• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Joe524

#10502
 การกินข้าวเพื่อสุขภาพที่มีค่าน้ำตาลต่ำ ทำไมถึงเหมาะกับสุขภาพคุณแม่มีน้อง
( ข้าวอินทรีย์ ) ถึงแพงกว่าข้าวธรรมดา     หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวอินทรีย์   การตรวจสอบข้าวอินทรีย์  ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น  อย่างยิ่งกับการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยซึ่งมีมากมายหลากหลายในปัจจุบัน  รวมถึงผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคทั้งหลายให้ความไว้วางใจ  แต่ก็ยังมีคำถาม ข้อสงสัย ติดอันดับยอดนิยมจากผูบริโภคว่า  "ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ถึงราคาแพงกว่า ทั่วไป ทั้งที่ข้าวในนาผลิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีต้นทุนปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง"    การผลิตข้าวอินทรีย์  ข้อมูลจากเวปไซด์ขององค์กรการอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวถึงข้อเท็จจริงบางประการ ข้าวสุรินทร์ที่เป็นเหตุผลของราคาผลผลิตและสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สูงกว่าเอาไว้  ดังนี้- ฟาร์มเกษตรอินทรีย์มีขนาดเล็ก ใช้แรงงานต่อหน่วยในการผลิตมากกว่าฟาร์มทั่วไป (สาเหตุหนึ่งที่ต้นทุนการผลิตสูง)
- ค่าใช้จ่ายในขบวนการหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์  สูงกว่าเพราะในการขนส่ง หรือแปรรูปจะต้องแยกออกจากผลผลิตทั่วไปอย่างชัดเจน
- ปริมาณของข้าวเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างน้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าต่อหน่วยของข้าวกล้องออร์แกนิค ออกสู่ตลาดนั้นสูงกว่าผลผลิตทั่วไป
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ทำให้เกษตรกรได้รายได้ที่เป็นธรรมและพอเพียง
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิค  มีการจัดการมาตรฐาน คุ้มครองสัตว์เลี้ยงในฟาร์มได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
- และสุกท้ายที่สำคัญที่สุด ข้าวเกษตรอินทรีย์มีจำนวนจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค
เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิคที่แท้จริงของเรา  




ข้าวฮอร์ (HOR)  ข้าวสุขภาพ ได้รับมาตรฐาน 
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้"  จากกรมการข้าว  จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   ในประเภทของ 
2.1  ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)  
2.2  ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)  
2.3  ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวเกษตรอินทรีย์สุรินทร์  ปลูกข้าวออแกนิคส่งทั่วไทย   ข้าวorganic
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Facebook :   www.facebook.com/Rice.Kid.Ric/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์    ข้าวออแกนิคสำหรับทารกส่งทั่วไทย
1.  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิก
3.  ข้าวปะกาอำปึลออร์แกนิค
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคคือ
6.  ข้าวมะลินิลปลอดสารพิษ
7. ข้าวไรซ์เบอรี่   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค  #ข้าวออแกนิก #ข้าวอินทรีย์ 
#ข้าววสุขภาพ  #ข้าวเกษตรอินทรีย์
 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#10505


รองโฆษกรัฐบาลย้ำเดินหน้าฉีดวัคซีนทุกลุ่มคุยบูสเตอร์เข็มสามแล้ว 1.4 ล้านรายเจ้าเดียวในอาเซียน คาดนำเข้ายา"โมลนูพิราเวียร์" 2 แสนคอร์สธ.ค.นี้ธันวาคมนี้ 

เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการแจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล ว่า วันนี้เป็นการ Kick off ฉีดวัคซีนให้กับเด็กนักเรียนอายุตั้งแต่ 12 -18 ปี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเตียมพร้อมรับเปิดเทอมในวันที่ 1 พ.ย. ขอเน้นย้ำว่าต้องให้ผู้ปกครองยินยอมด้วย ถ้าหากกังวล หรือไม่สบายใจรัฐบาลก็ไม่บังคับ สำหรับคำถามที่ว่ายังเป็นนักเรียนอยู่ แต่มีอายุเกิน 18 ปี อาจจะเกิน 2 - 3 เดือน จะยังได้รับการฉีดไฟเซอร์หรือไม่ ยืนยันว่าถ้ายังเรียนอยูในโรงเรียนจะได้ฉีดไฟเซอร์แน่นอน ขณะที่กลุ่มนักศึกษาที่อายุ 18 ปีขึ้นไป จะจัดอยู่ในกลุ่มประชาชนทั่วไป จะได้รับการฉีดวัคซีนแบบไขว้ เข็มแรกเป็นซิโนแวค เข็มสองเป็นแอสตราเซนเนกา แต่ถ้าอนาคตเรามีไฟเซอร์เขามามากขึ้น ก็อาจจะเป็นซิโนแวคและไฟเซอร์

ทั้งนี้ ยอดการฉีดวัคซีนสะสมในประเทศไทยวันนี้ 55.1 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มแรก 32.9 ล้านรายเข็มสอง 20.6 ล้านราย และเข็มสาม 1.4 ล้านราย โดยเฉพาะการฉีดบูสเตอร์เข็มสามประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีการฉีดบูสเตอร์เข็มสาม

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กรณียาโมลนูพิราเวียร์ ยาเม็ดที่ใช้รักษาโควิด-19  ที่พรรคฝ่ายค้านถามมาว่ารัฐบาลเตรียมการอย่างไร เพื่อจะนำเช้ามา โดยอธิบดีกรมการแพทย์ ได้ชี้แจงว่ารัฐบาลเตรียมจัดซื้อ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะนำเรื่องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อสั่งซื้อจำนวน 2 แสนคอร์ส สำหรับ 2 แสนคน คาดว่าจะนำเข้าได้ในเดือนธันวาคมนี้ แต่ต้องมี 2 ปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือ 1. ยาโมลนูพิราเวียร์จะต้องได้รับการอนุมัติจาก อย.สหรัฐอเมริกา ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติ 2 .จะต้องผ่านการอนุมัติจาก อย.ในประเทศไทย ที่คาดว่าจะเป็นต้นเดือนพฤศจิกายน
#10506
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ นำกลุ่มตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจสถานออกกำลังกายและฟิตเนส และนักกีฬาทีมชาติ เข้าพบนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ผู้แทนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องถึงฝ่ายบริหารของภาครัฐให้เร่งช่วยเหลือเยียวยาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจออกกำลังกาย หลังมีคำสั่งปิดสถานที่ออกกำลังกาย ฟิตเนส และสถานที่ฝึกซ้อมกีฬาของนักกีฬาทีมชาติในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มานานกว่า 200 วัน 



นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจสถานออกกำลังกาย ฟิตเนส และสถานฝึกซ้อมกีฬา เป็นกลุ่มที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นอย่างดี โดยเป็นธุรกิจแรก ๆ ที่ต้องปิดกิจการตามมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่กลับเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะเปิดให้บริการตามปกติได้ ทำให้ธุรกิจที่กำลังจะฟื้นตัวต้องล้มลงอีกครั้ง ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องทางการเงิน พนักงานขาดรายได้เลี้ยงชีพ หลายส่วนต้องตกงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งความเดือดร้อนในครั้งนี้ยังได้ส่งผลกระทบไปถึงกลุ่มนักกีฬาทีมชาติไทยประเภทต่าง ๆ ด้วย เพราะเมื่อสถานฝึกซ้อมกีฬาขนาดใหญ่อย่างการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ถูกสั่งปิด ก็ทำให้นักกีฬาขาดสถานที่พัฒนาตนเอง อาจส่งผลร้ายต่อการแข่งขันกีฬาในนามของประเทศได้ อีกทั้งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นได้ด้วย ทางพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจดีถึงความเดือดร้อนดังกล่าว และเห็นใจประชาชนทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ จึงเดินหน้าประสานงานกับนายกรัฐมนตรีและ ศบค. ให้ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพธุรกิจการออกกำลังกายฯ ได้มีโอกาสยื่นจดหมายเปิดผนึกข้อเรียกร้องถึงภาครัฐ เพื่อปลดล็อกกิจการ รวมทั้งร่วมหารือถึงแนวทางที่เป็นไปได้เพื่อให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาที่เหมาะสม 



