• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chanapot

#3421


"กรุงเทพธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "ปกาสิต วัฒนา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบรนเนอร์จี้ จำกัด บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย "กลุ่มคนรุ่นใหม่" ที่เข้าใจและก้าวไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเน้นคิด และดีไซน์ดิจิทัลโซลูชั่น เป็นบริษัทในเครือ เบญจจินดา โฮลดิ้ง

เบรนเนอร์จี้ (Brainergy) เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย "กลุ่มคนรุ่นใหม่" ที่เข้าใจและก้าวไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเน้นคิด และดีไซน์ดิจิทัลโซลูชั่น ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เป็นบริษัทในเครือของบิ๊กคอร์ปชั้นนำของไทย ที่มีผลงานและชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ในแวดวงธุรกิจมาอย่างยาวนานอย่าง "กลุ่มบริษัทเบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด" 

นั่นทำให้ เบรนเนอร์จี้ มีโอกาสทำงานกับกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีความเข้าใจภาพรวมของธุรกิจ และสามารถตอบโจทย์ได้หลายประเภทและหลายขนาดองค์กร เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

 โดยเฉพาะห้วงวิกฤติและความท้าทายใหม่ ที่ธุรกิจต้อง "รอด" และมีหนทางเดินไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน การทรานส์ฟอร์มไปสู่สิ่งที่ดีกว่า มีนวัตกรรมเป็นหัวใจหลักจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด "ดิจิทัล โซลูชั่น" เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะกรุยทางให้ทุกธุรกิจมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ 

"กรุงเทพธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "ปกาสิต วัฒนา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบรนเนอร์จี้ จำกัด หัวเรือใหญ่คนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่พร้อมดัน 3 ดิจิทัลโซลูชั่นหลัก SmartTAX  SmartFLOW และ SmartSIGN ช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในชั่วข้ามคืน พร้อมเป้ารายได้ 100 ล้านบาท ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน

ปลุกดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม-วางเป้า100ล.

"ดิจิทัล โซลูชั่น ของเบรนเนอร์จี้ ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความมุ่งหวังให้ช่วยแก้ไข Pain Point ที่หลายองค์กรพบเจอให้หมดไป ไม่ว่าเป็นเรื่องการจัดการเอกสารที่มีความวุ่นวาย การทำข้อมูลภาษีที่มีความยุ่งยาก การลดขั้นตอนการทำงานที่มีความซ้ำซ้อน หรือ การลดสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การดำเนินการต่างๆ ในองค์กรเกิดความล่าช้า"

ปกาสิต บอกว่า เบรนเนอร์จี้ เน้นมาตรฐานการให้บริการที่ตอบโจทย์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบองค์กรขนาดใหญ่ นำองค์ความรู้ที่แตกต่างแต่ละสายธุรกิจ และความต้องการพื้นฐานที่เหมือนกันทุกธุรกิจมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน เพื่อลดจุดด้อยและเสริมจุดแข็งพัฒนาเป็นโซลูชั่น 

ขณะที่ ห้วงเวลาที่ทุกองค์กรเผชิญวิกฤติ เขายอมรับว่า เครือเบญจจินดาเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติที่ทุกคนเจอ ซึ่งทุกองค์กรล้วนได้รับผลกระทบมากน้อยที่ต่างกันไป  

"สำหรับเบรนเนอร์จี้ ผ่านเหตุการณ์มาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เราต้องเรียนรู้ และสร้างโปรดักส์ ปีนี้เป้าหมายเราหวังไปแตะ 100 ล้าน แต่วันนี้จุดที่เรายืนอยู่ ยังเจอความท้าทาย ลูกค้าชะลอโปรเจคออกไป แต่ยังโชคดีที่มีลูกค้าหลายรายมากกว่า 10 โปรเจค ยังมองว่าการเกิดโควิดเป็นตัวกระตุ้นให้เขาต้องรีบทรานส์ฟอร์ม"



ปกาสิต ขยายความว่า เป้า 100 ล้านบาท หลักๆ มาจากกลุ่มลูกค้าเก่าที่เคย on board ไว้แล้ว และยังทำต่อในส่วนของเฟสถัดไป ซึ่งเบรนเนอร์จี้ พยายามสนับสนุนลูกค้าในทุกส่วนท่ามกลางวิกฤติ ให้ลูกค้าสามารถใช้งานดิจิทัลโซลูชั่นตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้ได้จริง 

"ยอมรับว่าวันนี้กลุ่มลูกค้า มีทั้งต้องหยุดการทรานส์ฟอร์มเอาไว้ก่อน เพราะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยเหตุผลวิกฤติ ต้องหยุดหรือปิดหน้าร้าน ธุรกิจดำเนินต่อไม่ได้ ขณะที่อีกกลุ่มที่เป็นกลุ่มพวกซัพพลาย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มต้องการนำดิจิทัลโซลูชั่นเข้าไปใช้ และมองหาว่าอะไรที่ทำแล้วทำให้เขา Quick win ได้" 

ชู 3 ดิจิทัลโซลูชั่นบุกองค์กรทุกระดับ 

ปกาสิต มองว่า ทั้ง 3 ดิจิทัลโซลูชั่นหลัก ที่เป็นจะเป็นเรือธงของเบรนเนอร์จี้นับจากนี้ จะตอบโจทย์การทำงานในองค์กรต่างๆ ยุคนี้ได้ดี และช่วยลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็น โซลูชั่น SmartTAX ระบบจัดทำและนำส่งข้อมูลภาษีอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด SmartFLOW ระบบการจัดการและขออนุมัติเอกสารออนไลน์ และ SmartSIGN ระบบลงลายมือชื่อดิจิทัล ซึ่งทั้ง 3 โซลูชั่นยังเป็นไปตามกฏหมายด้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 

"กลุ่มลูกค้าหลักของเรา มีทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม รีเทล ประกันภัย ธนาคาร พลังงาน และเร็วๆ นี้จะเข้าไปมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งเรามองว่า เขามีศักยภาพในแง่ของการพัฒนาโปรดักส์ แต่จะดีมากหากมีระบบหลังบ้านที่ดี ธุรกิจจะเดินไปเร็วขึ้นตรงนี้เป็นโรดแมพของเรา"

มอง"คลาวด์"โตสะพัด3หมื่นล. 

ปกาสิต ยังมองเทรนด์ของการใช้คลาวด์ในยุคนี้ด้วยว่า ถือเป็นอินฟราฯ สำคัญของดิจิทัลโซลูชั่นต่างๆ ว่ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไทยน่าจะมีเม็ดเงินมากกว่า 30,000 ล้านบาท และมองว่าวิกฤติจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้คลาวด์เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลในภาคธุรกิจ 

"เราจะพบว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยทำงานในองค์กร ทั้งรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย รวมถึงการ save cost และช่วยตอบโจทย์ pain point ทั้งในเรื่อง Process การทำงานรูปแบบเดิมและการทำงานในสถานการณ์โควิดแล้ว ในอนาคต หลังจากนี้ หากมีการเร่งให้เกิดดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ได้ทุกภาคส่วน ก็น่าจะเกิด การทำงานที่คล่องตัวและฉับไว้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน-รัฐ เอกชน-เอกชน หรือรัฐ-รัฐ เพราะข้อมูลทุกอย่างจะถูกคุยกันบนแพลตฟอร์มดิจิทัล"

ขณะเดียวกัน เขาย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่เบรนเนอร์จี้พยายามทำ คือ การดีไซน์โซลูชั่นที่จะเน้นการดีไซน์บายลอว์ ไม่ได้เน้นดีไซน์บายแพชชั่น ซึ่งอาจต่างจากสตาร์ทอัพ หรือบริษัทรายอื่น คือ มีแพชชั่นมาแล้วคิดว่าอยากจะทำ 

"เรามองว่าถ้าเราจะเสิร์ฟ และโฟกัสในส่วนของ document management ต่างๆ มันต้องปฏิบัติตามกฏหมาย ซึ่งไม่ใช่แต่กฏหมายในไทยแต่ต้องมองไปถึงกฏหมายในต่างประเทศด้วย" 
#3422


ทางการกรุงโตเกียวออกคู่มือการรักษาตัวที่บ้านสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อในครอบครัว หลังจากรัฐบาลมีนโยบายให้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่รักษาตัวที่บ้าน

นายกฯ โยชิฮิเดะ ซูงะ ได้ประกาศนโยบายเมื่อต้นเดือนนี้ ให้ผู้ติดเชื้อโควิดรักษาตัวที่บ้านเป็นหลัก เพื่อสงวนเตียงในโรงพยาบาลให้สำหรับผู้ที่อาการหนักเท่านั้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้านในขณะนี้มีมากกว่า 45,000 คน เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า

การรักษาตัวที่บ้านก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อกันในครอบครัว สำนักงานสาธาณสุขกรุงโตเกียวจึงได้ออกคู่มือการรักษาตัวที่บ้านสำหรับผู้ติดเชื้อและผู้ที่อยู่ร่วมในบ้านเดียวกัน



คู่มือนี้ระบุหลักปฏิบัติ 8 ประการเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ได้แก่

1.  แยกห้องของผู้ป่วยและคนอื่น หากแยกห้องไม่ได้ให้หาม่านกั้นพื้นที่ของผู้ป่วย ผู้ป่วยควรอยู่ในพื้นที่ของตัวเองตลอดเวลา
กินอาหารในห้องของตัวเอง แยกสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว ไม่ควรออกนอกห้องถ้าไม่จำเป็น
2.  ผู้ที่ดูแลผู้ป่วยควรเป็นคนๆ เดียว เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
3.  ทั้งผู้ดูแลและผู้ป่วยต้องใส่หน้ากากทั้งคู่ หากทำได้ควรสวมถุงมือและชุดป้องกันแบบใช้ครั้งเดียว ถ้าไม่มีอาจประยุต์ใช้ถุงขยะขนาดใหญ่ใช้สวมเป็นชุดป้องกัน



4.  ต้องล้างมือสม่ำเสมอ ใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ
5.  ระบายอากาศทุกชั่วโมง โดยเปิดหน้า 5-10 นาที และอาจใช้พัดลมระบายอากาศหรือเครื่องปรับอากาศช่วยได้
6.  ฆ่าเชื้อพื้นที่สัมผัส เช่น ลูกบิดประตู สวิตซ์ไฟ อ่างล้างหน้า รีโมทคอนโทรล สุขา เป็นประจำ โดยใช้ยาห๋าเชื้อ หรือน้ำยาซักผ้าขาวผสมน้ำอัตราส่วน 0.05%
7.  เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และเครื่องนอนของผู้ป่วยให้แช่ในน้ำร้อน 80 องศา 10 นาที เพื่อฆ่าเชื้อ ก่อนซักตามปกติ
8.  แยกขยะของผู้ป่วยโดยใส่ในถุงพลาสติก 2 ชั้นปิดแน่น และฆ่าเชื้อก่อนนำไปทิ้ง



