• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3381



นายธีระพงษ์ ลิมป์ประเสริฐ หัวหน้าสายงานจัดส่งสินค้าและบริหารค้าปลีก บริษัท เอบีพีโอ จำกัด ในเครือ บมจ.ทีวี ไดเร็ค (TVD) ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างผลกระทบต่อระบบขนส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์ หรือลูกค้าทั่วไป ให้มีความล่าช้าลง อันเนื่องจากผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุจำเป็นต้องชะลอการให้บริการบางสาขาลงชั่วคราว

บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริษัทฯ มีการเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าต่อไปในวิกฤตินี้

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำกลุ่มธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร (Fulfillment Service) ร่วมช่วยเหลือการจัดส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์หรือลูกค้าทั่วไป ตั้งแต่สินค้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่น้ำหนักไม่เกิน 30-150 กิโลกรัม โดยสามารถรองรับการขนส่งพัสดุสูงสุด 10,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งบริษัทฯ จะนำศูนย์กระจายสินค้าในทุกภูมิภาคของประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี ชลบุรี และระยอง ฯลฯ ให้บริการรับ-ส่งพัสดุทั่วประเทศ ทั้งจากผู้ค้าออนไลน์ กลุ่มเอสเอ็มอี และลูกค้าทั่วไป ด้วยอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย รวมทั้งจัดเตรียมส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่ส่งพัสดุจำนวนมาก 300 ชิ้นขึ้นไปต่อวัน (ตามข้อตกลง) โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร 0-2793-2022 กด 3


สำหรับประเภทการจัดส่งสินค้า บริษัทฯ เปิดให้บริการฝากส่งสินค้าทุกประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป กล้าพันธุ์ไม้  เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น สามารถจัดส่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภายใน 2 วัน ส่วนในต่างจังหวัดใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยกว่า 3 วัน และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาบริการส่งพัสดุด่วน 1 วัน (SAME DAY)


ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยลูกค้าที่เข้าใช้บริการโดยเจ้าหน้าที่จะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างให้บริการ ระบบการคัดกรองก่อนเข้าทำงาน และเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนคาดว่าจะครบทุกคนในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ยังพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนพัสดุทุกชิ้น เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19


"ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่องทางหลักที่สร้างรายได้ในสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ผู้ค้าออนไลน์ และลูกค้าทั่วไป ซึ่งหลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว อัตราการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เติบโตเพิ่มขึ้น จากปกติอัตราขนส่งพัสดุในประเทศไทยโดยเฉลี่ย 4 ล้านชิ้นต่อวัน ดังนั้นทีวี ไดเร็คขอเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมต่อโลกการช้อปปิ้งออนไลน์ให้สามารถเดินหน้าต่อไป ด้วยบริการจัดส่งพัสดุถึงมือลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย โดยพร้อมยืนอยู่เคียงข้างและร่วมฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน"

สำหรับภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของทีวี ไดเร็ค บนเว็บไซต์ หลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ยอดขายสินค้าในช่องทางดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซเพิ่มจาก 10% เป็น 15% และจากการเพิ่มรายการสินค้าให้มีความหลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้สัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซจะเพิ่มเป็น 20% ส่วนรายได้อีก 80% จะมาจากลูกค้าในช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้งและคอลล์เซ็นเตอร์
#3382
นาฬิกานับเวลา Digital จับเวลาเดินหน้า-ถอยหลัง 

LED Count Down Timer ตัวเลขขนาด 10 cm x 6 cm

นาฬิกาจับเวลา Digital จับเวลาเดินหน้า ถอยหลัง

- LED Count Down Timer 
- แถมรีโมทไร้สาย คู่มือภาษาไทย 
- ขนาด : ยาว 70 cm. สูง 16 cm. หนา 4 cm. 
- ใช้จับเวลาตามโรงยิม,สนามมวย,โรงงาน,สนามชนไก่ เป็นต้น
- ใช้ไฟ220 v
- มีรีโมทพควบคุมไร้สาย
- รับประกัน1ปี

ติดตอสอบถาม
โทร 094-5102033 
line@ : @gentech
Facebook : Gentechshop


#3383




นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาเข้าซื้อหุ้น  (Mergerand Partnership: M&P)ในต่างประเทศอีก 2 ดีล  โดยจะเข้าถือหุ้น 75%

ในบริษัท Intan Group ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกในประเทศอินโดนีเซีย และการเข้าถือหุ้น 85 ในบริษัท Deltalab, S.L ซึ่งประกอบธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์จดทะเบียนในสเปน คาดว่าจะปิดดีลสำเร็จในไตรมาส 3 ของปี 2564  และจะมาช่วยหนุนให้ผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับในครึ่งแรกปี2564 บริษัทดำเนินการปิดดีลไปแล้ว 3 ดีล คือ การเข้าถือหุ้น 70% ในบริษัท Duy TanPlastics Man.cturingCorporation ผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนาม ,การเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท Go–Pak ผู้นำการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารแถบสหราชอาณาจักรยุโรป และการถือซื้อหุ้น 94% ใน SOVI ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ใน. เวียดนาม 

ดังนั้น จากแผนการเข้าซื้อกิจการทั้ง 5 บริษัทดังกล่าว  คาดว่า จะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว  18,000 ล้านบาทต่อปี  แบ่งเป็นรายได้จาก 3 บริษัท ได้แก่ Duy Tan, SOVI และ Go-Pak  ราว 12,000 ล้านบาทต่อปี และ 2 บริษัท  Deltalab กับIntan ราว 6,000 ล้านาบาท ต่อปี ซึ่งจะเริ่มเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ 


ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจM&P อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา  เชื่อว่า จะเป็นกลยุทธ์ที่สร้างฐานการเติบโตของบริษัทในระยะยาว แต่บริษัทจะพิจารณาการลงทุนอย่างระวัดระวัง ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะมีอีกกี่ดีล  แต่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 รุนแรงขึ้น  มองว่า ไม่กระทบกับการเจรจาการซื้อกิจการในต่างประเทศ  เนื่องจากสถานการณ์ในสหรัฐและยุโรปเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นสามารถเดินทางไปเจรจาทางธุรกิจได้และเมื่อเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ในไทย น่าจะทำให้การเดินทางเจรจาทางธุรกิจยังคงเดินหน้าต่อได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในกลยุทธ์ส่วนอื่นๆ เช่น โครงการขยายกำลังการผลิต ยังดำเนินการตามแผนที่วางไว้ต่อเนื่อง  ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารจากกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 1,615 ล้านชิ้นต่อปี ที่ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ รวมถึงการขยายกำลัง การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตันต่อปี และการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัวในประเทศไทยอีก 53 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปีนี้


นายวิชาญ กล่าวว่า  ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายรายได้จากการขายรวมทั้งปีนี้ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท หรือเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 93,388.33 ล้านบาท   ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทสามารถทำรายได้รวมแล้วกว่า 57,148 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

 ในปีนี้บริษัทยังคงงบลงทุนไว้ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้ทำดีล M&P ในส่วนของ 3 บริษัทก่อนหน้านี้ ได้แก่ Duy Tan ,SOVI และGo-Pak ราว 11,000 ล้านบาท และใช้ปรับปรุงเครื่องจักรและขยายกำลังการผลิตราว 4,000 ล้านบาท ส่วนครึ่งหลังปีนี้ใช้สำหรับดีล M&P Deltalab กับIntan ราว 5,000 ล้านบาทและกำไร หลังจากครึ่งปีแรกใช้งบลงทุนไปแล้วราว 6,300ล้านบาท 

 ขณะที่ฐานะการเงินบริษัทยังแข็งแกร่ง ด้วยกระแสเงินสดในปัจจุบันราว 30,000 ล้านบาท และด้วยหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับต่ำที่ 0.6 เท่า ทำให้ยังมีศักยภาพในการกู้เงินอีกมาก มีต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยที่ 2.5% รองรับการลงทุนในอนาคต หากบริษัทมีโครงการลงทุนที่ดีก็สามารถกู้เงินเพิ่มได้ หรือใช้จากกระแสเงินสดที่มีและการกู้เงินได้

"ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง แม้สถานการณ์โควิด-19 ยังเป็นปัจจัยที่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจอยู่ แต่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ถือเป็นกลุ่มสำคัญต่อการบริโภค พบว่า ยอดขายในประเทศสหรัฐ เริ่มฟื้นตัวเกือบเท่ากับก่อนมีโควิด-19 แล้วและในยุโรป คาดจะฟื้นตัวตามมาได้เร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ อยู่ที่สภาพตลาด ยังต้องรอดูต่อไป แต่เชื่อมั่นว่ายังเติบโตได้ตามแผน"  
#3384
สร้างรายได้จากสติกเกอร์ไลน์ง่ายๆ ด้วยโปรแกรม MediBang Painthttps://www.chatstickmarket.com/single-post/makemoneyfromlinestickerseasilywithmedibangpaintprogram

#3385


ถูกวิจารณ์เดือดเลยทีเดียว กรณีที่ "นารา เครปกะเทย" อนิวัต ประทุมถิ่น ไปออกรายการแฉ ที่มี "น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์" เป็นหนึ่งในผู้ดำเนินรายการ ซึ่งที่ผ่านมา น็อตถูกวิจารณ์แรงจนทัวร์ลงเหตุเห็นต่างจาก "เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ" ซึ่งน็อตและเพชรได้เคลียร์ใจกันไปแล้วว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงความคิดเห็นต่างกัน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนเสมอมา ขณะที่นาราก่อนหน้านี้ไปขอเงินสปอนเซอร์เพื่อนำมาทำคอนเทนต์ช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในตลาด โดยถามว่า "รักลุง...หรือไม่" ถ้าตอบว่ารักจะเดินหนี แต่ถ้าตอบว่าไม่รักจะช่วยเหมาทั้งหมด โดยก่อนหน้านาราไปร่วมรายการ นารา ได้โพสต์ว่าตนจะไปออกรายการแฉ และอยากเจอ น็อต วรฤทธิ์

ภายหลังนาราออกรายการแฉ ก็ถูกใจชาวทวิตเตอร์ ถึงขั้นแชร์นาทีที่นาราแสดงพฤติกรรมไม่รับของจากน็อต วรฤทธิ์ รวมทั้งกรณีที่เจ้าตัวพูดถึงสาเหตุที่ Call out และดาราเน็ตไอดอลหลายคนออกมา Call out โดยเชื่อว่าเขามีความสำเหนียกและสำนึกว่า ตัวเองอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร ก็เพราะว่า FC FC คือประชาชน วันนี้ประชาชนเดือดร้อนเราจะมองข้ามได้หรือ เมื่อก่อนเรานอนหลับ กินอิ่มได้เพราะสปอนเซอร์จ้างเรา แต่ถ้าเราไม่มี FC เราไม่มีประชาชนคอยซัปพอร์ต สปอนเซอร์ไม่จ้าง ถ้าสปอนเซอร์ไม่จ้างเราก็ไม่มีเงิน ไม่อยู่ได้จนทุกวันนี้ และเชื่อว่า เน็ตไอดอล ดาราที่ออกมา Call out ก็ต้องคิดแบบนี้เช่นกัน ก่อนเจ้าตัวจะหันไปหาน็อตแล้วถามว่า "ใช่ไหมคะพี่น็อต" ซึ่งน็อตก็ตอบรับนิ่งๆ ว่า "ครับ"

โดยพฤติกรรมดังกล่าว แม้จะถูกอกถูกใจชาวทวิตเตี้ยนผู้เห็นต่างกับน็อต วรฤทธิ์ แต่บางส่วนก็บ่นผิดหวังกับพฤติกรรมนารา เพราะมองว่าที่ผ่านมาน็อตก็ไม่ได้ออกตัวแรงขนาดนั้น เหมาะสมหรือไม่ที่จงใจไปหักหน้าน็อตกลางรายการ มองว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาทไปนิดนึง 
#3386



ถือได้ว่าการปล่อยอัลบั้มเต็มครั้งแรกในชีวิตของ มิว ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ กับอัลบั้ม "365" (Three Six Five) ในวันแรกบน iTunes ช่างร้อนแรงและสั่นสะเทือนทุกชาร์ตของ iTunes ทั่วโลก เพราะหลังจากที่ปล่อยอัลบั้มออกมาในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง ทั้งตัวอัลบั้มและเพลงต่างๆ ล้วนทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 และ Top10 ในหลายประเทศทั่วโลก

และยังเป็นเพียงศิลปินไทยหนึ่งเดียวที่สามารถพุ่งทะยานเข้าสู่ อันดับ 13 Global Digital Artists Rankings ท่ามกลางศิลปินอินเตอร์ระดับโลกในอันดับ Top20 นี้

เรียกได้ว่า มิว ศุภศิษฏ์ สร้างสถิติใหม่อันน่าทึ่งขึ้นอีกครั้ง กับการปล่อยอัลบั้ม "365"(Three Six Five) บน iTunes เพราะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากแฟนคลับทั่วโลก จนสามารถไต่อันดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ Top10 และติดอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในส่วนของตัวเพลงในอัลบั้ม และตัวอัลบั้มเอง

ดูได้จากชาร์ตล่าสุดในตอนนี้ที่เพลงฮิตมาแรงน่าจะเป็น Drowning ขึ้นอันดับ 1 ทั้งของประเทศไทยและในหลายที่ เช่น สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย และยังทะยานขึ้นสู่ชาร์ตต่างๆ ในอีกกว่า 28 ประเทศทั่วโลก และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การเข้าสู่อันดับที่ 13 บน Global Digital Artists Rankings ที่ยังไม่เคยเห็นมีศิลปินไทยได้ขึ้นมาสูงผ่านเข้ามาในอันดับ Top20 ได้


ก็ต้องเรียกว่าการที่ มิว ศุภศิษฏ์ ขึ้นมาสู่อันดับ 13 อยู่ท่ามกลางศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมายในชาร์ตนี้ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในฐานะนักร้องอย่างสุดๆ และนับว่าแฟนคลับต่างภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ที่มีศิลปินไทยสามารถเข้าสู่ชาร์ตนี้และติด 1 ใน Top20 ได้ ถือว่าได้รับการยอมรับในการเป็นศิลปินอย่างเต็มตัวจากอัลบั้มนี้

นี่ถือเป็นเพียงก้าวแรกของ อัลบั้ม "365" (Three Six Five) เท่านั้น เพราะในวันที่ 1 สิงหาคม จะสามารถฟังอัลบั้มนี้กันได้แบบเต็มๆ ผ่านทุกแพลตฟอร์ม ถึงเวลานั้น สถิติต่างๆ น่าจะเกิดการขยับขึ้นอีกครั้ง.
#3387



รายงานวิจัยล่าสุดของธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวประมาณ 18% ในปีนี้เพราะผลพวงของปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอันเนื่องมาจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และการที่จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19รายใหม่ในระลอกที่3ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวเลขประมาณการทางเศรษฐกิจที่บรรจุในรายงาน"สังเกตุการณ์เศรษฐกิจเมียนมา"และถูกนำออกเผยแพร่วานนี้(26ก.ค.)ร่วงลงเกือบ2เท่าเหลือ 10% ในเดือนมี.ค.และบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะแย่ลงยิ่งกว่านี้ในอีกสองสามเดือนข้างหน้า

ส่วนการคาดการณ์จากที่อื่นๆ ที่รวมถึงการคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.โดยฟิทช์ โซลูชันส์ หน่วยงานในเครือกลุ่มบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ประเมินว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัว 20% หรือมากกว่านั้นในปีงบประมาณนับจนถึงวันที่ 30 ก.ย.โดยอ้างถึงภาวะช็อคทางเศรษฐกิจเมื่อไม่นานมานี้

ธนาคารโลก ยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19สร้างผลกระทบเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญแก่เศรษฐกิจของเมียนมาทั้งยังคุกคามชีวิตและการทำมาหากินที่อาจจะกินเวลาไปจนถึงปี 2565

