบ้านแอชตัน อโศกได้รับและกำลังเผชิญในขณะนี้  ในวันอังคารที่10 สิงหาคม 2564  ตั้งแต่เวลา 14.00น.เป็นต้นไปผ่านช่องทางการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ"ลูกบ้านแอชตันอโศกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลาง "  โดยท่านสามารถพิมพ์ข้อความหรือความสงสัยเข้ามาเพื่อสัมภาษณ์ได้ผ่านการถ่ายทอดสดดังกล่าว


      ในนามของตัวแทนของท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยทุกท่านของโครงการ แอชตัน อโศก  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านในครั้งนี้และขอขอบคุณล่วงหน้ามาณ โอกาสนี้             

                                                                       ขอแสดงความนับถือ


                                                               ตัวแทนท่านเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย                  

                                                                     แอชตัน อโศก คอนโดมิเนียม 
#3420


นายศิวกร สิริวงศ์ภาณุพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เนื่องด้วยสถานการ์ณโควิด-19 ในปัจจุบันที่ทำให้ผู้คนต้องเว้นระยะห่างทางสังคมด้วยการกักตัวอยู่บ้านเป็นเวลานาน พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนจึงต้องพึ่งพาช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายสินค้า การชำระเงิน และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมถึงร้านค้าและแบรนด์ธุรกิจจำนวนมากที่ต่างก็ต้องปรับทิศทางโมเดลธุรกิจและมุ่งหน้าเข้าสู่โลกอีคอมเมิร์ซ

จากปัจจัยเร่งดังกล่าวส่งผลให้ 'ช้อปปี้' มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างสถิติจากที่เคยทำไว้ในปีก่อนหน้า ครองแท่นแพลตฟอร์มยอดนิยมในใจผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเศไทย ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้งาน (Daily Active Users) และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างช้อปปี้ ผู้ขาย และผู้ใช้งาน (Users Engagement)

ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช้อปปี้มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการเติบโตให้กับผู้ขายและแบรนด์ธุรกิจให้สามารถโลดแล่นในโลกดิจิทัลท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ขณะเดียวกันศึกษาทำความเข้าใจและมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของฝั่งผู้ใช้งานอย่างทันท่วงที เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากการใช้งานแพลตฟอร์มช้อปปี้แบบครบองค์รวม



ชู 3 กุญแจสำคัญเพิ่มศักยภาพ

ด้วยเทรนด์การเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่สูงขึ้น ช้อปปี้ได้รับความสนใจและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ร้านค้าในการขยายช่องทางธุรกิจสู่โลกออนไลน์ จะเห็นได้จากจำนวนการเข้ามาของร้านค้าใหม่ๆ ในช้อปปี้ที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมความมั่นใจและสนับสนุนร้านค้าใหม่ ช้อปปี้ได้พัฒนาโปรแกรมเพื่อช่วยแนะแนววิธีการและเทคนิคการเปิดร้านค้าตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยทุกโปรแกรมมีการควบคุมการเรียนการสอนโดยโค้ชผู้เชี่ยวชาญของช้อปปี้โดยตรง


Shop set up service - การบริการช่วยสร้างจุดเด่น เพิ่มความน่าสนใจให้แก่ร้านค้า สินค้า รวมถึงการครีเอทแคมเปญและคอนเท้นท์ในการขายสำหรับร้านค้าใหม่ในช้อปปี้

Incubation - การบริการปั้นร้านค้าใหม่ ฝึกอบรมผู้ขายเพื่อความแม่นยำและเชี่ยวชาญในระบบของช้อปปี้แพลตฟอร์ม พร้อมแนะนำวิธีการสร้างยอดขายให้พุ่งทะยาน

Seller mission - โปรแกรมที่ช่วยให้ร้านค้าใหม่ได้ทดลองใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ส่งเสริมการขายต่างๆ ของช้อปปี้ เพื่อสะสมคะแนนและนำไปแลกรับรางวัลเพื่อได้รับสิทธิพิเศษในการขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Shopee Ads และ Shopee Vouchers เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานและสร้างความสนใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น

สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยการส่งมอบ 'One-Stop Suite of Solutions' ที่เดียวครบจบทุกอย่าง โซลูชั่นการทำการตลาดและโฆษณาแบบครบองค์รวม ผสมผสานระหว่างกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการขายเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มการรับรู้อย่างเป็นวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด ซึ่งร้านค้าและผู้ขายสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพต่างๆ รวมถึงติดตามการประเมินผลลัพทธ์ความสำเร็จได้อย่างง่ายๆ จากฟีเจอร์ในแพลตฟอร์มช้อปปี้

อาทิ LIVE, Feed, ADs และพันธมิตรการตลาดดิจิทัล (Affiliate Marketing Partners) อย่าง Facebook และ Google Shopping Ads โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้ใช้งาน อำนวยความสะดวกให้ขั้นตอนในการซื้อ-ขายง่ายดายและรวดเร็ว

ช้อปปี้เผยว่า มีแผนจัดทำแคมเปญดับเบิ้ลเดทที่ยิ่งใหญ่สะท้านวงการอีคอมเมิร์ซกว่าที่เคย ช้อปปี้เปิดตัวแคมเปญดับเบิ้ลเดท 9.9 เป็นรายแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2559 จนกลายเป็น จุดเปลี่ยนและตัวกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

โดยความพิเศษของปี 2564 คือ ช้อปปี้สามารถสร้างการเติบโตของแคมเปญดับเบิ้ลเดทที่ผ่านมาให้พุ่งสูงอย่างมีนัยสำคัญ และเตรียมกำลังความพร้อมมุ่งยกระดับแคมเปญดับเบิ้ลเดท เดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่สุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี

ปีนี้สร้างวาระแห่งการช้อปกลางเดือนฉบับใหม่กับแคมเปญ 'ทุกวันที่ 15 Mid Month Sale' ท่ามกลางพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่ผันผวน ช้อปปี้มุ่งรองรับความต้องการการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้นด้วยแคมเปญ 'ทุกวันที่ 15 Mid Month Sale'

มีเป้าหมายเพื่อมอบความคุ้มค่าและลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของคนในสังคมด้วยสินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ง่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายโอกาสให้กับผู้ขายและแบรนด์ธุรกิจในการเพิ่มยอดขาย ก้าวเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ ช้อปปี้ยังได้ขยายขอบเขตธุรกิจและฐานผู้ใข้งานด้วย 'ช้อปปี้ พรีเมียม (Shopee Premium)' แหล่งช้อปออนไลน์ต่อยอดประสบการ์ณเหนือระดับราวกับยกห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ครบครันด้วยแบรนด์ดังระดับพรีเมียมทั้งไทยและเทศมารวมไว้บนแพลตฟอร์ม ปลดล็อคศักยภาพตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ทลายกรอบมาตรฐานเดิมเพื่อยกระดับสู่สากล