สำนักงานสาธาณสุขกรุงโตเกียวระบุว่า คู่มือนี้เป็นแนวทางสำหรับผู้ติดเชื้อที่ต้องรักษาตัวที่บ้าน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้โรงพยาบาลไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยทุกคน คำแนะนำตามคู่มือใช้ได้กับทั้งผู้ติดเชื้อ และผู้ที่อยู่ในะรห่าวงกักตัวรอดูอาการ เพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกในครอบครัวติดเชื้อไปด้วย.
#3423


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการเราชนะในส่วนของกรอบวงเงินในโครงการจากเดิมที่ได้รับจัดสรรวงเงินประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาท โดยปรับลดลงประมาณ 6.76 พันล้านบาท

ทั้งนี้วงเงินที่ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาทดังกล่าวได้รวมวงเงินที่อยู่ระหว่างดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเราชนะวงเงินประมาณ1.42 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯซึ่งหกาตรวจสอบแล้วไม่พบการทุจริตจะดำเนินการยกเลิกการระงับสิทธิ์แอปพลิเคชั่น "ถุงเงิน"และจ่ายเงินให้กับร้านค้าต่อไป


สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการเราชนะกระทรวงการคลังได้รายงานให้ที่ประชุม ครม.รับทราบว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 มีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นกว่า 33.22 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.6 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์จำนวน 8.3 ล้านคน

กลุ่มผู้ลงทะเบียนฯจำนวน 8.71 ล้านคน และกลุ่มต้องการความช่วยเหลือ จำนวน 2.4 ล้านคน โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์จำนวนกว่า 2.72 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้รวมวงเงินที่ต้องมีการดำเนินการโอนเงินซ้ำให้แก่ผู้ประกอบการที่โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 645,533.77 บาท

กระทรวงการคลังโดย สศค. ได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเข้มงวด โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะ โดยคณะทำงานฯ ในการติดตามตรวจสอบผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างต่อเนื่องในกรณีที่ตรวจพบธุรกรรมที่มีความผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ เช่น การรับ แลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด เป็นต้น จะดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการฯ และร่วมมือกับ หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป 

โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯจำนวน 3,000 ราย โดยมีวงเงินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหบักเกณฑ์และเงื่อนไขอยู่ประมาณ 1.42 หมื่นล้านบาท
#3424


จากกรณีที่นักแสดงหญิงวัยอายุ 51 ปี "หมู พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ" ได้มีการแชร์ภาพหนังสือจากสถานทูตลาวพร้อมข้อความระบุว่า..."ถึงพี่น้องชาวลาว...ฝากประชาสัมพันธ์!!! นายจ้างที่มีลูกจ้างเป็นคนลาว ให้ลูกจ้างไปฉีดวัคซีนไฟเซอร์ได้ที่สถานทูตลาว นะคะ"

โดยเรื่องดังกล่าวก็ได้เป็นที่พูดถึงไม่น้อยเนื่องจากในหนังสือดังกล่าวนั้นเป็นการแจ้งข่าวไปยังชาวลาวในประเทศไทยทั้งนักศึกษาและแรงงานถึงช่องทางในการติดต่อสถานทูตลาวในช่วงระบาดของเชื้อโควิดฯ เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด
ทั้งนี้หลังจากที่ถูกทักท้วงต่อเนื้อหาใจความสำคัญ ทางด้านของนักแสดงวัย 51 ปีก็ได้ลบข้อความดังกล่าวทิ้งไป พร้อมขอโทษที่โพสต์ดังกล่าวไป

"ขอโทษด้วยนะคะ สำหรับโพสจดหมายของสถานทูตลาว เนื่องจากมีเพื่อนฝากข่าวมา ให้แจ้งพี่น้องชาวลาว ที่มาทำงานในไทย...ข้าพเจ้าขาดการตรวจสอบหาคำแปล เนื้อหาในจดหมาย กราบขออภัยในความผิดพลาดมา ณ. ที่นี้ด้วย..."

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่แฟนคลับของเจ้าตัวได้พากันแสดงความเห็นชื่นชมนักแสดงหญิงที่ทำผิดพลาดแล้วก็ยอมขอโทษและแก้ไขในความผิดพลาดดังกล่าว ทว่าหลายคนก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าการโพสต์ในครั้งแรกของเธอนั้นเพียงแค่ต้องการ "แจ้งข่าว" ตามเพื่อนฝากมา หรือมีจุดประสงค์อื่นอะไรกันแน่?

เพราะถ้าหากแค่ต้องการจะแจ้งข่าวไปยังพี่น้องชาวลาวจริงๆ ทำไมจะต้องมีการพิมพ์ข้อความเป็นภาษาไทยด้วย ในเมื่อจดหมายดังกล่าวนั้นเป็นภาษาลาวอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือทำไมจะต้องมีการกล่าวอ้างไปถึงเรื่องของการฉีดวัคซีนถึงขนาดที่ระบุยี่ห้อของวัคซีนลงไปอีกต่างหาก
#3425


รอยเตอร์ - กัมพูชาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม ครอบคลุมครึ่งหนึ่งของประชากรแล้ว นับเป็นอัตราสูงสุดในเอเชีย ตามข้อมูลของทางการที่เผยแพร่วันนี้ (11) โดยการทูตวัคซีนมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของประเทศ

กัมพูชา พันธมิตรของจีนและหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดของเอเชีย เริ่มฉีดวัคซีนด้วยวัคซีนที่ผลิตขึ้นในจีนในเดือน ก.พ. ขณะเดียวกันประเทศยังได้รับวัคซีนหลายล้านโดสจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวเมื่อวันอังคาร (10) ว่า กัมพูชาควรบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ประชากร 10 ล้านคน ได้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ราว 7-8 เดือน

จากประชากรในประเทศทั้งหมด 16 ล้านคน ปัจจุบันมีชาวเขมร 8.3 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม และในจำนวนดังกล่าวได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 6.4 ล้านคน

อัตรานี้ใกล้เคียงกับมาเลเซีย ที่ประชากรในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 49.4% แต่สูงกว่าไทยซึ่งอยู่ที่ 25% และเวียดนาม 12%

จีนได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กัมพูชาแล้ว 18.7 ล้านโดส ในจำนวนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่บริจาคให้ 3.2 ล้านโดส ตามการระบุของสถานทูตจีน

สหรัฐฯ ประกาศในสัปดาห์นี้ว่าจะให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนแก่กัมพูชา 4 ล้านดอลลาร์ หลังบริจาควัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 1 ล้านโดส ผ่านโครงการโคแว็กซ์

"สหรัฐฯ จะยังคงบริจาควัคซีนเพิ่มเติมทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อวัคซีนมีมากพอ" โฆษกสถานทูตสหรัฐฯ ระบุ

เซบาสเตียน สแตรนจิโอ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ไม่ว่าด้วยเจตนาหรือความบังเอิญ กัมพูชาทำได้ดีจากการแข่งขันระหว่างประเทศ

"กัมพูชาได้ประโยชน์จากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาทำให้ประเทศเข้าถึงวัคซีนผ่านโครงการโคแว็กซ์ ผู้สังเกตการณ์ภายนอกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ จะไม่สงสัยในเรื่องของความก้าวหน้าด้านวัคซีนของกัมพูชาหากมองผ่านเลนส์ของความสัมพันธ์ใกล้ชิดของกัมพูชากับจีน และชัดเจนว่าการบริจาคของจีนคือคำอธิบายสำหรับความสำเร็จของประเทศ" สแตรนจิโอ กล่าว.
#3426


เข้าสู่วันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ ที่ในปีนี้ ใครหลายๆ คนอาจจะไม่ได้กลับไปหาแม่ที่บ้าน เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19

การแสดงความรัก การดูแลพ่อแม่ ไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะ '12 สิงหา วันแม่แห่งชาติ' เท่านั้น แต่เมื่อเป็นวันพิเศษ ก็อาจจะมีของขวัญพิเศษๆ ให้แก่คุณแม่ ถึงตัวจะไปหาไม่ได้ส่งของขวัญไปแทนกันยังดี

เลือกของขวัญแทนคำบอกรักแก่คุณแม่
เริ่มด้วย อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ  สิ่งสำคัญอย่างมากในกลุ่มคุณแม่ หรือผู้สูงอายุ ยิ่งในยุคนี้อาหารเสริมเพื่อสุขภาพมีความจำเป็นอย่างมากในการเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคต่างๆ แก่ผู้สูงอายุ

สเปรย์แอลกฮออล์พกพา และชุดหน้ากากอนามัย เรียกได้ว่ากลายเป็นอาวุธประจำตัวของทุกคนไปแล้วในยุคโควิด-19 เพราะไปไหนมาไหน หรือแม้แต่อยู่ในบ้านก็ต้องมีติดตัวไว้ แนะนำให้เลือกสเปรย์แอลกฮออล์พกพาที่จะถนอมมือคุณแม่ มอบความชุ่มชื่น ไม่ทำให้มือลอก มือแห้ง ขณะที่ชุดหน้ากากอนามัยก็ควรจะเลือกผ้า หรือยี่ห้อที่ไม่ระคายเคืองผิวของคุณแม่


แผ่นหอมติดแมส คุณแม่ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา อาจหายใจไม่สะดวก อึดอัด แนะนำ แผ่นหอมติดแมส ช่วยให้หายใจสดชื่นแม้ใส่แมสตลอดเวลา ลดกลิ่นอับ ลมหายใจไม่สดชื่น ปลอดภัยด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีอันตราย

เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว หรือ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด มีความจำเป็นอย่างมากในยุคโควิด สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือด (Sp02) อัตราการเต้นของหัวใจ (PR) และค่าการไหลเวียนของเลือด (PI) ได้ เพื่อความปลอดภัย

ชุดเครื่องหอม สมุนไพร ผู้สูงอายุอาจมีอาการวินเวียงหัว ปวดหัว ยิ่งใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา อาจทำให้หายใจไม่สะดวก แนะนำเลือกซื้อ ชุดเครื่องหอม สมุนไพร ที่ช่วยให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าผ่อนคลาย ลดอาการคันและปวด มอบความเย็นสบาย

'นมแม่' วัคซีนป้องกันโควิด-19 ป้องกันโรคได้ดีที่สุด
นอกจากของขวัญที่จะให้คุณแม่ใน วันแม่แห่งชาติ แล้ว รู้หรือไม่ว่า??? 'นมแม่' เป็นเสมือนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ป้องกันโรคต่างๆ แก่ลูกได้ดีที่สุด  

เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าโควิด-19 สามารถติดต่อผ่านน้ำนมแม่ได้ องค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ จึงแนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถให้นมจากเต้าและโอบกอดแนบเนื้อได้แม้ว่าแม่จะติดเชื้อโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงสูงก็ตาม  

อย่างไรก็ดี แม่ควรรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัยขณะให้นมลูก ล้างมือด้วยสบู่ก่อนและหลังสัมผัสลูก ตลอดจนหมั่นทำความสะอาดพื้นผิวที่แม่สัมผัสบ่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ


การศึกษาต่าง ๆ พบว่า ประโยชน์ของ นมแม่ มีมากกว่าความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปสู่ลูก อีกทั้งแอนติบอดี้ในนมแม่ยังอาจช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อหาก ทารก ได้รับเชื้อโควิด-19