ทางการเมียนมารายงานว่า นับจนถึงวันที่ 24 ก.ค.ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศมีจำนวนเกือบ 260,000 ราย และยอดผู้เสียชีวิต 6,460 ราย ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายวันเฉลี่ยวันละประมาณ 6,000 ราย แม้ว่านี่อาจเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากข้อจำกัดในการตรวจหาเชื้อและการหลั่งไหลของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม รายงานวิจัยเศรษฐกิจของธนาคารโลกฉบับนี้มีมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจเมียนมาแย่ลง เพราะเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ธนาคารโลก ได้ออกรายงานคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเมียนมาจะหดตัวลง 10% ในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ, การผละงาน และการที่เมียนมาถูกนานาประเทศคว่ำบาตร หลังจากกองทัพเมียนมาได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งตัวเลขคาดการณ์นี้ สวนทางกับที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจเมียนมาจะขยายตัว 5.9% ในปีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขคาดการณ์แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

ธนาคารโลก ระบุว่า เมียนมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ประท้วง, การผละงาน และการใช้มาตรการทางทหาร ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การเคลื่อนไหวสัญจรภายในประเทศลดน้อยลง และทำให้การบริการในด้านต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ซึ่งรวมถึงการบริการในภาคธนาคาร, โลจิสติกส์ และอินเทอร์เน็ต

รายงานของธนาคารโลกยังระบุด้วยว่า กลุ่มผู้ประท้วงในเมียนมาพุ่งเป้าโจมตีไปที่เศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้านการก่อรัฐประหารของกองทัพเมียนมา ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบธนาคารของเมียนมา และยังทำให้นักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนออกจากประเทศไปจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลทหารเมียนมาชัตดาวน์ระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อสกัดการประท้วงไม่ให้ลุกลามนั้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเมียนมาด้วย

"ขณะที่การตรวจหาเชื้อโควิด-19ในเมียนมายังเป็นไปอย่างจำกัด จำนวนผู้มีผลตรวจเป็นบวกก็สูงมาก บ่อยครั้งพบว่ามีอัตรามากกว่า 33% บ่งชี้ว่ามีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในวงกว้างบวกกับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และพฤติกรรมเฝ้าระวังของผู้คนทำให้ความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจของเมียนมาเพิ่มขึ้น" รายงานของธนาคารโลก ระบุ

"คิม อลัน เอ็ดวาร์ดส์" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำเมียนมาของธนาคารโลก เตือนว่า เศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวมากกว่านี้ในช่วงปลายปีนี้เพราะการระบาดของโรคโควิด-19

"ขณะที่มีสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งชี้ถึงความมีเสถียรภาพในบางส่วนในช่วงเดือนพ.ค.และมิ.ย.ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและปัญหาการดิสรัปด้านโลจิสติกก็บรรเทาลง แต่หากมองภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยังถือว่าอ่อนแออยู่มาก และมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะหดตัวตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นไป "นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำเมียนมาของธนาคารโลก กล่าว


ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของเมียนมาจะอยู่ที่ 6% ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5.8% ในปี 2563 และมีแนวโน้มว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า อัตราเงินเฟ้อในเมียนมาอาจเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หลังจากเมื่อไม่นานมานี้ มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเมื่อทางการพิมพ์ธนบัตรใหม่ๆออกมาสู่ระบบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังอ้างถึงราคาเชื้อเพลิงในเมียนมาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเพิ่มขึ้น 50% นับตั้งแต่ปลายเดือนม.ค.การที่เงินจัตอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว โดยอ่อนค่าลงไปประมาณ 23% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่วันที่ 1ก.พ.-กลางเดือนก.ค. ประกอบกับภาวะขาดแคลนอาหารในช่วงที่คนทั้งประเทศวิตกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาความขัดแย้ง

ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมปัญหาต่างๆที่มีอยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก จนส่งผลให้ความต้องการบริโภคในประเทศลดลงเพราะคนตกงานจากมาตรการล็อกดาวน์และตัวแปรอื่นๆที่จะหนุนอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะการที่ราคาสินค้าประเภทอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น
#3388



ซีรี่ส์เกาหลีโรแมนติกแฟนตาซี "The Great Shaman Ga Doo Shim" เมื่อ 2 นักเรียนมัธยมปลายต้องต่อสู้กับผี เริ่มฉาย 30 ก.ค. นี้


จากดาราเด็กเกาหลีชื่อดังที่แฟนซีรีส์แดนกิมจิชาวไทยคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดี เติบโตสู่การเป็นวัยรุ่นเต็มโต 'นัมดารึม' (Nam Da Reum) และ คิมแซรน (Kim Sae Ron) ได้ก้าวขึ้นมารับบทพระ-นางคู่กันแล้ว ในซีรี่ส์เกาหลีโรแมนติกแฟนตาซีเรื่อง The Great Shaman Ga Doo Shim (เดอะ เกรท ชาแมน กา ดู ชิม)


'The Great Shaman Ga Doo Shim' เป็นเรื่องราวของเด็กสาว 'กาดูชิม' ในวัย 18 ปี ที่ถูกชะตากำหนดให้ต้องรับการสืบทอดเป็นหมอผี ในขณะที่เธอเองปรารถนาจะใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป เธอมีบุคลิกที่กล้าหาญและแข็งแกร่ง สามารถต่อกรกับวิญญาณชั่วร้าย เธออยากใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไป แต่เมื่อย้ายมาโรงเรียนมัธยมแห่งใหม่ กลับเจอวิญญาณและเรื่องลึกลับ และได้พบกับ 'นาอูซู' นักเรียนชายมัธยมปลายที่ดูมีความเพรียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ด้วยฐานะทางบ้านอันมั่งคั่งร่ำรวย หน้าตาหล่อเหลา และมีผลการเรียนที่โดดเด่น แต่เมื่อกาดูชิมเข้ามาในชีวิตของเขา เขาก็ได้รับความสามารถในการมองเห็นวิญญาณ ซึ่งทั้งสองเข้าไปพัวพันกับคดีลึกลับและต้องการไขความจริงให้กระจ่าง

ซีรีส์เกาหลีเรื่อง The Great Shaman Ga Doo Shim เริ่มฉาย 30 ก.ค. นี้ ทางแอป iQiyi (อ้ายฉีอี้) และเว็บ iQ.com
#3389
น้ำมันว่านจูงนาง   ใส่ตะกรุดนะเมตตามหานิยม ให้ทุกขวด  ขวดละ 399 บาท


 หุงด้วย น้ำมันบารมีครู 108 มหามงคล (น้ำมันแช่เหล็กไหลไพลดำ น้ำมันว่านไก่แดง น้ำมันว่าน 108 น้ำมันเกราะเพชร น้ำมันจักรพรรดิ น้ำมันชาตรี มวลสารมหามงคล 108 รัตนชาติฐานรองพระธาตุพระสีวลี )  

ช่วยในเรื่องเมตตา มหาเสน่ห์และโชคลาภ

คาถากำกับ     ปาสุอุชา จิตตังภิกขิรินิเม    ท่อง  9 จบ

แล้วอธิษฐานใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว

ว่านจูงนางนักเลงชาย หญิง แต่โบราณ ชอบสาว ชอบหนุ่มใด มักจะเอาดอกเอาต้นว่านไปแช่น้ำมันจันทร์บ้างน้ำมันเสน่ห์ต่างๆหรือผสมกับสีผึ้งใช้ติดตัวทางปาก ทาหน้าทางมือ เพราะมีความเชื่อว่าว่านจูงนางนี้มีพลังเสน่ห์เมตตามหานิยมรุนแรง ต่อเพศตรงข้าม หรือเพศเดียวกัน ชักจูงได้ง่าย ทำให้อีกฝ่ายคล้อยตามง่าย เชื่อง่าย และยังกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่ายให้เกิดความหลงใหลได้อย่างง่ายดาย และว่านจูงนางนี้ยังสามารถช่วยให้เจรจาค้าขายกับผู้คนต่างๆอย่างได้ผลพ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจมักมีติดตัวไว้ใช้กัน

 ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลย

หรือติดต่อได้ที่
โทร. 0846623662
id line : teerapat999

ลาซาด้า
 https://www.lazada.co.th/products/-i1162308605-s2732826682.html?search=store?spm=a2o4m.10453683.0.0.10b96d16q6OJEJ&search=store 
#3390