ซึ่งในครั้งนี้ได้พากลุ่มตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจสถานออกกำลังกายฯ ไปยื่นข้อเรียกร้องกับพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาฯ สมช. และผอ.ศบค. ก่อน แล้วจึงไปยื่นข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการยืนยันจากพลเอกณัฐพลแล้วว่าจะนำข้อเรียกร้องดังกล่าวไปหารือและพิจารณาในที่ประชุมของ ศบค. ต่อไป โดย พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า "ยินดีรับฟังข้อเสนอและจะไปหารือในการประชุม ศบค.ว่าจะสามารถมีมาตรการช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง พร้อมกับจะให้ความสำคัญในการเร่งการพิจารณาให้ กกท. สามารถเปิดพื้นที่ให้นักกีฬาทีมชาติเข้าซ้อม" ทั้งนี้มีนักกีฬาทีมชาติมาร่วมร้องเรียน อาทิ นางสาวเจนจิรา แจ่มดี นายฤทธิชัย เรียมกุญชร นาย​ธน​พิพัฒน์​ จันทนเสวี นางสาว​ นภัสนันท์​ หัวรักกิจ และนายทศพล ชื่นชม  
 


ด้านนายธันย์ปวัฒน์ เตชภูวดลวิทิต ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพธุรกิจการออกกำลังกายฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า คำสั่งปิดกิจการส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบอาชีพธุรกิจสถานออกกำลังกาย รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในวงการทั้งระบบ ที่ไม่ใช่แค่ธุรกิจของเรา แต่ยังลงลึกไปถึงอาชีพ รปภ. แม่บ้าน และคนทำอุปกรณ์ออกกำลังกายด้วย ซึ่งบางส่วนเป็นกลุ่มอิสระที่รับค้าจ้างรายวัน มานานกว่า 200 วันแล้ว วันนี้ทุกคนกำลังจะแย่ เพราะไม่มีเงินแต่มีครอบครัวที่ต้องดูแล ทำให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระทุกอย่าง อีกทั้งยังมีเทรนเนอร์ หรือแม้แต่นักกีฬาทีมชาติ ที่ไม่มีสถานที่ฝึกซ้อม ก็ได้รับผลกระทบกันไปหมด แล้วจะทำชื่อเสียงให้กับประเทศได้อย่างไร จึงอยากขอให้รัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือ ดังนี้ 



1. ยกเลิกคำสั่งปิดกิจการแบบเหมารวม เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีคนติดเชื้อโควิดจากสถานออกกำลังกายน้อยมาก และสถานออกกำลังกายถือเป็นจุดสำคัญที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้คนสุขภาพดีขึ้น โดยควรให้ปิดเฉพาะสถานประกอบการที่พบผู้ติดเชื้อหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงเป็นเวลา 14 วัน และหากสถานประกอบการใดที่พบผู้ติดเชื้อ ก็ต้องมีการทำความสะอาดสถานที่ตามมาตรฐานของกรมอนามัยและกรมควบคุมโรค

2. ขอให้มีคำสั่งปลดล็อกให้ธุรกิจสถานออกกำลังกายแสะฟิตเนสสามารถกลับมาเปิดบริการได้ภายในวันที่ 1 ส.ค.2564 ภายใต้มาตรการป้องกันโรคตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข เช่น การเว้นระยะ การจำกัดจำนวนคน และความสะอาด เป็นต้น

3. พิจารณาจัดสรรวัคซีนให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยเร็วที่สุด ซึ่งภาครัฐสามารถถือเอาโอกาสนี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ในอนาคต