นางคยองซัน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการช่วยให้ทารกเติบโตอย่างแข็งแรงโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 น้ำนมแม่เปรียบเสมือนวัคซีนหยดแรกสำหรับทารก เพราะเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ แอนติบอดี้ ฮอร์โมน และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นระบบ ภูมิคุ้มกัน ของทารกและป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดี

'ยูนิเซฟเรียกร้องคุณแม่ไทยม่เลี้ยงลูกด้วย 'นมแม่'
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กทั้งในช่วงแรกเกิดไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ การศึกษาต่าง ๆ พบว่าเด็กที่ได้กินนมแม่มักจะมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยน้อยกว่า อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะมีไอคิวสูงกว่า มีการศึกษาที่สูงกว่าและทำงานที่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่

นอกจากนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยเสริมสร้างสายใยรักและผูกพันระหว่างแม่กับลูก อีกทั้งลดความเสี่ยงของแม่ในการเป็นโรคอ้วน  โรคเบาหวานชนิดที่สอง โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่อีกด้วย


ยูนิเซฟได้แนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกเพื่อประโยชน์สูงสุดด้านสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตรานี้ต่ำที่สุดในภูมิภาค ผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยพ.ศ. 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ พบว่า มีเด็กเพียงร้อยละ 14 ที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกของชีวิต ซึ่งลดลงจากร้อยละ 23 ในพ.ศ. 2559

แนะรัฐบาล สธ.ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างจริงจัง
ยูนิเซฟ ได้เรียกร้องให้ภาครัฐบาลและเอกชนเพิ่มการลงทุนในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการ เลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์ควรสนับสนุนให้ทารกแรกเกิดได้รับนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด พร้อมให้ความรู้และคอยแนะนำให้แม่สามารถให้นมลูกได้อย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกัน หน่วยงานสาธารณสุขควรปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กอย่างเคร่งครัด เช่น กำกับดูแลการตลาดออนไลน์ของนมผงที่เข้าถึงแม่โดยตรง หรือห้ามการแจกตัวอย่างนมผงภายในโรงพยาบาล


นอกจากนี้ ภาครัฐบาลและเอกชนควรออกนโยบายที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัวเพื่อให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ต้องกลับไปทำงาน เช่น สามารถ ลาคลอด ได้อย่างน้อย 18 สัปดาห์โดยได้รับค่าจ้าง หรือสิทธิลาคลอดสำหรับพ่อ ในขณะเดียวกัน ที่ทำงานควรมีนโยบายที่ชัดเจนและจัดให้มีมุม นมแม่ ที่สะอาดปลอดภัยเพื่อให้แม่บีบเก็บน้ำนมได้ 

อ้างอิง: promotions, unicef
#3427


รายงานข่าวจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY  เปิดเผยว่า การปรับลดวงเงิน "คุ้มครองเงินฝาก" เป็น 1 ล้านบาท เป็นวันแรกในวันนี้ ( 11  ส.ค.)  ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้ฝากเงิน เนื่องจากวงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ถึง 98% ของจำนวนผู้ฝากเงินทั้งหมดของประเทศ


สำหรับผู้ฝากเงินที่มีปริมาณเงินฝากเกินกว่าวงเงินที่ได้รับความคุ้มครอง ก็ไม่น่าจะมีการปรับพฤติกรรมในการฝากเงินแต่อย่างใด  โดยกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ผู้ฝากเงินที่มีปริมาณเงินฝากเกินกว่าวงเงินที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้มีการปรับตัว บริหารจัดการพอร์ตเงินฝากและเงินลงทุนไว้แล้ว

ประกอบกับสถานการณ์สภาพคล่องของระบบยังคงสูง และสถาบันการเงินไทยในขณะนี้ มีความแข็งแกร่ง จึงไม่น่าจะมีประเด็นในเชิงลบ ที่จะทำให้ประชาชนตื่นตระหนกต่อการปรับลดวงเงินคุ้มครองในครั้งนี้

ส่วนกรณี การลดวงเงินคุ้มครองในครั้งนี้ จะทำให้เงินไหลเข้าไปตลาดเงิน ตลาดทุนหรือไม่นั้น ธนาคารมองว่า การโยกเงินระหว่างเงินฝากกับเงินลงทุนนั้น ลูกค้าจะจัดแบ่งสัดส่วนเงินเอาไว้อยู่แล้ว การเปลี่ยนเงินฝากไปเป็นเงินลงทุนน่าจะถูกจูงใจด้วยแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนกับความเสี่ยงจากการลงทุนที่ลูกค้ายอมรับได้ มากกว่าที่จะเกิดจากการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก
#3428


วิวิด บาย เวอริต้า (Vivid By Verita) บาร์วิตามิน ณ โรงแรม อนันตรา สยาม กรุงเทพ จัดโปรโมชั่นพิเศษเอาใจคนรักสุขภาพในเดือนแห่งวันแม่ ตลอด สิงหาคม 2564 นี้ ด้วยโปร กลูตาไธโอน แมกซ์ ไอวี ดริป (Glutathione Max IV Drip) ซื้อ ดริป 3 ครั้ง แถมฟรี 1 ครั้ง ในราคาเพียง 9,000 บาท++ โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพของวิวิดได้คิดค้นสูตรเฉพาะที่สามารถส่งผ่านประโยชน์จากกลูตาไธโอนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อการช่วยชะลอวัยและโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ เพื่อมอบผิวที่สดใส พร้อมภูมิคุ้มกันและสุขภาพที่แข็งแรงสำหรับช่วงเวลาแสนตึงเครียดนี้



นักวิจัยค้นพบว่ากลูตาไธโอนคือกุญแจสำคัญในการทำงานของร่างกายในหลายด้าน ตั้งแต่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการผลิตวิตามินซีและอี ไปจนถึงช่วยดีท็อกซ์ร่างกายจากสารอนุมูลอิสระและโลหะหนัก เช่น ปรอท และอื่น ๆ อีกมากมาย การให้กลูตาไธโอนในระดับที่เหมาะสมผ่านทางเส้นเลือดอย่าง กลูตาไธโอน แมกซ์ ไอวี ดริป ที่ วิวิด บาย เวอริต้า จึงให้ประโยชน์อย่างมากมาย ดังนี้

- ปกป้องร่างกายจากสารอนุมูลอิสระที่อาจทำลายเซลล์ผิว ระบบไหลเวียนโลหิต และอื่น ๆ
- เสริมสร้างประสิทธิภาพการกำจัดไขมันของตับ เพื่อป้องกันความเสียหายจากการสะสมของไขมัน แอลกอฮอล์ และโรคตับอื่น ๆ
- ลดอาการที่เกิดจากโรคพาร์กินสันและอาการดื้อต่ออินซูลินที่อาจนำไปสู่โรคเบาหวานประเภท 2



สามารถแบ่งปันสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นให้กับคนที่คุณรัก ด้วยโปรโมชั่น กลูตาไธโอน แมกซ์ ไอวี ซื้อ ดริป 3 ครั้ง แถม 1 ครั้ง ในราคาเพียง 9,000 บาท++ โดยใช้เวลา 15 นาที ในการเติมดริปแต่ละครั้ง ในบรรยากาศการตกแต่งที่เรียบง่าย สวยงาม ทันสมัย และผ่อนคลาย โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมทางการแพทย์ของ วิวิด บาย เวอริต้า เป็นผู้ให้บริการและดูแล



วิวิด บาย เวอริต้า ณ โรงแรม อนันตรา สยาม กรุงเทพ ยังคงเปิดให้บริการทางด้านสุขภาพเฉพาะทาง ด้วยการดูแลสุขภาพและฟื้นฟูร่างกายด้วย ไอวี ดริป สูตรเฉพาะที่มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง วิตามินซี ซิงค์สำหรับภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง โคเอ็นไซม์คิวเท็น บำรุงการทำงานของสมอง Rhodiola, Ashwagandha และ Valerian ต่อสู้กับความเหนื่อยล้าและความเครียด แอล – คาร์นิทีน และ Rhodiola ช่วยเรื่องพลังงาน และเมลาโทนิน, กรดอะมิโน 5-HTP, Ashwagandha เพื่อการผ่อนคลายและการนอนหลับ โดยแพทย์ผู้มากประสบการณ์และการวิจัยและพัฒนาสูตรเพื่อประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโมชั่น กลูตาไธโอน แมกซ์ ไอวี ดริป 3 แถม 1 หรือปรึกษาทผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของเราได้ที่ อีเมล์ vividsiam@vivid-bangkok.com โทร. 02 003 4918 หรือ ไลน์@: @vividbyverita
#3429


นักกีฬาจากประเทศไทยได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจในโอลิมปิกปีนี้ โดยมีการใช้แฮชแท็ก #โอลิมปิกเกมส์ และก่อให้เกิดการพูดคุยกว่า 3.8 ล้านครั้งบน Instagram และ Facebook

สำหรับประเทศไทยมีนักกีฬาหญิงคว้าเหรียญทอง และเหรียญทองแดงกลับมาได้ และสิ่งที่น่าสนใจคือการที่นักกีฬาหญิงได้รับความสนใจในโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก

โดยตั้งแต่เริ่มการแข่งขันปีนี้นักกีฬาที่มีผู้ติดตาม (Followers) มากที่สุด 3 อันดับแรกเป็นนักกีฬาหญิง นำโดย รัชนก อินทนนท์ (ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นประมาณ 1.8 แสนราย) ตามด้วย 'เทนนิส' พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ (ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นประมาณ 1.78 แสนราย) และ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย (ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นประมาณ 74,000 ราย)

รัชนก อินทนนท์ ได้รับ Engagements หรือการมีส่วนร่วมบน Instagram มากกว่า 5 แสนครั้ง ซึ่งมากที่สุดในหมู่ตัวแทนนักกีฬาไทย

ขณะที่ โพสต์บน Facebook โดย เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จัดเป็นโพสต์จากนักกีฬาไทยที่ได้รับ Engagements มากที่สุด (กว่า 223,000 ครั้ง)


สำหรับตัวเลขทั่วโลก พบว่าเหล่านักกีฬามี Followers เพิ่มขึ้นกว่า 75 ล้านราย ส่งผลให้มี Interactions หรือปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ ทั่วโลกกว่า 410 ล้านรายการบน Instagram ตลอดการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Stories มากกว่า 300,000 Stories ซึ่งคงไม่มีใครโดดเด่นเกินกว่า ราอิสซ่า เลอัล (Rayssa Leal) นักกีฬาสัญชาติบราซิล

เมื่อเทียบกับนักกีฬาทุกคนในโอลิมปิกปีนี้ ราอิสซ่า เลอัล มี Followers เพิ่มขึ้นมากที่สุด (5.8 ล้าน) และสร้าง Interactions สูงสุด (18.44 ล้าน) บน Instagram นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของโพสต์ที่เกี่ยวกับโอลิมปิกบน Instagram ที่มียอด Likes สูงสุด (มากกว่า 4 ล้าน Likes) และ Instagram video ที่มียอดวิวสูงสุดระหว่างการแข่งขันอีกด้วย (มากกว่า 11 ล้านวิว)