เมื่อวันที่ 27 ก.ค. พ.อ.กฤษภาณุ จํานงค์วงศ์ รองผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา  ได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาวที่ติดเชื้อโควิด 19 ถูกสามีทำร้ายร่างกายและไล่ออกจากบ้าน จนต้องหอบเสื้อผ้าออกมานั่งอยู่ริมถนนสุขุมวิทใกล้ทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าบางปิ้ง ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยชุดเฉพาะกิจต่อต้านโควิด เทศบาลนครสมุทรปราการ เดินทางเข้าตรวจสอบ 

ในที่เกิดเหตุได้พบหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปี เศษนั่งอยู่บนฟุตปาธโดยมีกระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่ข้างตัวทราบชื่อภายในหลังชื่อ น.ส.จันทรา ภักดิ์ชัยภูมิ อายุ 24 ปี นั่งร้องไห้อยู่บนฟุตปาธริมถนน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบประวัติการตรวจหาเชื้อโควิดในระบบของจังหวัดสมุทรปราการ พบว่า น.ส.จันทรา ได้เข้าตรวจหาเชื้อโควิดที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และผลตรวจยืนยันออกมาเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ว่าติดเชื้อโควิด 19 


ด้านนางนุชราพร สยาม อายุ 50 ปี แม่ของหญิงสาวคนดังกล่าว ได้เล่าว่า ลูกสาวตนได้แยกไปอยู่กับแฟนที่บ้านซึ่งอยู่ภายในซอยวัดในสองวิหารห่างจากบ้านตนประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโควิดอย่างหนักในพื้นที่ตำบลปากน้ำ ลูกสาวตนจึงได้วอล์กอินเข้าไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมาและและผลการตรวจออกมาเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พบว่าติดเชื้อโควิด ลูกสาวจึงกักตัวอยู่ที่บ้านแฟนระยะเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีอาการอะไร จนกระทั่งเมื่อวาน(25ก.ค.)ลูกสาวได้โทรมาบอกว่าอาเจียนและก็ท้องเสีย และมีอาการเจ็บหน้าอก ตนจึงโทรไปบอกหมอ แต่พอหมอเข้าไป คนที่บ้านโน้นเขาก็ไล่หมอ ไม่ให้เข้าไป ก่อนจะทำร้ายร่างกายลูกสาวตนพร้อมทั้งไล่ลูกสาวตนออกจากบ้าน

จนลูกสาวตนต้องหอบเสื้อผ้าเดินหอบร่างกายอันบอบช้ำ ออกจากบ้านแฟนมานั่งร้องไห้อยู่ที่บนฟุตปาธริมถนน ไม่กล้าเข้าไปที่บ้านตนเพราะเกรงว่าจะนำเชื้อโควิดมาติดคนในบ้าน ก่อนที่จะโทรศัพท์มาบอกตนเพื่อขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ทหาร กอ.รมน.และเจ้าหน้าที่กู้ชีพของเทศบาลนครเข้ามาให้การช่วยเหลือ

 


ด้านพ.อ.กฤษภาณุ กล่าวว่า หลังจากที่เข้าตรวจสอบแล้ว พบว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 ที่แสดงอาการแล้ว หากปล่อยไว้ก็อาจจะมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้  ประกอบกับในจุดที่หญิงสาวคนดังกล่าวมานั่งอยู่ใกล้กับชุมชน ซึ่งมีชาวบ้านพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะเป็นการแพร่เชื้อโควิดได้ จึงได้ประสานไปทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรปราการ เพื่อขอนำตัวหญิงสาวรายนี้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามที่ 5 ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการของ WHA คลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยมีเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจต่อต้านโควิด เทศบาลนครสมุทรปราการ เป็นผู้นำส่งพร้อมทั้งทำการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อในจุดที่หญิงสาวคนดังกล่าวนั่งและสัมผัสเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้าน
#3391


ห่างหายไปหลายวันกับการอวดเซ็กซี่ให้แฟนๆ ชุ่มชื่นใจสำหรับเน็ตไอดอลสาว เอื้อย พรสวรรค์ หวานใจของนักร้องเสียงดี อาร์ เดอะสตาร์ ที่ล่าสุดขออวดความเซ็กซี่อีกรอบ ผ่านชุดวันพีซผ่าหน้าลึก ซึ่งเป็นกึ่งสปอร์ต งานนี้ต้องบอกเลยว่าสาวเอื้อยใส่แล้ว ดูยังไงก็แซ่บมากๆ ไหนจะท่าโพสอีก แม้ออกมาแนวกีฬา แต่คอมเมนต์ไม่ธรรมดาจริงๆ


โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่ที่ส่งหาสาวเอื้อยนั้นก็มีทั้ง สวยมากแม่ สวยแซ่บ, ชอบนะแซ่บมาก, อยากสวยแบบนี้ทำไง, อยากเห็นตัวจริง, หุ่นดีมากกินอะไรอ่ะ, กินข้าวบ้างหรือเปล่าถามจริง, สวยมากเลย แบบว่าปัง ชอบมาก ฯลฯ


ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @ueay_pornsawan
#3392
ฟรี!! แอพสติ๊กเกอร์ที่ส่งไปได้ทั้ง Line, Facebook, Whatsapp และ WeChatแชทสติ๊ค มาร์เก็ต แหล่งรวมผลงานสติกเกอร์ จากแบรนด์ดังและเหล่าครีเอเตอร์มากมาย โดยจัดหมวดหมู่สติกเกอร์ และจัดอันดับสติกเกอร์สุดฮิตให้คุณไม่ตกเทรนด์คุณจะสามารถส่งสติกเกอร์ไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line, Messenger, Whatsapp, Skype หรือในทุกช่องทางการแชทไหนก็ทำได้ให้คุณเพลิดเพลินไปกับการแชทที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
https://www.chatstickmarket.com/single-post/chatstickmarket

iOS ดาวน์โหลดที่นี่
Android ดาวน์โหลดที่นี่

#3393


สรุปผลการมอนิเตอร์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบมีข้อความที่ต้องคัดกรอง 8.2 ล้านข้อความ เปิด 3 อันดับข่าวคนสนใจมากสุด พบโควิดยังยึดพื้นที่เฟคนิวส์

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมตลอดช่วงสัปดาห์นี้ (18-22 ก.ค. 64) โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีข้อความที่ต้องคัดกรองทั้งสิ้น 8,246,481 ข้อความ ในจำนวนนี้พบข้อความที่เข้าเกณฑ์ต้องดำเนินการตรวจสอบ 145 ข้อความ เป็นจำนวนเรื่องที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด 79 เรื่อง โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 มากถึง 50 เรื่อง

ทั้งนี้ เมื่อดูจากปริมาณข้อความเบาะแสข่าวปลอม พบข้อสังเกตน่าสนใจว่า ประชาชนจะเผชิญกับเนื้อหาบนโซเชียล/โลกออนไลน์ที่มีแนวโน้มอยู่ในกลุ่มข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน เฉลี่ยวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความต่อวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ จะมุ่งทำงานเชิงรุกในการบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งประสานงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องสู่ประชาชนและสังคมอย่างรวดเร็ว ลดความตื่นตระหนกและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ทันการณ์

สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 3 อันดับแรกตลอดช่วงสัปดาห์นี้ ได้แก่ 1. เตือนเฝ้าระวังใน 24 ชม. จะเกิดแผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และน้ำป่า 2. เครื่องตรวจวัดออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ และ 3.กองทัพบก ประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า ก่อนประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ กทม.