4. พิจารณาให้มีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องการพักชำระหนี้/การกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อรักษาสภาพคล่องธุรกิจและการจ้างพนักงานจากการปิดธุรกิจชั่วคราว รวมถึงส่วนลดหรือเลื่อนชำระค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปา ตลอดจนลดหย่อนภาษีรายได้ส่วนบุคคลของผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับสถานออกกำลังกายและฟิตเนส

5. เปิดช่องทางการสื่อสาร เพื่อรับฟังความคิดเห็นและความต้องการประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อให้ทราบถึงมุมมอง ผลกระทบ ความยากลำบากของผู้ประกอบอาชีพในกลุ่มต่าง ๆ ก่อนที่ภาครัฐจะออกมาตรการต่าง ๆ... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/economic/854120/
#10507


"เกียรตินาคินภัทร" โชว์ความสำเร็จของกองทุน KKP SGAA รองรับสถานการณ์ความผันผวนของโลกมาแล้ว 10 ปี ตอบโจทย์เติบโตในระยะยาว และทำกำไรในระยะสั้น ด้วยอัตราผลตอบแทนกว่า 10% ตั้งแต่ต้นปี

นายทวีศักดิ์  เผ่าพัลลภ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร  เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างต้องการเข้าถึงโอกาสลงทุนในทรัพย์สินหลากหลายประเภท ทั้งในประเทศและภูมิภาคอื่นๆ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและผันผวน มีผลต่อแนวโน้มและผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของสินทรัพย์ประเภทหุ้นต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค แนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนประเภทต่างๆ โดยเฉพาะตราสารหนี้ หรือการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลจีน กำลังส่งผลกระทบที่สำคัญต่อการลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ ทั่วโลก เป็นต้น

ปัจจัยความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนต้องใช้เวลาติดตามสภาวะทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อทรัพย์สินแต่ละประเภทอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา มิฉะนั้นอาจได้รับผลกระทบที่เฉียบพลันและรุนแรง กองทุน KKP SGAA ช่วยลดภาระในส่วนนี้ให้กับนักลงทุนได้อย่างมาก เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญปรับสัดส่วนการลงทุนของทรัพย์สินในพอร์ตตามสภาวะตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งช่วยเปิดโอกาสรับผลตอบแทนและลดความผันผวนของพอร์ต เห็นได้จากสัดส่วนสินทรัพย์ของกองทุน KKP SGAA ที่ปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมาล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ 

ad
นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า  KKP SGAA เป็นกองทุนที่ใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนอย่างครอบคลุมในหลายประเภททรัพย์สินทั่วโลก เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และ ตราสารทางเลือก รวมไปถึง กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งในหรือต่างประเทศ  จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นกองทุนกองเดียวที่นักลงทุนต้องการสำหรับเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากทุกประเภทสินทรัพย์ทั่วโลก

ยิ่งกว่านั้น KKP SGAA ยังเป็นกองทุน 'เรือธง (Flagship)' ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ที่รวบรวมทรัพยากรและความรู้ความชำนาญจากทั้งกลุ่มธุรกิจ โดย บล. เกียรตินาคินภัทร ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนของกองทุน ทำหน้าที่วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคและกำหนดสัดส่วนระหว่างสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ในขณะที่ บลจ.เกียรตินาคินภัทร ในฐานะผู้จัดการกองทุน ทำหน้าที่วิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพและตอบโจทย์กลยุทธ์การลงทุน

ทั้งนี้ กองทุนยังมีผลการดำเนินงานต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ซึ่งสามารถนำประสบการณ์มาพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ให้แข็งแกร่งทั้งในด้านการเติบโตและเป้าหมายการลดความผันผวน และเรียกได้ว่ากองทุน KKP SGAA เป็นการลงทุนที่สะดวก ลดภาระของนักลงทุนในติดตามสถานการณ์ลงทุน และความยืดหยุ่นต่อทุกสภาวะการลงทุน