โพสต์จาก ไท่ ซือ หยิง (Tai Tzu Ying) นักแบดบินตันหญิงจากไต้หวันที่ขอบคุณแรงสนับสนุนจากเหล่าแฟนๆ ของเธอหลังจากจบการแข่งขัน จัดเป็นโพสต์จากนักกีฬาบน Facebook ที่สร้าง Interactions สูงสุดตลอดการแข่งขัน (กว่า 1.3 ล้าน Interactions)

เปิดสถิติที่น่าสนใจจากมหกรรมกีฬาครั้งนี้ 

กีฬาที่ถูกพูดถึงบน Facebook มากที่สุด (ทั่วโลก)

1. กีฬาลู่และลาน

2. ยิมนาสติก

3. เรือพาย

4. มวยสากล

5. ว่ายน้ำ

นักกีฬาที่ได้รับการกล่าวถึง (Mentioned) มากที่สุดบน Facebook (ทั่วโลก)

1. ซิโมน ไบลส์ (Simone Biles)

2. นีราจ โชปรา (Neeraj Chopa)

3. ไฮดีลีน ดิแอซ (Hidilyn Diaz)

4. ซูนิ ลี (Suni Lee)

5. ทอม เดลีย์ (Tom Daley)

ประเทศที่ 'ส่งเสียงเชียร์ได้ดังที่สุด' บน Facebook

(จัดอันดับจากจำนวนผู้ใช้งานที่พูดถึงโอลิมปิกบน Facebook)

1. อินเดีย

2. สหรัฐอเมริกา

3. บราซิล

4. ฟิลิปปินส์

5. เม็กซิโก

อิโมจิที่ถูกใช้มากที่สุดบน Facebook (ทั่วโลก)

1. หัวใจ ❤️

2. ปรบมือ

นักกีฬาที่ได้รับการกล่าวถึง (Mentioned) มากที่สุดบน Instagram (ทั่วโลก)

1. นีราจ โชปรา (Neeraj Chopa)

2. ซิโมน ไบลส์ (Simone Biles)

3. ราอิสซ่า เลอัล (Rayssa Leal)

4. เกรย์เซีย โปลี (Greysia Polii)

5. อาปรียานี ราฮายู (Apriyani Rahayu)

Reels ที่เกี่ยวกับโอลิมปิกที่มียอดวิวสูงสุดในช่วงการแข่งขัน 3 อันดับแรก (ทั่วโลก)

1. เลอทีเซีย บูโฟนี่ (Leticia Bufoni) จากบราซิลแข่งสเก็ตบอร์ด

2. เจสสิก้า ฟ๊อกซ์ (Jessica Fox) จากออสเตรเลียยินดีกับเหรียญทอง

3. เจสสิก้า ฟ๊อกซ์ (Jessica Fox) จากออสเตรเลียกล่าวขอบคุณผู้จัดงานและเหล่าอาสาสมัคร
#3430


จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วง อีกทั้ง คลัสเตอร์โรงงานกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่พบผู้ติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่องส่งผลให้หลายโรงงานต้องปิดดำเนินการชั่วคราวและกระทบการผลิตในทันที

ความจำเป็นในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตและแรงกดดันจากผลกระทบวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นได้กระตุ้นให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตมีการตื่นตัวในการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในสายการผลิตสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart factory) โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและลดการพึ่งพาแรงงานคน

 โดยในช่วงเวลา 5 ปีก่อนวิกฤติโควิด (2016-2019) มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมของไทยเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปเฉลี่ยอยู่ที่ราว 2% ต่อปี ซึ่งสาเหตุหนึ่งเป็นผลจากการใช้เทคโนโลยีที่กระจุกตัวอยู่ในโรงงานขนาดใหญ่หรือโรงงานที่ตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง อีกทั้ง ผู้ประกอบการไทยยังมีความกังวลในความพร้อมของระบบอัตโนมัติและทักษะของบุคลากร แต่หลังจากที่ภาคการผลิตในไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านแรงงานจากผลกระทบของวิกฤตโควิดตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 เป็นต้นมา มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมเติบโตกว่า 7%YOY จาก 1.72 พันล้านบาทในปี 2019 เป็น 1.84 พันล้านบาทในปี 2020 และการนำเข้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 40%YOY

ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2021 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีการนำเข้าระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงการตื่นตัวของภาคการผลิตในไทยที่เห็นความสำคัญของ Smart factory มากขึ้น เพื่อฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่และให้การผลิตเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีความมั่นใจในการใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างเทคโนโลยี 5G ได้ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานใน EEC 100% แล้ว รวมถึงผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งมีการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแบบสาย (FTTx) และจัดตั้งศูนย์ Data center ในพื้นที่โครงการพร้อมรองรับการใช้งานในระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ทันสมัย


แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตสู่การเป็น Smart factory รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยมีความพร้อมรองรับการใช้งานเทคโนโลยี แต่การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล และการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนด้านดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยให้มากขึ้นยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา ด้วยจำนวนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของไทยมีไม่มากนักในปัจจุบัน 

โดยจากรายงาน Future of Jobs ของ World Economic Forum พบว่ามีเพียง 55% ของแรงงานไทยที่มีทักษะด้านดิจิทัล ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการยกระดับทักษะแรงงานให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอและการผลิตแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลอย่างจริงจังอาจต้องเร่งดำเนินการเพื่อรองรับความต้องการแรงงานเหล่านี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจในการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดภาระการลงทุนเพื่อดึงดูดความต้องการใช้งาน รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานจริง ซึ่งการยกระดับภาคการผลิตของไทยสู่โรงงานอัจฉริยะนั้น นอกจากจะทำให้เกิดการรับรู้ถึงการปรับตัวของภาคการผลิตในไทยเพื่อฝ่าวิกฤติโควิดแล้ว ยังสะท้อนถึงความพร้อมของไทยในการรองรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทคในอนาคตได้อีกด้วย
#3432


บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพิ่มบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ในธุรกิจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและบริการสลับเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ โครงการ Winnonie (วิน No หนี้) ที่บริหารงานโดย บริษัท บีซีวี อินโนเวชั่น จำกัด (BCVI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบางจากฯ

โดยบริษัทฯ ได้จัดเตรียมตู้เปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ swapping ระบบอัตโนมัติ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในโครงการให้สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยตนเอง รวดเร็วทันใจ ลดระยะเวลาการรอรับบริการจากพนักงานบริการในสถานีบริการน้ำมัน สามารถใช้งานต่อได้ทันที โดยเปิดให้ทดลองใช้บริการที่สาขาสุขุมวิท 63 (เอกมัย) เป็นแห่งแรก ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2564

ปัจจุบัน สถานีบริการน้ำมันบางจากมีจุดให้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ตลอด 24 ชั่วโมง ในระบบ Manual ไม่จำกัดจำนวนครั้ง รวม 3 สาขา ได้แก่ สาขาสุขุมวิท 62 สาขาอ่อนนุช 17/1 สาขาอุดมสุข 45 และอยู่ระหว่างการขยายให้บริการเพิ่มอีก 3 สาขาในเขตวัฒนา เขตคลองเตย และเขตปทุมวัน สำหรับตู้เปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติมี 1 สาขา ได้แก่ สาขาสุขุมวิท 63 (เอกมัย) และมีแผนจะขยายปรับเปลี่ยนให้เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ภายในปีนี้

ทั้งนี้ Winnonie โดยบางจากฯ เป็นผู้ริเริ่มให้บริการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าพร้อมการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ swapping รายแรกในประเทศไทย ด้วย E-Motorbike and Battery Rental Platform ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ โดยออกแบบแนวทางในการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่าย รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน


Winnonie วางแผนเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการเป็น 250 คน และขยายพื้นที่บริการเพิ่มเป็น 5 เขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับและให้บริการแก่ผู้ใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าซึ่งเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างและไรเดอร์ที่ขับรถรับส่งอาหารเดลิเวอรี่ สนับสนุนให้เกิดการใช้มอเตอร์ไซค์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้ามากขึ้น และตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 75 ตันต่อปี โดยคำนวณจากการขับขี่ของผู้ใช้รถ 1 คันต่อการขับขี่เฉลี่ย 1 วัน ร่วมลดปัญหามลภาวะ

สำหรับการใช้งานตู้เปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติ มีขั้นตอนง่ายๆ เพียงยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าผ่านการสแกน QR Code ที่ได้รับผ่าน Line OA: @winnonie เพื่อประมวลข้อมูลของผู้ใช้ สแกนแบตเตอรี่ก้อนที่หมดแล้วเพื่อนำส่งคืนลงในตู้พร้อมเสียบชาร์จ แล้วรับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ออกไปใช้งาน ซึ่งในระยะแรกจะมีเจ้าหน้าที่เทคนิคหรือพนักงานในสถานีบริการคอยให้คำแนะนำ รวมทั้งสามารถสอบถามผ่านทางโทรศัพท์และ Line OA ได้ด้วย
#3433


"คอปเปอร์ ไวร์ด "กวาดรายได้รวม 944.83 ล้านบาท โตกว่า 60% กำไรสุทธิ 6.95 ล้านบาท เติบโต 494% แม้ต้องรับมือสถานการณ์โควิดระบาดรุนแรง  สินค้ากลุ่ม Apple โดดเด่น ได้รับการตอบรับต่อเนื่องจากปลายปีก่อน  ขณะ มีสาขาภายใต้การบริหารแล้ว 45 สาขา และช่องทางออนไลน์ที่เติบโตแรงกว่า 90% จับตาครึ่งปีหลังแรงรับไฮซีซั่น หนุนเป้าหมายรายได้ปีนี้วางไว้โต 20% 

นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 2/2564 ของบริษัทฯ และบริษัทฯ ย่อย มีรายได้รวมอยู่ที่ 944.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 353.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 59.78 และมีกําไรสุทธิ 6.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 5.78 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 494.02 สะท้อนสินค้าเทคโนโลยีเติบโตอยู่ในกระแสความต้องการของผู้บริโภค และการบริหารจัดการภายในทำได้มีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)

สำหรับรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 944.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกัน ของปีก่อน 356.97 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 60.72 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้า คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ และสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้า Apple เป็นจำนวนร้อยละ 83.07 ของรายได้และบริการสุทธิ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 80.51 ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ มีสัดส่วนร้อยละ 32.71 ของรายได้จากการขายและบริการสุทธิ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 37.79

"ในไตรมาสสองของปีนี้สินค้ากลุ่ม Apple มีการเติบโตที่ดีขึ้น จากยอดขาย iPhone 12 รวมทั้ง iPad และ MacBook ที่วางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีมากในปัจจุบัน รวมทั้งกระแสการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ สนับสนุนความต้องการสินค้า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่มากยิ่งขึ้น ขณะที่ สินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์แม้จะปรับลดลงในไตรมาสนี้ แต่จะกลับมาสร้างการเติบโตได้อีกมาก จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G IoT AR และ VR คาดจะเข้ามากระตุ้นตลาดให้คึกคัก" นายปรเมศร์ กล่าว

ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางออนไลน์มีสัดส่วนร้อยละ 11.64 ของรายได้จากการขายและบริการ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 92.97 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยบริษัทฯ จะพยายามขยายการเติบโตผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีร้านค้าปลีกภายใต้การบริหารงานจํานวน 45 สาขา (จากไตรมาส 2/2563 มีจำนวน 44 สาขา) ประกอบด้วย ร้าน .life (ดอทไลฟ์) จํานวน 23 สาขา ร้าน Apple Brand Shop จํานวน 17 สาขา (แบ่งเป็น iStudio by copperwired จํานวน 13 สาขา U-Store by copperwired จํานวน 3 สาขา และ Ai_ จํานวน 1 สาขา) และศูนย์บริการ iServe จํานวน 5 สาขา สืบเนื่องจากมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2563 ถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564 บริษัทฯ ได้ปิดร้านค้าปลีกจํานวน 2 สาขา เป็นการชั่วคราว (ใน 6 เดือนแรกของปี 2563 ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึง 16 พฤษภาคม 2563 บริษัทฯ ได้ปิดร้านค้าปลีกจํานวน 41 สาขา)

สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,983.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 607.98 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.20 และมีกำไรสุทธิรวมจำนวน 31.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้้นจากปีก่อนจำนวน 19.16 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 149.92 อัตรากำไรสุทธิต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.61 จากร้อยละ 0.93 ในงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน 20% ตามที่วางไว้ โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่สินค้าใหม่ทยอยเปิดตัวและวางจำหน่าย รวมทั้ง การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพ นำออนไลน์เสริมทัพ โดยในปีนี้วางแผนเปิดสาขาใหม่ 7 สาขา ยังคงตามแผนเดิม และส่วนใหญ่จะเร่งเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากต้องระมัดระวัง และคำนึงถึงโอกาสอันเหมาะสม ควบคู่การจับมือพันธมิตรชั้นนำอย่างเอไอเอส เพิ่มความได้เปรียบในการจัดทำแผนการตลาดร่วมกัน และตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยการใช้ชีวิตแบบ Smart Living ได้อย่างสมบูรณ์

ล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อกิจการ IBIZ Plus รุกตลาดร้านโทรศัพท์มือถือ-อุปกรณ์เสริม มูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย และเพิ่ม Product Mix ในมือ ภายใต้แบรนด์ AIS, Telewiz, Buddy, Samsung และ Xiaomi ในประเทศไทย เสริมจากการเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่สินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และแบรนด์ Apple คาดจะเป็นปัจจัยสำคัญรับโอกาสยุคเทคโนโลยีบูมในปี 2565 ให้มีสาขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
#3434


ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (2-6 ส.ค.2564) ปรับขึ้น 11.19% หรือ 3.75 บาท มาอยู่ที่ 37.25 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าการซื้อขายราว 7.5 พันล้านบาท ภายหลังบริษัทประกาศปิดดีลซื้อหุ้น INTUCH และขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ด้วยสัดส่วน 42.25%

นางสาวอรมงคล ตันติธนาธร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า GULF ได้ทำการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (VTO) ในช่วงวันที่ 29 มิ.ย. ถึง 4 ส.ค.2564 ที่ราคา 65 บาทต่อหุ้น และมีหุ้นที่ตอบรับ Tender Offer จำนวน 747.87 ลำนหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้น INTUCH โดย GULF ปรับเพิ่มเป็น 42.3% จากเต็มที่ 18.9% GULF จึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ INTUCH หลังจากการทำ Tender Offer ในครั้งนี้

ฝ่ายวิจัยคาดว่า INTUCH จะสร้างกำไรได้ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2564-2566 ซึ่งมีส่วนหลักมาจาก ADVANC บล.กสิกรไทย จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2566 ขึ้น 10% 22% และ 22% เป็น 8.4 พันล้านบาท 1.40 หมื่นล้านบาท และ 1.53 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในหุ้น INTUCH

โดยการลงทุนใน INTUCH จะช่วยขยายพอร์ตกิจการที่ไม่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้า (Non-power) ของ GULF ให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นใน INTUCH ที่ 42.3% จะช่วยเพิ่มกำไรให้กับ GULF ในปี 2564-2566 ได้ 1.4 พันล้านบาท 3.1 พันล้านบาท และ 3.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 17-24% ต่อกำไรทั้งหมดของบริษัทฯ


ขณะที่การต่อยอดธุรกิจ (Synergy) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การลงทุนใน INTUCH จะช่วยให้ GULF เข้าถึงดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี 5G ซึ่งอาจสร้างประโยชน์ร่วมกันทางธุรกิจ อาทิ กลายเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าภาค B2C จากปัจจุบันที่ดำเนินในรูปแบบ B2B (ทั้งกลุ่มผู้ใช้ภาคอุดสาหกรรมและ กฟผ.) เพราะอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มที่กระจายตัวมากขึ้น บวกกับการผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าของประเทศ

นอกจากนี้ ในกรณีที่ GULF เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น INTUCH เกิน 50% ในอนาคตจะทำให้งบดุลของ GULF ขยายใหญ่ขึ้น เพราะ INTUCH เป็นบริษัทที่มีสถานะเงินสดสุทธิ

"เราคงคำแนะนำ 'ซื้อ' และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 42.75 บาท จาก 42.25 บาท เพื่อสะท้อนถึงการลงทุนเพิ่มเติมในหุ้น INTUCH นอกจากนี้ GULF ก็อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการใหม่จำนวนมากซึ่งจะมาช่วยสร้างความมั่นคงในการเติบโตในระยะยาวได้"

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์กิม​เอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในระยะกลางมองว่าราคาหุ้น GULF มีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะปัจจัยพื้นฐานในระยะกลาง-ยาวของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าใหม่อีกหลายโครงการทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยหนุนให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ถือเป็นการเติบโตจากภายใน (Organic Growth)

ส่วนการลงทุนใน INTUCH จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากเงินปันผลเพิ่มขึ้น ถือเป็นการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) โดยหลักการ GULF สามารถรับรู้งบการเงินรวม (Consolidate Financial Statement) เพราะถือหุ้นในสัดส่วนที่สามารถควบคุมทิศทางการดำเนินงานของ INTUCH จากเดิมที่รับรู้เป็นเงินปันผลรับ ซึ่งจะมีเป็นลูกเล่นแก่ราคาหุ้น GULF ในระยะถัดไป

"เรารอติดตามประเด็นดังกล่าว หากมีความชัดเจนว่าสามารถ Console งบของ INTUCH เข้ามาได้ จะเป็นปัจจัยหนุนส่งราคาหุ้นต่อไป โดยปัจจุบันตลาดให้รคาเป้าหมายบริเวณ 30 บาทตอนปลาย ส่วน บล.เมย์แบงก์ฯ ให้ไว้ที่ 38.00 บาทต่อหุ้น แต่คาดว่ามีโอกาสปรับขึ้นไปบริเวณ 40.00 บาทต่อหุ้น"
#3435


หุ้นปิดเช้าบวก 17.33 จุด รับแรงซื้อกลับหุ้นบิ๊กแคป-Sentiment ภูมิภาคช่วยหนุน อีกทั้งยังคลายกังวลปัจจัยการเมืองช่วงสุดสัปดาห์ไม่ได้บานปลาย สำหรับแนวโน้มการลงทุนในภาคบ่าย ตลาดได้ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าไปมาก ทำให้น่าจะมี upside น้อยลง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่ในช่วงนี้ด้วย

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าที่คาดไว้ รับแรงซื้อกลับจากหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวลงไปมากในช่วงก่อนหน้านี้ และยังได้รับ Sentiment จากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่อิงบวกมาช่วยหนุนได้บ้าง อีกทั้งยังคลายกังวลปัจจัยการเมืองช่วงสุดสัปดาห์ไม่ได้บานปลาย

อย่างไรก็ดี ให้ติดตาม MSCI Quarterly review ประกาศในวันที่ 11 ส.ค.นี้ และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ รวมถึงรายงานประจำเดือนของกลุ่มโอเปก และการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,539.05 จุด เพิ่มขึ้น 17.33 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +1.14% มูลค่าการซื้อขายราว 37,837 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ น.ส.ธีรดา กล่าวว่า ตลาดได้ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าไปมาก ทำให้น่าจะมี upside น้อยลง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่ในช่วงนี้ด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,530-1,525 จุด ส่วนแนวต้าน 1,540-1,550 จุด
#3436


วันนี้ (8ส.ค.) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชน แรงงานและผู้ประกอบการดังนั้น จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ คือ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น

นายสุชาติ กล่าวว่า ภาพรวมการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 10 จังหวัด 9 กิจการ เป็นที่น่าพอใจ จากรายงานของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) พบว่า โอนเงินแล้ว 2,434,182 ราย เป็นเงิน 6,085,0000,000 บาท ซึ่งไม่มีอะไรติดขัด มีเพียงผู้ประกันตนประมาณ 200,000 ราย ที่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน ซึ่งกำลังเร่งดำเนินการให้ผู้พร้อมเพย์กับบัตรประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ เพื่อที่จะเริ่มดำเนินการโอนเงินในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ โดยผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th/eform_news/ และในส่วนของ 3 จังหวัดเพิ่มเติม ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา จะโอนเงินในวันที่ 9 สิงหาคมนี้

"ผมได้รายงานภาพรวมการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 10 จังหวัด ให้นายกรัฐมนตรีทราบแล้ว และท่านพอใจในภาพรวมที่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพในครอบครัวให้ก้าวข้ามสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ ตามนโยบายของรัฐบาลโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"นายสุชาติ กล่าว 
#3437


แอนโทนี เฟาซี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ เร่งเร้าฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นอย่างสมเหตุสมผลโดยเร็วแก่บุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พร้อมยอมรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกำลังจับตาอย่างจริงจังเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อและแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆ ได้

"เราจำเป็นต้องมองพวกเขาต่างออกไป" เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับรายการ "Fareed Zakaria GPS" ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (8 ส.ค.) "แน่นอนว่าเราจะมีการฉีดเข็มกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้ก่อนฉีดเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ฉีดวัคซีนแล้ว เราควรทำมันอย่างสมเหตุสมผล"

เฟาซี ยังได้พูดถึงประเด็นถกเถียงที่ขยายวงกว้างมากขึ้น เกี่ยวกับเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ "breakthrough" ในบรรดาคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว และควรเห็นชอบฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือไม่ ในขณะที่วันอาทิตย์ (8 ส.ค.) อิสราเอล ซึ่งเป็นชาติแรกของโลกที่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในวงกว้าง เผยว่า ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนเข็ม 3 แก่ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป แล้วมากกว่า 420,000 ราย

เฟาซี ชี้ว่า คนส่วนใหญ่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ในนั้นรวมถึงบุคคลที่ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะหรือบุคคลที่ทำเคมีบำบัด "ไม่ได้รับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเพียงพอ" จากวัคซีนโควิด-19

เมื่อถามว่ากลุ่มคนอื่นๆ ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วยหรือไม่ เฟาซี ระบุว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) พร้อมออกคำแนะนำดังกล่าวอย่างเร็วที่สุด หากพวกเขาพบเห็นหลักฐานที่ชัดเจนจากข้อมูลที่ได้รับ