นางสาวนพวรรณ กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือประชาชน เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียล ควรตรวจสอบให้รอบด้าน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter  เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือ ข่าวบิดเบือน
#3394
แม่ค้าออนไลน์ต้องรู้ 6 วิธีเพิ่มจำนวนคนเห็นโพสต์แบบไม่ต้องเสียเงินhttps://www.chatstickmarket.com/single-post/onlinesellersmustknow6waystoincreasethenumberofpeoplewhoseepostswithoutpaying

#3395


ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันศุกร์ (23ก.ค.)ปรับตัวขึ้น 238 จุด ทะลุแนว 35,000 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 238.20 จุดหรือ 0.68% ปิดที่ 35,061.55 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ขยับขึ้น

1.01% ปิดที่ 4,411.79 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 1.04% ปิดที่ 14,836.99 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 0.07% เมื่อวันพฤหัสบดี(22ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดี ช่วงบวกของตลาดถูกจำกัดจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยเฉพาะตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่สูงเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวสู่ระดับ 1.3% ในวันนี้ ซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดิ่งลงแตะ 1.13% ในช่วงต้นสัปดาห์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน

การซื้อขายในวันนี้ ยังคงได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส โดยบริษัทราว 15% ในดัชนีเอสแอนด์พี 500รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว ซึ่ง 88% จากจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ 84% มีรายได้สูงกว่าคาด

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้แก่ เฟซบุ๊ค แอ๊ปเปิ้ล อเมซอน อัลฟาเบท และไมโครซอฟท์ รวมทั้งการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 27-28 ก.ค.

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นในขณะนี้
#3396


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) วานนี้ (22 ก.ค.) เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และพิจารณาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษก ศบศ.เปิดเผยว่า ศบศ.ได้พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าไทยตามข้อเสนอทีมปฏิบัติการเชิงรุกทาบทามบริษัทเอกชนไทยและต่างประเทศที่มี ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติกลุ่มเป้าหมาย โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาข้อเสนอในรายละเอียดต่อไป

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า ทีมปฏิบัติการเชิงรุกการลงทุนเสนอดึงกลุ่มแรงงานศักยภาพสูงและกลุ่มคนต่างชาติที่มีรายได้สูงมาพำนักไทย 1 ล้านคน ในปีนี้ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศจากคนกลุ่มนี้ 1 ล้านล้านบาท และเกิดการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาท ภาครัฐมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น 2.5 แสนล้านบาท โดยมีข้อเสนอ คือ รัฐบาลไทยให้วีซ่าคนกลุ่มนี้ 10 ปี ได้รับอนุญาตทำงานโดยไม่ต้องขอใบอนุญาตทำงาน ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายได้จากต่างประเทศ คิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากรายได้ในไทยในอัตราคงที่ 17% (จากเดิมเสียภาษีอัตราก้าวหน้าสูงสุด 35%) ได้เจ้าของหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ระยะยาว รวมที่ดินได้

ทั้งนี้ ศบศ.ยังไม่เห็นชอบและให้ทุกฝ่ายหารืออีกครั้งก่อนเสนอ ศบศ.ครั้งต่อไป

"กระทรวงการคลัง และทีม ม.ล.ชโยทิต คุยกันนอกรอบแล้วก่อนเสนอ ศบศ.แต่สื่อสารผิดพลาดในการประชุมครั้งนี้ ทำให้ยังไม่ได้รับพิจารณา และกลับไปหารือกันอีก รวมทั้งแพคเกจการลงทุนที่เป็นมาตรการภาษีในส่วนอื่นด้วยก่อนเสนอ ศบศ.อีกครั้ง"แหล่งข่าว ระบุ 

รายงานข่าวระบุว่า การประชุม ศบศ.เดือน มิ.ย.2564 มีข้อเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ได้แก่ 

1.ประชากรที่มีความมั่งคั่งสูง ต้องลงทุนขั้นต่ำ 500,000 ดอลลาร์ ในพันธบัตรรัฐบาลไทย ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ ในอสังหาริมทรัพย์ และมีรายได้ขั้นต่ำปีละ 80,000 ดอลลาร์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีทรัพย์สินขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์ หรือ 30 ล้านบาท มีประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษา 100,000 ดอลลาร์ขึ้นไป

2.ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ อายุ 50 ปีขึ้นไป มีรายได้จากการเกษียณอายุในต่างประเทศ ลงทุนขั้นต่ำในไทย 250,000 ดอลลาร์ มีรายได้ขั้นต่ำปีละ 40,000-80,000 ดอลลาร์ มีประกันสุขภาพ คุ้มครองค่ารักษา 100,000 ดอลลาร์ขึ้นไป
#3397



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (21 ก.ค.) เวลา 10.30 น. สมาคมสายการบินประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 7 สายการบินในไทย ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ นกแอร์ ไทยสมายล์ ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท เตรียมจัดแถลงข่าวออนไลน์ โดยมีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของทั้ง 7 สายการบินเข้าร่วมเพื่อเรียกร้องขอให้รัฐบาลเร่งเยียวยาผู้ประกอบการสายการบิน

หลังสายการบินได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2563 จนถึงปัจจุบัน สมาชิก 7 สายการบินของสมาคมสายการบินประเทศไทย จึงรวมตัวกันยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลถึงมาตรการเยียวยาผลกระทบต่อสายการบินในฐานะด่านหน้าในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยติดตามผลมาตลอด และยังไม่ได้รับการอนุมัติ

ล่าสุดจากประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ฉบับที่ 3 เรื่องแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินในเส้นทางบินภายในประเทศ เริ่มมีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (21 ก.ค.) นี้ สาระสำคัญระบุไว้ดังนี้

ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ (Domestic Flight) ที่ให้บริการผู้โดยสาร (Passenger Flight) เท่านั้น

ห้ามมิให้สายการบินปฏิบัติการบินรับส่งผู้โดยสารเข้าหรือออกพื้นที่ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ในช่วงเวลาที่มีการระบาดสูงตามข้อกำหนด เว้นแต่ (1) เป็นเที่ยวบินที่เกี่ยวข้องกับโครงการพื้นที่นำร่องเปิดประเทศ (Sandbox) (2) เป็นกรณีอากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency Landing) หรือขอลงทางเทคนิค (Technical Landing) โดยไม่มีผู้โดยสารลงจากเครื่อง หรือ (3) มีความจำเป็นและได้รับอนุญาตจาก กพท. ซึ่งจะต้องแสดงหลักฐานเพื่อแสดงความจำเป็นนั้นเพื่อประกอบการขออนุญาต เช่น เพื่อเข้ารับบริการทางการแพทย์ เพื่อการรับวัคซีน เป็นต้น

สำหรับสนามบินที่สามารถให้บริการได้ เช่น การบินข้ามภูมิภาค สายการบินจะต้องมีจำนวนผู้โดยสารได้ไม่เกิน 50% ของปริมาณที่นั่งของเที่ยวบินนั้นๆ และให้สายการบินพิจารณาการจัดที่นั่งในเครื่องบินอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้เกิดความหนาแน่น แออัด อันจะมีส่วนช่วยในการป้องกันควบคุมโรค ในกรณีที่ผู้โดยสารเดินทางมาด้วยกัน สามารถให้นั่งติดกันได้
สำหรับซีอีโอของทั้ง 7 สายการบิน ประกอบด้วย

1.นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และนายกสมาคมสายการบินประเทศไทย โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้ประกาศหยุดบินเส้นทางในประเทศตั้งแต่วันที่ 13-31 ก.ค.2564 เหลือเฉพาะเส้นทางบินที่เกี่ยวข้องกับการนำร่องเปิดประเทศ ได้แก่ เส้นทางภูเก็ต-สมุย เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางจากโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สู่โครงการสมุย พลัส โมเดล นอกจากนี้ยังมีเส้นทางกรุงเทพฯ-สมุย ซึ่งให้บริการรองรับเฉพาะผู้โดยสารจากต่างประเทศที่ต่อเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิมายังสมุย

2.นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย ซึ่งประกาศหยุดบินเส้นทางในประเทศชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 12-31 ก.ค.2564

3.นายนัตดา บุรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ซึ่งประกาศหยุดบินเส้นทางระหว่างประเทศตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก

4.นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกแอร์ ซึ่งประกาศยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมด

5.นางชาริตา ลีลายุทธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ส ซึ่งประกาศยกเลิกเส้นทางบินในประเทศทั้งหมด

6.นายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ซึ่งประกาศยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมด

7.นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยเวียตเจ็ท ซึ่งประกาศยกเลิกทำการบินทั้งหมด คงเหลือเฉพาะเที่ยวบินขนส่งสินค้าทางอากาศ (Cargo Flight)
#3398


การระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นจากเชื้อกลายพันธุ์ทำให้ความต้องการวัคซีนเพิ่มขึ้น วัคซีนยังอยู่ในภาวะขาดแคลนไปอีก 2 ปี เพื่อให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนประสิทธิภาพสูงมากขึ้น "ทีดีอาร์ไอ"เสนอให้ตั้งคณะทำงานจัดหาวัคซีนของประเทศขึ้นมาเจรจาเรื่องนี้

จากประสบการณ์หลายประเทศการได้รับวัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ  ทั่วถึง และรวดเร็ว คือทางออกจากวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ที่ได้ผลที่สุด และคาดว่าประเทศส่วนใหญ่จะยังต้องมีการฉีดวัคซีนต่อเนื่องในระยะยาวตามการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ทำให้มีการปรับการคาดการณ์ว่าปริมาณวัคซีนในโลกจะยังคงไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี ความเชื่อที่ว่าในปีหน้าตลาดวัคซีนจะเริ่มกลายเป็นตลาดของผู้ซื้อจนทำให้ไม่ต้องวางแผนมากนักในการจัดหาวัคซีน น่าจะไม่เป็นจริงอีกต่อไป 

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โดยคณะนักวิจัย ได้แก่ นายวิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัย ด้านสาธารณสุขและการเกษตร นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และ นพ.ต่อพงศ์ อัศวิษณุ  ที่ปรึกษา ด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทีดีอาร์ไอ ได้ร่วมกันนำเสนอเรื่องการจัดหาและกระจายวัคซีนในประเทศไทยในปี 2564 - 2565  โดยเน้นในด้านการจัดหานั้นจะพิจารณาควบคู่ไปกับการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนภายในประเทศด้วย

การจัดหาวัคซีนจากต่างประเทศ เ

ป้าหมายที่สำคัญในการจัดหาวัคซีนของไทยในปัจจุบันก็คือ ต้องบริหารความเสี่ยงโดยคำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ซึ่งประกอบด้วยหลักการและแนวปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.ควรตั้งเป้าหมายโดยมุ่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA หรือ protein subunit และวัคซีนที่มีประสิทธิภาพรองลงมาแต่ยังใช้ได้ผลดี เช่นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี viral vector ซึ่งวัคซีนเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต และยังสามารถป้องกันการติดเชื้อได้มากกว่าวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีที่เก่ากว่าด้วย นอกจากนั้น วัคซีนเหล่านี้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในระดับที่ค่อนข้างสูง


ซึ่งงานวิจัยในระยะหลังบ่งชี้ว่าวัคซีนที่สร้างระดับภูมิคุ้มกันได้สูงมักมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ดีกว่าวัคซีนที่สร้างระดับภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าหรือมีระดับภูมิคุ้มกันตกลงเร็วกว่า การใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงจึงน่าจะช่วยให้ประเทศไทยเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้เร็วขึ้น ป้องกันการติดเชื้อและคงประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้ดีกว่า และช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาพื้นตัวได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ แผนการจัดหาวัคซีนควรมีความยืดหยุ่นเพียงพอในการปรับสัดส่วนการจัดหาวัคซีนชนิดต่างๆ ตามผลการวิจัยด้านประสิทธิผลที่มีอยู่ปัจจุบันและที่จะออกมาในอนาคตเป็นระยะๆ

2.เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณในการจัดหาวัคซีนประสิทธิภาพสูงอย่างเพียงพอ เพราะถ้าหากสามารถรักษาชีวิตของประชาชนจำนวนมากและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว ก็จะมีความคุ้มค่าอย่างแน่นอน รัฐบาลจึงไม่ควรตั้งเป้าหมายในการจัดหาให้ได้วัคซีนเหล่านี้ในราคาถูก แต่ควรตั้งเป้าจัดหาวัคซีนประสิทธิภาพสูงอย่างน้อย 150 ล้านโดสหรือมากกว่านั้นในปี 2565 เพื่อให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม รวมทั้งชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยถาวรในประเทศไทยด้วย

และถ้าหากจัดหาได้เกินความต้องการในประเทศ ก็สามารถขายต่อหรือบริจาคให้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับไทย หรือนำวัคซีนส่วนเกินมาฉีดให้กับแรงงานที่ข้ามพรมแดนไทยเป็นประจำเพื่อช่วยลดโอกาสการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทยเองด้วย ส่วนเป้าหมายในปี 2564 ก็ยังควรพยายามอย่างถึงที่สุดในการจัดหาให้ได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิม 100 ล้านโดส โดยมีสัดส่วนของวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

3.ในกรณีที่ไม่สามารถจัดหาวัคซีนประสิทธิภาพสูงตามเป้าหมายข้างต้น หลังจากใช้ความพยายามทุกวิถีทางแล้ว อาจจัดหาวัคซีนกลุ่มอื่นมาทดแทนได้ หากสถานการณ์การระบาดรุนแรง ทำให้มีความต้องการวัคซีนจำนวนมากกว่าวัคซีนประสิทธิภาพสูงที่จัดหามาได้ โดยอาจใช้วัคซีนทดแทนดังกล่าวกับกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่รัฐบาลจะต้องสื่อสารต่อประชาชนอย่างชัดเจนว่าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วในการจัดหาวัคซีนประสิทธิภาพสูง และมีความจำเป็นที่ต้องจัดหาวัคซีนทดแทนมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน

4.เพื่อเพิ่มโอกาสสูงสุดที่จะให้ได้วัคซีนประสิทธิภาพสูงอย่างเพียงพอและทันกับสถานการณ์  รัฐควรจัดตั้ง "คณะทำงานของประเทศเพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19" โดยให้มีนักธุรกิจที่มีประสบการณ์สูงเป็นหัวหน้าคณะ และให้มีอิสระในการเลือกคณะทำงานจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และวัคซีน ทูต นักธุรกิจและนักเจรจาการค้าที่มีความสามารถจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยให้ทำงานเต็มเวลาหรือเกือบเต็มเวลา ไม่ให้มีภารกิจอื่นรบกวนในระหว่างทำหน้าที่นี้ การทำงานไม่ถูกจำกัดหรือถูกจำกัดน้อยที่สุดจากระเบียบราชการ ดังตัวอย่างของคณะทำงานในลักษณะเดียวกันในอังกฤษ  คณะทำงานนี้จะเป็นตัวแทนของรัฐบาลไทยในการติดต่อและเจรจาซื้อวัคซีนจากบริษัทผู้ขายได้อย่างอิสระ ภายใต้วงเงินงบประมาณที่กำหนดไว้ (ซึ่งมีความยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์อุปสงค์และอุปทานสำหรับวัคซีนในตลาดโลก) คณะทำงานฯ ต้องรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างโปร่งใสต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง (เท่าที่ไม่ขัดกับข้อตกลงการรักษาความลับทางการค้าที่คู่เจรจากำหนด) 

เพื่อให้คณะทำงานฯ สามารถจัดหาวัคซีนได้โดยไม่ติดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ควรให้การจัดหาวัคซีนสามารถดำเนินการได้โดยใช้อำนาจตามมาตรา 18(4) ของพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 อันเป็นแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลใช้ในการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็น พ.ศ. 2563 ซึ่งมีผลคุ้มครองคณะทำงานไม่ให้มีความรับผิดในกรณีที่จัดหาวัคซีนที่อยู่ในระหว่างการทดลองแต่ในภายหลังไม่ผ่านการอนุมัติ เว้นแต่จะมีหลักฐานโดยประจักษ์ชัดว่าดำเนินการโดยทุจริต 

- เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับวัคซีนประสิทธิภาพสูงเร็วขึ้นและในปริมาณมากขึ้น ในระยะแรกรัฐบาลอาจสนับสนุนให้เอกชนสามารถจัดหาวัคซีนทางเลือกได้คล้ายกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่อาจยังยึดถือแนวคิดว่าการได้รับวัคซีนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นสิทธิ์พื้นฐานตามรัฐธรรมนูญที่รัฐควรจัดให้ประชาชนทุกคน