เวลานี้ทางซีดีซีกำลังติดตามระดับความคงทนของภูมิคุ้มกันในหมู่คนสูงวัย กลุ่มสูงอายุที่อยู่ตามบ้านพักคนชราและคนหนุ่มสาว แบบเดือนต่อเดือน และทางเฟาซี ระบุว่า "ทันทีที่พวกเขามีระดับความทนทานของภูมิคุ้มกันลดลง เมื่อนั้นคุณอาจได้เห็นคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่คนกลุ่มนี้"

นอกจากนี้แล้ว ทางเฟาซี ยืนยันด้วยว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังจริงจังกับประเด็นเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ และเขายอมรับว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งแพร่เชื้อได้ง่ายมากและกำลังโหมกระพือเคสผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ มากกว่า 100,000 คนต่อวันในเวลานี้จะก่อให้เกิดเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก

ขณะเดียวกัน เฟาซี ยอมรับด้วยว่าตัวกลายพันธุ์เดลตาได้ก่อปัญหาเพิ่มเติม ซึ่งก็คือบุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่คนอื่นๆ สถานการณ์ที่ทำให้ทางซีดีซีเปลี่ยนแปลงคำแนะนำด้านการสวมหน้ากากเมื่อไม่นานที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เฟาซี เน้นย้ำว่า "วัคซีนกำลังทำงานได้อย่างดีในสิ่งที่คุณต้องการให้พวกมันทำในเบื้องต้น นั่นคือป้องกันคุณไม่ให้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ไปจนถึงปกป้องคุณจากการล้มป่วยอาการสาหัส"

ก่อนหน้านี้ เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับรายการ "Meet the Press." ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี คาดหวังว่าสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ จะอนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 โดยสมบูรณ์ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ "ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม"

ปัจจุบันวัคซีนต่างๆ ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในขั้นอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เหุผลที่ประชาชนบางคนใช้ปฏิเสธฉีดวัคซีน

(ที่มา : บลูมเบิร์ก)
#3438


อิเลียด คิปโชเก้ สุดยอดนักวิ่งชาวเคนย่า กลายเป็นคนที่ 3 ที่สามารถป้องกันแชมป์ มาราธอน โอลิมปิก หลังจากทำเวลา 2 ชั่วโมง 8 นาที 38 วินาที ปิดท้ายการแข่งขัน โตเกียว เกมส์ 2020 อย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม

คิปโชเก้ คือเจ้าของสถิติโลกวิ่งมาราธอนคนปัจจุบัน โดยทำเอาไว้ในรายการ เบอร์ลิน มาราธอน เมื่อเดือนกันยายนปี 2018 ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 1 นาที 39 วินาที ล่าสุด โตเกียว เกมส์ นักวิ่งวัย 36 ปีเริ่มกระชากฉีกหนีกลุ่มคู่แข่งตั้งแต่กิโลเมตรที่ 31 ก่อนคว้าเหรียญทองด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 8 นาที 38 วินาที สถิตินี้ถือว่าดีกว่าเหรียญทอง โอลิมปิก ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อปี 2016 เพียงแค่ 6 วินาทีเท่านั้น

ภายหลัง คิปโชเก้ ให้สัมภาษณ์ถึง โตเกียว เกมส์ ที่เลื่อนมา 1 ปีเพราะไวรัสโควิด-19 แต่ในที่สุดก็สามารถจัดการแข่งขันได้ว่า "โตเกียว 2020 มันได้จัดเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้มีความหมายมาก ความหมายคือเราสามารถกลับมาใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ เราอยู่บนเส้นทางชีวิต สิ่งนี้คือความหมายของกีฬา โอลิมปิก ซึ่งผมดีใจที่มาป้องกันแชมป์ได้สำเร็จและแสดงให้คนรุ่นต่อไปได้เห็นว่า ถ้าคุณเคารพกีฬาและมีวินัยก็สามารถทำงานที่รับมอบหมายได้สำเร็จ"

แน่นอนสิ่งที่ คิปโชเก้ พยายามจะสื่อก็คือทุกคนต้องมีวินัย เพราะการจะป้องกันแชมป์ มาราธอน โอลิมปิก น้้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเขากลายเป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถกลับมาคว้าเหรียญทองได้อีกครั้ง

สำหรับ 2 คนก่อนหน้า คิปโชเก้ ที่สามารถป้องกันเหรียญทอง โอลิมปิก คนแรกต้องย้อนไปปี 1960 กับ 1964 คือ อาเบเบ บิกิเลีย ตามด้วยปี 1976 กับ 1980 คือ วัลเดอมาร์ เซียร์ปินสกี้
#3439


การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินได้มีการลงนามร่วมลงทุนกับบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด ไปแล้ว ในขณะที่การพัฒนาส่วนอื่นเพื่อผลักดันเมืองการบินจะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะใน พื้นที่อุตสาหกรรมการบิน หรือ ATZ ที่จะทำให้สนามบินอู่ตะเภามีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบินได้มากขึ้น

รายงานข่าวจากกองทัพเรือ (ทร.) ระบุว่า ขณะนี้การพัฒนาในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนสนามบินอู่ตะเภายังมีความก้าวหน้า เอกชนผู้รับสัมปทานโครงการต่างๆ อาทิ ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ยังคงเริ่มดำเนินงานในส่วนที่สามารถทำได้ เช่น สำรวจพื้นที่โครงการ และออกแบบโครงการ

ขณะเดียวกันกองทัพเรือและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ยังหารือในการพัฒนาโครงการอื่นเพื่อรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลลาย โดยส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา สกพอ.มีเป้าหมายดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมพัฒนาพื้นที่ ATZ บนพื้นที่ 500 ไร่ เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมการบิน

สำหรับโครงการ ATZ จะรองรับการลงทุนจากเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกของอีอีซีเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน เบื้องต้น สกพอ.อยู่ระหว่างจัดทำแผน คาดว่าจะเริ่มทดสอบความสนใจของนักลงทุน และเชิญชวนนักลงทุนภายในเดือน ก.ย.นี้

"ขณะนี้แผนลงทุนในอีอีซีไม่ได้หยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการพัฒนาในพื้นที่ใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการบิน โดย สกพอ.ยังมีแผนจะปรับพื้นที่ศูนย์ซ่อมอากาศยานของการบินไทยให้เล็กลง เนื่องจากปัจจุบันการบินไทยยังมีแผนลงทุนโครงการไม่ชัดเจน เพื่อวางแผนเพิ่มพื้นที่ให้เอกชนรายอื่นเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง หรือศูนย์ซ่อมอากาศยานใน ATZ"

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ขณะนี้มีเอกชนสนใจสอบถามเกี่ยวกับการลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานในพื้นที่ ATZ อย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นว่าภายหลังโควิด-19 คลี่คลายแล้วจะทำให้อุตสาหกรรมการบินกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากช่วงปี 2563-2564 การเดินทางท่องเที่ยวชะลอตัว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียจะมีการเดินทางมากที่สุด ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด นำมาสู่การลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานเพื่อรองรับ

ทั้งนี้ กองทัพเรือได้ประเมินว่า หาก สกพอ.เร่งผลักดัน ATZ โดยมีการสอบถามความสนใจของนักลงทุนและประกาศเชิญชวนภายในปีนี้ จะทำให้โครงการ ATZ มีการลงทุนและพัฒนาโครงการอย่างเป็นรูปธรรมในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะสอดคล้องไปกับสถานการณ์โควิด-19 ที่มีท่าทีจะคลี่คลายใน 2565 จากการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และคาดว่าการบินจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติเช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในช่วงปี 2566–2567

"โครงการ ATZ หากมีการพัฒนา คาดว่าจะเพิ่มอัตราการจ้างงานด้านอุตสาหกรรมการบินกว่า 3,000 ตำแหน่ง และส่งเสริมให้อีอีซีเป็นศูนย์กลางด้านการบิน"

ทั้งนี้ความพร้อมของพื้นที่ฐานรากศูนย์ซ่อมอากาศยานที่กองทัพเรือรับผิดชอบในการดำเนินงาน ปัจจุบันกองทัพเรือได้ประกวดราคาจัดหาเอกชนเริ่มงานแล้ว รวม 4 งาน มูลค่ากว่า 1,890 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 

1.การจ้างปรับถมดินและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท 

2.การจ้างควบคุมงานถมดินและอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 16.5 ล้านบาท

3.การจ้างปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 1,180 ล้านบาท

4.การจ้างควบคุมงานปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 29.6 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามแผนจะพัฒนาบนพื้นที่ราว 210 ไร่ โดยปัจจุบันการบินไทยยังอยู่ระหว่างทบทวนแผนพัฒนา ซึ่งมีเป้าหมายจะปรับการลงทุนให้สามารถรองรับซ่อมอากาศยานหลายรูปแบบ และยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการลงทุน โดยขณะนี้มี 3 ทางเลือก คือ 

1.การบินไทยร่วมทุนกับแอร์บัส 2.การบินไทยลงทุนเองและใช้เทคโนโลยีของทางแอร์บัส 3.หาผู้ร่วมทุนใหม่

นอกจากนี้ การการพัฒนาสนามบินยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ จะเป็นการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง 3 รูปแบบ คือ 1.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) 2.ถนน 3.ทางเรือ โดยพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาครอบคลุมบนพื้นที่ 6,500 ไร่ ให้สิทธิบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด 30 ปี ซึ่งจะเป็นการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเพิ่มการใช้เชิงพาณิชย์ จากเดิมที่เน้นภารกิจด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

เชิดพันธ์ โชติคุณ ประธานเจ้าหน้าที่สายช่าง การบินไทย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ตามแผนลงทุนของการบินไทย โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานจะดำเนินการบนพื้นที่ประมาณ 210 ไร่ เป็นพื้นที่ของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ โดยแบ่งระยะการลงทุนออกเป็น ระยะแรกช่วงปี 2565-2583 จะลงทุนประมาณ 6,400 ล้านบาท โดยการบินไทยลงทุนเอง 2,000 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุง และจัดซื้ออุปกรณ์

ทั้งนี้ จะพัฒนาเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงอากาศยานได้ 80-100 ลำ โดยตามแผนเดิมคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2565 มีเป้าหมายสร้างรายได้ในปีแรกอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท จากการซ่อมอากาศยาน 10 ลำ และประเมินว่าจะมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยอีกปีละ 2% และในช่วง 50 ปีจะมีรายได้รวม 2 แสนล้านบาท 
#3440


เนื่องจากการระบาดของ โควิด 19 ที่รุนแรงถึงขั้นวิกฤต ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้วัคซีน บุคลากรสาธารณสุขมีศักยภาพดูแลเฉพาะผู้ป่วยหนัก ประชาชนส่วนหนึ่งนำฟ้าทะลายโจรมาใช้จนถึงขั้นขาดตลาดและมีผู้ฉวยโอกาสขึ้นราคา แต่ข้อมูลในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของฟ้าทะลายโจรยังไม่ชัดเจน ขณะเดียวกับ การใช้ฟ้าทะลายโจร อาจทำให้ผู้ติดเชื้อขาดโอกาสได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ที่เป็นยาพื้นฐานหลักเนื่องจากอาจส่งผลต่อตับได้

วานนี้ (6 ส.ค. 64) "สารี อ่องสมหวัง" สภาองค์กรของผู้บริโภค ในฐานะตัวแทนของผู้บริโภค กล่าวในงานเสวนา ฟังให้ชัดกับการใช้ "ฟ้าทะลายโจร" ในสภาวะวิกฤต: คุณภาพ ราคา และความปลอดภัย โดยสะท้อนภาพในปัจจุบันว่า ขณะนี้ ฟ้าทะลายโจรในวิกฤติ ยากสำหรับผู้บริโภค จากการรวบรวมโดยทีมสื่อของสภาองค์กรของผู้บริโภค หากค้นคำว่า "ฟ้าทะลายโจร" ในเว็บไซต์จะพบข้อมูลกว่า 2.3 ล้านรายการ ดังนั้น ไม่ง่ายสำหรับผู้บริโภค อย่างแรกที่เจอ คือ การขายของ ไม่ใช่ข้อมูลการใช้อย่างถูกต้องหรือถูกวิธีได้อย่างไร และฟ้าทะลายโจรทำอะไรได้บ้าง   


ราคา ฟ้าทะลายโจร พุ่งหลังโควิด-19

หากดูในตลาดออนไลน์ มีการขายฟ้าทะลายโจรผ่านแพลตฟอร์มจำนวนมากกกว่าหมื่นรายการ ดังนั้น การตัดสินใจซื้อไม่ได้ง่าย อาจจะดูจากรีวิว แต่ก็ไม่ได้ง่ายว่าจะตัดสินใจซื้อที่มีคุณภาพหรือน่าเชื่อถือ ขณะที่ ราคามีความแตกต่างกันตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ ถึงหลักพันหรือขายพ่วงวิตามิน

มาดูที่ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง กำหนดกลางยาแผนไทย พ.ศ.2559 ได้กำหนดราคากลางยาฟ้าทะลายโจร หมวดกลุ่มที่ 2 ยาพัฒนาจากสมุนไพร (สูตรยาเดี่ยว) ชนิดแคปซูล 500 มิลิกรัม ราคาแคปซูลละ 0.94 บาท (ราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่พบว่า ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อได้ในราคานี้

เมื่อแพงมาก สิ่งที่สภาองค์กรของผู้บริโภค ทำคือให้ประชานใช้สิทธิของตัวเอง ร่วมแจ้งเบาะแสเมื่อเจอราคาที่แพงกว่ากำหนด รวมถึงขอความร่วมมือตลาดออนไลน์ทั้งหลาย ขอให้เอาลงกรณีที่พบว่าราคาสูงผิดปกติ เพื่อช่วยคุ้มครองผู้บริโภค แต่ก็ไม่ง่าย ถึงแม้บริษัทจะร่วมมือกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค ตอนนี้ตลาดออนไลน์ทุกเจ้าร่วมมือกับเราเอาลงแต่ก็แค่เปลี่ยนรหัสทำให้การตรวจสอบไม่เจอ จึงเหมือนการไล่ตามปัญหา กระทรวงพานิชย์เอง บอกว่าตอนนี้ยังไม่ควบคุม แต่หากเมื่อไหร่ทำให้มีความปั่นป่วนของราคา ประชาชนสามารถร้องเรียนได้

ต้องบอกว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 กำหนดให้ยาเป็นสินค้าควบคุม ห้ามขายเกินฉลากข้างกล่อง หากเขียนว่า 100 บาท แล้วขาย 150 บาท ถือว่าผิดกฎหมาย ถือว่าไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 เพราะฉะนั้น มาตรการอย่างเดียวคือ กำกับราคาที่ข้างกล่องหรือฉลาก สิ่งที่สำคัญ คือ การติดตาม เชื่อว่าขณะนี้ ผู้บริโภคเจอเรื่องฟ้าทะลายโจรปลอม ทั้งนี้ หากเจอขายเกินราคา สามารถแจ้งที่สถานีตำรวจ หรือกรมการค้าภายใน กระทรวงพานิชย์ โดยตรง




ระวัง ฟ้าทะลายโจรปลอม สวมเลข อย.
นอกจากเรื่องราคา ตอนนี้มีฟ้าทะลายโจรปลอม ทำให้ประชาชนเองไม่มั่นใจในการใช้ฟ้าทะลายโจร เหมือนเราไล่ตามปัญหา เช่น บางยี่ห้อมีเลขทะเบียนที่ไม่ใช่ตำรับสมุนไพร เป็นการนำเลขทะเบียนอื่นมาแทน หรือ สวมเลข อย.ของผลิตภัณฑ์อื่น คือ ผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจร แต่เลขขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือขึ้นทะเบียนเป็นอาหารแต่เอาเลข อย.มาผลิตยา รวมถึงกรณีระบุชื่อผู้จำหน่าย แต่ไม่ระบุชื่อผู้ผลิต และสวมเลขสมุนไพรของเจ้าอื่น เมื่อเป็นแบบนี้ ความร่วมมือของ อย. กับตลาดออนไลน์ ต้องรีบเอาออกจากระบบทันที แต่ก็พบว่ายังมีขายอยู่

"เป็นเรื่องยากของผู้บริโภค คำแนะนำ คือ การเอาเลขทะเบียนไปตรวจก่อนหากไม่ตรงกับสิ่งที่ระบุ คำแนะนำคือไม่ควรสนับสนุน เพราะขึ้นทะเบียนอาหาร แต่กลับจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่เป็นยา" สารี กล่าว

ยา 'ฟ้าทะลายโจร' ขายออนไลน์ได้หรือไม่

"ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี ชัยสัมฤทธิ์โชค" คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ยาฟ้าทะลายโจร เป็นยาสามัญประจำบ้าน และที่ทราบกันดีว่า ยาสามัญประจำบ้าน ขายที่ไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านขายยา เพราะฉะนั้น หากขึ้นทะเบียนยาสามัญประจำบ้าน สามารถขายที่ไหนก็ได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เองได้สะดวก ต้องเป็นยาไม่อันตราย และควบคุมพิเศษ และยาฟ้าทะลายโจรในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน และต้องมีระบุว่า ยาสามัญประจำบ้านชัดเจน


ปัญหาฉลากระบุไม่ชัดเจน
สำหรับฟ้าทะลายโจร ขณะนี้มีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องเข้าระบบการดูแลตัวเองที่บ้าน Home Isolation  ซึ่งจะมีกล่องยังชีพซึ่งมีฟ้าทะลายโจรให้ คำถามคือใช้อย่างไรให้ปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่ป้องกัน แต่ใช้รักษา เครื่องสำคัญของประชาชน คือ "ฉลาก" ซึ่งเป็นข้อเรียกร้อง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น แทบจะให้ข้อมูลไม่เพียงพอ ผู้ใช้ต้องค้นหาข้อมูลให้ได้ ขณะที่ "ผู้ขาย" เพิ่มความรับผิดชอบ ขณะที่ "ผู้รู้" เช่น อย. หรือนักวิชาการ ต้องเพิ่มบทบาทรับผิดชอบต่อการรับผิดชอบการให้ข้อมูลฟ้าทะลายโจร และอาจจะมีปัญหาวิกฤติยาฟาวิพิราเวียร์


ฉลากขาดข้อมูล มีข้อมูลลวง  

ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี กล่าวต่อไปว่า หากใช้ฟ้าทะลายโจร ต้องรู้ปริมาณ แอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งต้องดูที่ข้างขวดฉลาก แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ฟ้าทะลายโจรที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ หรือปัจจุบัน เรียกว่าผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขึ้นทะเบียนเป็นการรักษาอาการหวัด อาการไข้ เมื่อขึ้นทะเบียนในลักษณะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องระบุปริมาณสาร แอนโดรกราโฟไลด์

เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมาฉลาก จึง "ขาดข้อมูลแอนโดรกราโฟไลด์" ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ผิด ผู้ผลิตไม่ได้มีความผิดใดๆ ทางกฎหมาย แต่ก็ทำให้ขาดข้อมูลดังกล่าว หรือบางยี่ห้อบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ซึ่งทำให้กะปริมาณลำบาก อีกกรณี คือ "ฉลากลวง" มีระบุไว้ แต่จงใจสร้างความเข้าใจผิด คำนึงถึงกำไร  และ "ความไม่รู้" มีเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ หรือบางยี่ห้อระบุว่า ทานเพื่อป้องกันก็เชื่อไม่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

ใช้ 'ฟ้าทะลายโจร' ผิดวิธี ระวังผลข้างเคียง
ว.ภ.ส. แนะใช้ 'ฟ้าทะลายโจร' รักษาโควิด ไม่เน้นป้องกัน หวั่นส่งผลต่อตับ
เช็ค 6 ยี่ห้อ'ฟ้าทะลายโจร'ผิดกฎหมาย
สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

 


ก่อนซื้อ ก่อนใช้ ทำอย่างไร เมื่อไม่บอกในฉลาก

ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี แนะว่า อันดับแรก คือ "รู้โรค" มั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ป้วยในกลุ่มสีเขียว ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการใช้ฟ้าทะลายโจร ได้แก่ ไม่มีอาการ ไข้หรือวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5 องศาขึ้นไป ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ถ่ายเหลว ไม่มีอาการหายใจเร็ว ไม่มีอาการหายใจเหนื่อย ไม่มีอาการหายใจลำบาก ไม่มีปอดอักเสบ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง


ถัดมา "รู้ยา" ต้องรู้ว่าเป็นยาในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพร มีเลขทะเบียน G ขอให้ค้นหาเลขทะเบียนใน อย.เพื่อค้นว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ค้นเลขทะเบียนให้ได้ตัว G เพื่อให้รู้ว่าเป็นยาแผนโบราณที่ยกระดับเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  สามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนได้ ที่นี่

และ "รู้ปริมาณ" หากอยากจะรู้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ปัจจุบันไม่พบในฉลาก สิ่งที่ทำได้ คือ เข้าไปที่กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย. ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนฟ้าทะลายโจรในแบบฉุกเฉิน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อบังคับในการแสดงปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ดังนั้น กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย. จึงขอความร่วมมือไปยังบริษัทหลายแห่ง ในการส่งข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ให้ ซึ่งอาจจะตรวจเฉพาะบางล็อต และมีการขึ้นข้อมูลปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ในบางยี่ห้อในเว็บไซต์

ต้องย้ำว่า การระบุสารแอนโดรกราโฟไลด์ ไม่ได้มีข้อบังคับทางกฎหมาย เป็นขอความร่วมมือผู้ผลิต และวิเคราะห์ปริมาณบางล็อต อย่างที่ทราบว่าเป็นสมุนไพร ปริมาณสารเหล่านี้ไม่แน่นอน ขึ้นกับภูมิอากาศ แลหลายประการ แต่อย่างน้อยมีไกด์ไลน์ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อที่จะใช้เท่าไหร่  ตรวจสอบสารแอนโดรกราโฟไลด์ ที่นี่