ดังนั้นหากวัคซีนทางเลือกถูกนำมารวมกับวัคซีนหลักที่คณะทำงานฯ จัดหามาและกระจายให้ทุกคนตามยุทธศาสตร์การกระจายวัคซีน รัฐบาลก็ควรเป็นผู้จ่ายค่าวัคซีนที่เอกชนนำเข้ามาทั้งหมด (แต่ต้องใกล้เคียงกับต้นทุนรวมของวัคซีนหลักประเภทเดียวกันหรือที่เทียบเคียงได้ที่คณะทำงานฯ จัดหามาได้ เพื่อป้องกันการนำเข้าวัคซีนทางเลือกที่แพงอย่างไม่สมเหตุผล) รวมทั้งค่าดำเนินการจัดหาให้เอกชนผู้นำเข้าด้วย แต่หากประชาชนบางกลุ่มต้องการได้รับวัคซีนก่อนและมีวัคซีนเพียงพอสำหรับฉีดให้กลุ่มเป้าหมายหลักตามยุทธศาสตร์การกระจายวัคซีนของประเทศแล้ว ก็อาจอนุญาตให้คนทั่วไปจองซื้อวัคซีนทางเลือกได้โดยรัฐบาลยังคงอุดหนุนต้นทุนบางส่วนแต่ต้องไม่เกินต้นทุนรวมต่อโดสของวัคซีนหลักประเภทเดียวกันหรือที่เทียบเคียงได้ที่คณะทำงานฯ จัดหามาได้

- ในกรณีที่คณะทำงานฯ ประสบความสำเร็จในการจัดหาวัคซีนตามเป้าหมายทั้งในปี2564-2565 และปีต่อ ๆ ไป อาจพิจารณายกเลิกการจัดหาวัคซีนทางเลือกในส่วนภาคเอกชนก็ได้ เพื่อป้องกันปัญหาความเหลื่อมล้ำในการได้รับวัคซีนของประชาชนกลุ่มต่างๆ 

- การเจรจาซื้อวัคซีนทั้งในส่วนภาครัฐและภาคเอกชน ควรคำนึงถึงการได้มาซึ่งวัคซีนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสามารถป้องกันการติดเชื้อที่กลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ได้ดีที่สุด โดยเลือกเจรจากับบริษัทที่มีแผนการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่อยู่แล้วหรือมีแผนที่ชัดเจนว่าจะพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ และควรระบุในสัญญาให้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะได้รับวัคซีนนั้นตามจำนวนที่เจรจากันทันทีที่บริษัทสามารถผลิตวัคซีนรุ่นใหม่ได้

- รัฐบาลควรพิจารณาเข้าสู่โครงการ COVAX ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนมากขึ้นในระยะเฉพาะหน้านี้ แต่ก็เป็นการประกันความเสี่ยงในอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน 

- รัฐบาลควรร่วมมือกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าในการพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายปริมาณการผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้ได้มากขึ้นโดยเร็ว โดยไทยควรได้สิทธิ์ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในการผลิตที่เพิ่มขึ้น เฉพาะในกรณีที่สถานการณ์การระบาดของไทยมีแนวโน้มเลวร้ายลงจนกระทบระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเท่านั้น ที่รัฐบาลอาจพิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา18 (2) ของพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เป็นทางเลือกสุดท้ายในการกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีน เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์กับทั้งบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและกับแผนการควบคุมโรคของประเทศที่สั่งจองและรอรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่จะนำเข้าจากไทยด้วย

การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนภายในประเทศ

ในปัจจุบัน หน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยมีศักยภาพในการวิจัยและพัฒนา และแม้กระทั่งส่งออกวัคซีนสำหรับป้องกันโรคบางชนิด  ในกรณีวัคซีนโควิด-19 เรามีการวิจัยและพัฒนาวัคซีนกว่า 20 ชนิด ซึ่งมีทั้งวัคซีนชนิด mRNA, protein-subunit, DNA และวัคซีนเชื้อตาย  และที่สำคัญ ไทยยังประสบความสำเร็จในการรับจ้างผลิตวัคซีนชนิด viral-vector ให้แอสตร้าเซนเนก้าโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์  

ด้วยศักยภาพดังกล่าว ภาครัฐจึงควรให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาและผลิตวัคซีนในประเทศที่มีขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตที่ได้มาตรฐานสากลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาและผลิตวัคซีนประสิทธิภาพสูงในลักษณะที่ยืดหยุ่นกว่าการใช้เงินงบประมาณปกติ รวมถึงส่งเสริมให้บริษัทผลิตวัคซีนระดับโลกมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นด้วย เพื่อให้ประเทศไทยมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการได้มาซึ่งวัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งมีความพร้อมในการรับมือโรคอุบัติใหม่ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการตั้งความหวังที่เกินจริงต่อการผลิตวัคซีนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตั้งความหวังดังกล่าวนำไปสู่การดำเนินการที่ส่งผลให้การจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงจากต่างประเทศในปริมาณน้อยหรือล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น


การกระจายวัคซีน

ในด้านการกระจายและระดมฉีดวัคซีนนั้น ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความสามารถในการฉีดวัคซีนได้เร็วพอสมควร แต่ประสบปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอ ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน และความสับสนในการสื่อสารระหว่างหน่วยงานในเรื่องประมาณการจำนวนวัคซีนที่แต่ละหน่วยงานฉีดวัคซีนจะได้รับการจัดสรรจนทำให้ต้องเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปกระทั่งกับผู้สมควรได้รับวัคซีนลำดับแรก ๆ จำนวนการฉีดต่ำกว่าที่วางแผนไว้มากจนเกิดความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดสก่อนสิ้นปี 2564 และยังมีปัญหาการกระจายวัคซีนที่บิดเบือนไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ ซึ่งส่วนสำคัญน่าจะเป็นผลจากการตัดสินใจทางการเมืองที่คำนึงถึงเป้าหมายอื่นมากกว่ายุทธศาสตร์ที่วางไว้ ปัจจัยเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบในด้านลบ ทั้งต่อการควบคุมการระบาด การลดความสูญเสียชีวิตของประชาชนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาโดยเร็ว

ทั้งนี้ในช่วงประมาณสองเดือนที่ผ่านมา การกระจายวัคซีนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความโกลาหลในวงกว้างและกระทบคนจำนวนมากด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการคือ การได้รับวัคซีนที่จัดซื้อมาล่าช้ากว่าที่คาด และ การแย่งบทบาทกันในการกระจายวัคซีนระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยขาดการประสานงานที่ดี และมีการเปลี่ยนแปลงกลุ่มเป้าหมายในการกระจายวัคซีนไปมาหลายครั้งตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น 

รัฐบาลควรพยายามกลับไปใช้แนวทางการมีช่องทางหลักช่องทางเดียวในการจองฉีดวัคซีนของประชาชน โดยใช้ระบบการจองผ่านแอพพลิเคชัน "หมอพร้อม" แทนการจองผ่านหลายช่องทางในปัจจุบัน และควรเชื่อมโยงข้อมูลโรคประจำตัวของกลุ่มเสี่ยงจากโรงพยาบาลต่างๆ เข้ากับระบบดังกล่าวอย่างครบถ้วน เนื่องจากการมีช่องทางหลักช่องทางเดียวสำหรับประชาชนทุกกลุ่มจะช่วยให้ระบบสามารถจัดลำดับในการรับวัคซีนของประชาชนตามยุทธศาสตร์ในการกระจายวัคซีนที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้ ในขณะที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการแทรกแซงทางการเมืองหรือการปล่อยให้สถานพยาบาลใช้ดุลยพินิจในการปรับเปลี่ยนการฉีดวัคซีนเอง ระบบหมอพร้อมควรเพิ่มการแจ้งเตือนประชาชนให้มาฉีดเมื่อใกล้เวลา การแจ้งเสนอให้ผู้จองฉีดลำดับถัดไปเลื่อนคิวขึ้นมาได้หากมีผู้ถึงกำหนดฉีดแต่ไม่มาฉีดจำนวนมาก รวมทั้งการเลื่อนการฉีดออกไปเมื่อวัคซีนมีปริมาณไม่มากเท่ากับที่คาดการณ์ไว้ หรือมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการกระจายวัคซีน

อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีช่องทางอื่นเสริมเพื่อรองรับประชากรที่ไม่สะดวกในการใช้แอพพลิเคชัน เช่น ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้สูงอายุ หรือแรงงานข้ามชาติ หรือเพื่อระดมฉีดวัคซีนในชุมชนหรือคลัสเตอร์ที่มีการระบาดอย่างรุนแรงเช่นในแคมป์คนงานและชุมชนโดยรอบ  ทั้งนี้ช่องทางเสริมควรมีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และต้องเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ระบบกลางโดยเร็ว เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้

ประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวกับวัคซีน 

การฉีดวัคซีนกระตุ้นหลังจากเข็มที่สอง รวมทั้งการสลับชนิดวัคซีน ควรเกิดขึ้นเมื่อมีงานวิจัยเบื้องต้นรองรับ โดยชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลต้องเปิดเผยผลการวิจัยนั้นต่อประชาชนโดยละเอียดเพื่อสร้างความมั่นใจว่าการตัดสินใจดังกล่าวอยู่บนข้อมูลทางวิชาการ

ปัญหาการแย่งวัคซีนน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในอนาคต เมื่อมีวัคซีนชนิดต่างๆ เข้ามาในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงวัคซีนที่ต้องการได้ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่กล่าวมาน่าจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดภายในต้นหรือกลางปีหน้า ซึ่งเมื่อแก้ปัญหานี้แล้ว อีกปัญหาใหญ่ที่ควรต้องเตรียมรับมือต่อไปก็คือการที่ประชาชนบางส่วนอาจยังปฏิเสธการฉีดวัคซีน ซึ่งต้องหาแนวทางในการสื่อสารและรณรงค์กันต่อไป
#3399


"เอ็นไอเอ" พร้อมเผยยอดสตาร์ทอัพ/เอสเอ็มอีลุยส่งผลงานชิง "รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ" ทะลุเกินคาด มากถึง 560 ผลงาน เพิ่มมากขึ้นจากปี 2563 ที่มีคนส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวด 373 ผลงาน โดยเฉพาะในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการมากที่สุด จำนวน 183 ผลงาน

พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าว แม้สถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 จะยังไม่คลี่คลายลง แต่ NIA ก็ยังคงเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนการทำนวัตกรรมในมิติต่างๆ เพื่อแก้ปัญหา และตอบโจทย์ที่สังคมกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ผ่านกลไกในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย NIA จะเป็นสะพานเชื่อมภาคส่วนต่างๆ ให้ร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันนวัตกรรมให้เติบโตและขยายวงกว้างต่อไป เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่กำลังเตรียมความพร้อมก้าวสู่ "ชาติแห่งนวัตกรรม"

"รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ" หรือ National Innovation Awards เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเป็นปีที่ 17 เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของ "นวัตกรรม" โดยเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี และองค์กรต่างๆ ได้แสดงศักยภาพการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมในมิติต่างๆ ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "The Timeless Honor รางวัลแห่งเกียรติยศสูงสุดแห่งนวัตกรรม ล้ำค่าเหนือกาลเวลา" เพื่อเชิดชูผลงานนวัตกรรมที่สามารถรองรับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในปีนี้จะมีการระบาดของเชื้อโควิด -19 ระยะใหม่ที่ยากต่อการควบคุม

แต่รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติยังคงได้รับความสนใจทั้งจากสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ภาครัฐ และองค์กรธุรกิจ ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดมากถึง 560 ผลงาน เพิ่มมากขึ้นจากปี 2563 ที่มีคนส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวด 373 ผลงาน หรือเกือบร้อยละ 50 โดยเฉพาะในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคนสนใจส่งผลงานเข้าประกวดมากที่สุด จำนวนถึง 183 ผลงาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนในสังคมเริ่มมองเห็นปัญหาว่าการเกิดโรคระบาด การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างกะทันหันส่งผลต่อการดำเนินชีวิตค่อนข้างมาก การพัฒนาระบบบริการที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตจึงจำเป็นและคาดว่าจะยิ่งทวีความสำคัญในอนาคต"

 "การทำกิจกรรมหรือการใช้ชีวิตในปัจจุบันหลายอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานรูปแบบใหม่ การเรียนออนไลน์ การรักษาโรคและรับบริการทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ การเงินและธุรกรรมดิจิทัล หรือการสั่งซื้อของใช้จำเป็นในรูปแบบเดลิเวอรี่ รวมไปถึงการหาความบันเทิงที่มีการปรับมาอยู่ในรูปแบบแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ทั้งนี้ NIA เชื่อว่านวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการเป็นนวัตกรรมอีกหนึ่งด้านที่จะมีบทบาทในการใช้ชีวิตของคนในสังคมนับตั้งแต่แต่นี้ต่อไปจนถึงอนาคต และจะเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่กำลังจะมีมูลค่าสูงมากยิ่งขึ้น" พันธุ์อาจ กล่าวสรุป

รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นการมอบรางวัลให้แก่ผลงานนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยฝีมือของคนไทย และมีความเป็นนวัตกรรมที่เด่นชัดและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างชัดเจนใน 5 ด้าน  ได้แก่ 1. ด้านเศรษฐกิจ (ผลงานนวัตกรรมที่สร้างให้เกิดคุณค่าเชิงพาณิชย์ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ) 2. ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (ผลงานนวัตกรรมที่สร้างให้เกิดคุณค่าต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม) 3. ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ (ผลงานนวัตกรรมที่นำการออกแบบมาสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์และบริการ) 4. ด้านสื่อและการสื่อสาร (ผลงานนวัตกรรมและบุคคลที่มีความสร้างสรรค์ในการสร้างสรรค์เนื้อหาและการสื่อสารรูปแบบใหม่) และ 5. ด้านองค์กรนวัตกรรม (องค์กรที่มีการบริหารจัดการนวัตกรรมในองค์กรอย่างโดดเด่น ทั้งระดับยุทธศาสตร์ ระดับกระบวนการ และระดับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร) โดยจะมีการประกาศผลการตัดสินในวันที่ 5 ตุลาคม 2564 ซึ่งตรงกับ "วันนวัตกรรมแห่งชาติ"
#3400
5 วัน 5 คอร์ส เรียนออนไลน์ พื้นฐานสู่มือาชีพ

ประกาศๆ แจ้งให้ทราบ ถ้าคุณเป็นแบบนี้อยู่
ไม่มีประสบการณ์เลย
วิกฤตธุรกิจไปต่อไม่ได้
อายุเยอะแล้วกลัวเรียนไม่ทัน
อยากขายออนไลน์เป็น แต่ไม่มีคนสอน
เอาความรู้ไปต่อยอด

>>> 97 บาท <<<
ตอบโจทย์ที่สุดแล้ว ตอนนี้!!!
เพราะเราออกแบบคอร์สนี้
มาให้สำหรับท่านแล้ว
____________________________
5 วัน 5 วิชา
ที่สามารถพาคุณไปเจอกับโลกใบใหม่
เรียนผ่านมือถือเครื่องเดียว
วัยไหนก็เรียนได้
ปรึกษาได้ตลอด
ดูแลอย่างใกล้ชิด
วันที่ 1 การปรับหน้าโปรไฟล์
วันที่ 2 การสร้างวีดีโอ / รูปให้ดูน่าสนใจ
วันที่ 3 การสร้าง Content
วันที่ 4 การสร้างเพจมืออาชีพ
วันที่ 5 สอนยิงตรงกลุ่ม ยิงถูก ปิดยอดเก่ง
พร้อมวิธีหากลุ่มเป้าหมายแบบตรงเป๊ะ
.
เรียนจบครบทั้ง 5 วัน รับวุฒิบัตรได้ด้วย
ทั้งหมดนี้
เราเก็บค่าคอร์สกับคุณเพียง 97 บาท
ย้ำ!!คุณดูไม่ผิดหรอก 97 บาท
จากราคาปกติ 7,990 บาท
.
จำนวนจำกัด
สิทธิ์ 97 เฉพาะ 100 ท่าน
.
ขอท่านที่สนใจเรียนจริงๆ
เพราะเราก็ตั้งใจสอนให้ท่านจริงๆเช่นกัน
 
ติดต่อ line id คลิก : teerapat999
ติดต่อ facebook คลิก https://www.facebook.com/teerapat992018
รายละเอียดเพิ่มเติม https://teerapat99.iconsalepage.com/