ข้อเสนอต่อการจัดการฉลากฟ้าทะลายโจร

ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอในการจัดการฉลากฟ้าทะลายโจรในภาวะวิกฤติ ในส่วนของ "ฉลาก" ผู้บริโภคต้องปรับตัว การค้นเลขทะเบียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องค้นหาปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ จากกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย. ขณะ "ผู้ขาย" ผู้ผลิต ต้องเพิ่มความรับผิดชอบ เป็นการลงทุนในการศึกษาและรู้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ แม้จะไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ถือเป็นความรับผิดชอบที่จะหาปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ขณะเดียวกัน "ผู้รู้" ผู้ผลิตอาจจะต้องขอความร่วมมือ สนับสนุน กับนักวิชาการ ซึ่งขณะนี้ มีคณะเภสัชศาสตร์หลายแห่ง ในการให้บริการตรวจสารแอนโดรกราโฟไลด์ รวมทั้งบางแห่งให้บริการฟรี เป็นความร่วมมือที่จำเป็นเพื่อให้ประเทศไปรอด


ฟ้าทะลายโจร ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตเสริมอาหาร ได้หรือไม่

รศ.ภญ.ดร.มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อธิบายว่า ขึ้นอยู่ว่าจะระบุสรรพคุณว่าอะไร หากบอกว่ารักษาโรค ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ

หากต้องการฟ้าทะลายโจรมาป้องกันได้หรือไม่

รศ.ภญ.ดร.มยุรี อธิบายว่า เรื่องป้องกันโควิด-19 จริงๆ ไม่มีงานวิจัยในผู้ป่วยว่ากินฟ้าทะลายโจรป้องกันได้ จึงไม่ได้แนะนำในการป้องกัน ไม่ว่าจะกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทย์ หรือ อภัยภูเบศร ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เพราะเกิดปัญหา คนที่ใช้ป้องกันขนาดต่ำๆ หลายเดือน มีค่าตับเพิ่มขึ้น ทุกคนเลยประสานเสียงให้ประชาชนเข้าใจให้ตรงกัน

ปัจจุบัน เริ่มเห็นผลเสียจากการใช้เหล่านั้น จึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าป้องกันไม่แนะนำ มีไว้เล็กน้อยได้เก็บไว้สำหรับคนที่ป่วยจริงๆ หากมีแล้วอยู่ที่บ้านอย่าเพิ่งใช้ เพราะหากติดจริงๆ จะหาซื้อไม่ได้ และหากซื้อก็อาจจะเจอของปลอม และตรวจสอบยากมาก ขนาดเภสัชกรเองยังตรวจสอบค่อนข้างลำบาก บางอันปลอมเหมือนมากเกือบทุกอย่าง เลขทะเบียนตรง ผู้ผลิตตรง การคำนวณขนาดก็ยากเพราะไม่มีการบอกปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งส่วนตัวหากไม่รู้จำนวน แอนโดรกราโฟไลด์ จะไปดูที่บัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งแนะนำให้ใช้บรรเทาอาการหวัด กรณีแบบผง จะใช้ขนาดสูงสุดสำหรับผู้ใหญ่ ครั้งละ 3 กรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน


ห้ามใช้ฟาวิพิราเวียร์ร่วมกับฟ้าทะลายโจร
ขณะที่กรมการแพทย์ ได้ออกแนวทางดูแลผู้ป่วยโควิด-19 วันที่ 4 ส.ค. 64 ว่าหากกลุ่มสีเขียวไม่มีความเสี่ยง ไม่มีอาการ หากจะใช้ฟ้าทะลายโจร ให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ เพราะน่าจะกังวลเรื่องของอาการไม่พึงประสงค์ พิษต่อตับที่เริ่มเจอเยอะขึ้น รวมถึงบอกว่าหากใช้ฟาวิพิราเวียร์ ห้ามใช้ร่วมกับฟ้าทะลายโจร เนื่องจากปัจจุบันยังทำวิจัยกันอยู่ หากจะใช้ก็ควรจะใช้ในการวิจัย ประสิทธิภาพ ผลตอบรับ ยังไม่ออกมา ขณะที่ความเสี่ยงปรากฎให้เห็นแล้ว


"ตอนนี้ต้องชั่งน้ำหนักกับผลดี กับ ความเสี่ยง หากเสี่ยงมากก็ควรจะหยุด ซึ่งผู้บริโภคตัดสินใจเองอาจจะไม่ได้ สามารถปรึกษาแทพย์หรือเภสัชกร เพราะโควิดไม่ใช่หวัดทั่วไป เป็นเรื่องยากที่ประชาชนทั่วไปจะประเมินด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ใหม่ ข้อบ่งใช้ใหม่ ต้องใช้ภายใต้ผู้ประกอบวิชาชีพ"

"ขณะเดียวกัน หากแพทย์ซักประวัติว่าใช้ฟ้าทะลายโจร หรือสมุนไพร จะต้องตรวจค่าการทำงานตับก่อน และเจอหลายเคสว่าตับมีปัญหา เริ่มให้ยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ได้ เพราะยาฟาวิพิราเวียร์ มีผลต่อตับมากกว่าฟ้าทะลายโจร" รศ.ภญ.ดร.มยุรี กล่าว  

รวมถึงควรระวังในการใช้ร่วมกับยาตัวอื่น ฟ้าทะลายโจร เริ่มมีข้อมูลเยอะขึ้น เจอคนที่ใช้ฟ้าทะลายโจร กับ พาราเซตามอน ที่ค่าตับเพิ่มขึ้น รวมถึงยากลุ่มลดไขมันบางตัว และยาความดันบางตัว


 

"ยาจากผงฟ้าทะลายโจร vs ยาจากสารสกัดฟ้าทะลายโจร"

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้อธิบาย สำหรับ รูปแบบของ "ฟ้าทะลายโจร" ในตลาดที่อาจทำให้เกิดการสับสน และนำไปใช้และเกิดผลข้างเคียงได้ เพราะใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม มีด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่


ยาจากผงฟ้าทะลายโจร

ซึ่งถูกนำมาตากแห้ง และบดเป็นผง
นำผงจากใบแห้งมาบรรจุแคปซูล
มีองค์ประกอบของสารหลายตัว รวมถึงไฟเบอร์จากใบ และสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์อย่างแอนโดรกราโฟไลด์ แต่ไม่เข้มข้น
แอนโดรกราโฟไลด์ อยู่ในมาตรฐานที่อย. กำหนด คือ ไม่ต่ำกว่า 1%
หากข้างขวดระบุว่า แคปซูลมีฟ้าทะลายโจร 400 มก. แปลว่า มีแอนโดรกราโฟไลด์ 4 มก.
การใช้รักษาหวัด จะต้องใช้ยาที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มก.ต่อวัน
ดังนั้น ในรูปแบบแคปซูล ขนาด 350 -400 มก.ต่อแคปซูล ต้องรับประทานครั้งละ 4 แคปซูลหรือเม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
จะได้ปริมาณยาประมาณ 6,000 มก. หรือเท่ากับแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มก. และกินไม่เกิน 3-5 วัน

ยาจากสารสกัดฟ้าทะลายโจร

ในกรณีนี้ไม่มีใบติดมา เป็นสารสกัดล้วนๆ
ออกมาเป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ แอนโดรกราโฟไลด์
หากข้างกระป๋องเขียนว่า รูปแบบแคปซูลหรือยาเม็ด ขนาด 9-10 มก.ต่อแคปซูลหรือเม็ด แสดงว่ามีแอนโดรกราโฟไลด์ 10 มก.
หากต้องการกินวันละ 60 มก. กินครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง
อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ชนิด มีข้อพึงระวังว่าไม่ควรกินนานกว่า 3-5 วัน


'ฟ้าทะลายโจร' ปลูกกินเองได้  
       

สำหรับในช่วงที่ ฟ้าทะลายโจร กำลังขาดตลาดและมีการขายที่ไม่ได้มาตรฐานในหลายแหล่ง การปลูกเองในบ้าน ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางในช่วงวิกฤตินี้ "ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว" หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์ไทย และสมุนไพร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร แนะว่า ในช่วงที่มีการขาดแคลนยาฟ้าทะลายโจรแบบแคปซูลนี้ ประชาชนหรือชุมชนสามารถแก้ไขได้ด้วยการปลูกฟ้าทะลายโจรเอง ปลูกง่ายไม่ยาก เพียงเวลา 2-3 เดือน ก็สามารถเก็บใบฟ้าทะลายโจรมาต้มรับประทานได้

วิธีการ คือ ใช้ดอกและใบ โดยสัดส่วนของฟ้าทะลายโจร ใช้เพียงมื้อละ 10 ใบ รับประทานแบบทานยา 4 มื้อ ในการดื่มควรนำใบมาเคี้ยวด้วย เพื่อให้รับสารสำคัญอย่างครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องรอการใช้ยาในรูปแบบของแคปซูลเท่านั้น เพื่อให้ได้สารแอนโดรกราโฟไลด์เพียงอย่างเดียว รสชาติที่ขมของใบฟ้าทะลายโจร มีส่วนช่วยทั้งลดไข้ แก้ไอ แต่ไม่แนะนำให้รับประทานร่วมกับกระชาย หรือน้ำขิง เพราะสมุนไพร 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ร้อน หากทานร่วมกันทั้งหมด อาจทำให้การรักษาไม่ได้ประสิทธิผลเท่าที่ควร



ผลการศึกษา ฟ้าทะลายโจร ในเรือนจำ
ที่ผ่านมา นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดสระบุรี ซึ่งได้ร่วมทำงานควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในเรือนจำ ซึ่งได้ทำการติดตามกลุ่มตัวอย่าง 120 คน แบ่งเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 30 คน ดังนี้ 1.ใช้ฟ้าทะลายโจรแบบบดผง (ขนาด 400 มิลลิกรัม/แคปซูล) รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น 2.ใช้กระชายขาวแบบสารสกัด (ขนาด 100 มิลลิกรัม/แคปซูล)รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล เฉพาะหลังอาหารเช้าเพียงมื้อเดียว

3.ใช้ทั้งฟ้าทะลายโจร (ขนาด 400 มิลลิกรัม/แคปซูล)รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็นและกระชายขาว (ขนาด 100 มิลลิกรัม/แคปซูล)รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล เฉพาะหลังอาหารเช้าเพียงมื้อเดียว และ 4.ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ (ขนาด 200 มิลลิกรัม/เม็ด) รับประทานวันแรกครั้งละ 9 เม็ด หลังอาหารเช้าและเย็น จากนั้นวันที่ 2 เป็นต้นไป รับประทานครั้งละ 4 เม็ด หลังอาหารเช้าและเย็น

โดยติดตามผลทุกกลุ่มเป็นเวลา 5 วัน นับจากเริ่มได้รับยา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างทุกกลุ่มจะมีการตรวจคัดกรองด้วยวิธี swab ทุกๆ 2 วัน จนครบ 14 วัน พบผลที่น่าทึ่ง กล่าวคือ ทั้งฟ้าทะลายโจรกระชายขาว และใช้ทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน การตรวจครั้งแรกแล้วไม่พบเชื้อคือวันที่ 8 หลังได้รับยา ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ จะตรวจครั้งแรกแล้วไม่พบเชื้อ คือวันที่ 12 หลังได้รับยา