สำหรับกองทุน KKP SGAA ยังมาพร้อมกับตัวเลือกกองทุนในลักษณะเดียวกันแต่ต่างระดับความเสี่ยงอีกถึง 3 กอง คือ KKP SGAA Extra, KKP SGAA Light  และ KKP SGAA Ultra Light เพื่อให้นักลงทุนเลือกลงทุนในกองที่มีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด เช่น นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากและคาดหวังผลตอบแทนสูง สามารถเลือกลงทุนใน KKP SGAA Extra ซึ่งลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่นักลงทุนวัยใกล้เกษียณ สามารถเลือกลง KKP SGAA Light ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่เสี่ยงน้อยกว่า โดยในโอกาสครบรอบ 10 ปี บลจ. เกียรตินาคินภัทรได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) ของกองทุน KKP SGAA ทั้ง 4 กอง ในระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2564 เพื่อให้นักลงทุนได้เปิดโอกาสรับผลตอบแทนและร่วมฉลองความสำเร็จของกองทุนที่มีมาอย่างยาวนาน"

นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล  บริษัทหลักทรัพย์  (บล.) เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า กองทุน KKP SGAA ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์การเงินหลักที่กลุ่มผู้มาใช้บริการ Wealth  Management ของ บล. เกียรตินาคินภัทรให้ความสนใจมาโดยตลอด ด้วยความหลากหลายของสินทรัพย์ไม่ว่าในหรือต่างประเทศ ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเปิดโอกาสรับผลตอบแทนได้อย่างครอบคลุม และการปรับกลยุทธ์อย่างไม่หยุดนิ่งโดยไม่เป็นภาระในการติดตามสำหรับลูกค้าซึ่งมักมีภารกิจรัดตัว โดยกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2564 ที่ 10.22% ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนทั่วไปแล้ว KKP SGAA เรียกได้ว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว และการใช้เป็นพอร์ตหลัก (Core Port) เพราะในหลายแง่มุมเทียบได้กับการรับบริการที่ปรึกษาการลงทุนแบบ Wealth Management โดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท
#10508
https://www.katobonsai.com/
บอนไซ บอนไซประดิษฐ์ ตกแต่งบ้าน
#10509
อย่าเพิ่งยิงแอด ถ้ายังไม่เรียน คอร์สออนไลน์ 98 บาท
#10510
ที่ติดทะเล ฝั่งแดง (บางสะพานน้อย) ประจวบ ไร่4ลบ. Unseenthailand โทร0837124115
#10514

ต้องยอมรับว่างานสัมมนาเพื่อสังคมแห่งปีที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ เพราะนอกจากจะเป็นการสัมมนาผ่านช่องทางออนไลน์หนึ่งแล้ว หากอีกหนึ่งยังเป็นการยกระดับหัวข้อในการสัมมนาทั่ว ๆ ไปด้วย

โดยไม่ได้มองเรื่องของความยั่งยืนแต่เพียงประการเดียว หากยังมองถึงการสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และชุมชนในระดับประเทศด้วย ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่งานสัมมนาครั้งนี้จึงอยู่ภายใต้ธีมหลักคือ "สร้างภูมิคุ้มกัน ฝ่าภัยโควิด" โดยมีหัวข้อย่อย ๆ เพื่อให้วิทยากรบรรยายในประเด็นต่าง ๆ

ยิ่งเฉพาะ "เจมส์ ทีก" ประธานบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และ "อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่จะมาบรรยายในหัวข้อ "ธุรกิจ-สังคม สร้างภูมิคุ้มกัน ฝ่าภัยโควิด"

เดินหน้าส่งวัคซีนช่วยไทยสู้โควิด
เบื้องต้น "เจมส์ ทีก" กล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทคือการทำให้คนทั่วโลกเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 มากที่สุด และการจะทำให้ได้แบบนั้นต้องมีซัพพลายเชนการผลิตกระจายไปทั่วโลก ซึ่งตอนนี้แอสตร้าเซนเนก้ามีโรงงานในความร่วมมือกว่า 25 แห่งทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่เลือกร่วมมือกับบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "SCG" และบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด

"แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นในการผลิตวัคซีนเพื่อช่วยคนทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมากระจายส่งวัคซีนไปแล้วกว่า 1.3 พันล้านโดสใน 170 ประเทศ นับตั้งแต่ปี 2564 โดย 2 ใน 3 ของจำนวนวัคซีนดังกล่าวถูกส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำ และกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าสร้างประโยชน์ในการป้องกันอาการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และลดสัดส่วนการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19"

เจมส์ ทีก
เจมส์ ทีก ประธานบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย แอสตร้าเซนเนก้ามีความกังวลและเป็นห่วงกับจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีการหารือกับกรมควบคุมโรคมาโดยตลอดเกี่ยวกับผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 และแนวทางที่แอสตร้าเซนเนก้าจะสามารถช่วยสนับสนุนโครงการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้

ดังนั้น สิ่งที่แอสตร้าเซนเนก้าให้ความสำคัญ เหนือสิ่งอื่นใดในขณะนี้คือการทำให้ทุกคนในประเทศไทยได้รับวัคซีน การเร่งผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพให้ได้จำนวนมากที่สุด การสื่อสารเรื่องวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ และการทำให้แน่ใจว่าซัพพลายเชนการผลิตในไทยก่อตั้งอย่างมีคุณภาพในระยะเวลาอันสั้น และสามารถผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ

"วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นชีววัตถุที่เริ่มต้นด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบในกระบวนการผลิต จึงมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน จำนวนเซลล์ที่สามารถนำไปใช้เพื่อการผลิตวัคซีนในแต่ละรอบการผลิต มีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตระยะแรกจากศูนย์การผลิตวัคซีนแห่งใหม่"

"อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีข้อจำกัดมากมาย แต่แอสตร้าเซนเนก้าสามารถทำตามคำมั่นที่ให้ไว้มาตลอดสำหรับการส่งมอบวัคซีนให้ไทยตามที่รัฐบาลตกลงซื้อจำนวน 61 ล้านโดส เพื่อทยอยส่งมอบภายในปี 2564 เราสามารถส่งมอบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2564 ตามคำมั่นที่ให้ไว้ จากนั้นทยอยส่งเดือนละ 3 ล้านโดส เพิ่มมาเป็น 5-6 ล้านโดส ขณะที่เดือนกันยายนนี้เราส่งมอบวัคซีนให้เพิ่มมากถึง 8 ล้านโดส โดยในปีนี้แอสตร้าเซนเนก้าจะส่งมอบวัคซีนให้ไทยรวมแล้วทั้งสิ้นจำนวน 24.6 ล้านโดส"

ผลิตยารักษาโรคกว่า 20 รายการ
"เจมส์ ทีก" กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังมีการตกลงกับรัฐบาลไทยและสยามไบโอไซเอนซ์ว่า แอสตร้าเซนเนก้าจะกระจายวัคซีนไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคด้วย โดยในไทยจะได้สัดส่วนวัคซีน 30% ของจำนวนวัคซีนที่ผลิตได้ ที่เหลือจะส่งไปให้ประเทศเพื่อนบ้านเพราะโควิด-19 เป็นวิกฤตระดับโลกที่ไม่สามารถต่อสู้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องพาประเทศโดยรอบให้ปลอดภัยด้วยเช่นกัน

ตรงนี้ถือเป็นเรื่องน่าภูมิใจของประเทศไทยในการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุดแอสตร้าเซนเนก้าและรัฐบาลไทยร่วมลงนามในสัญญาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มอีก 60 ล้านโดสในวันที่ 29 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา เพื่อทยอยส่งมอบภายในไตรมาส 3 ของปี 2565

"สำหรับประเด็นเรื่องคุณภาพของวัคซีน ต้องบอกว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นคุณภาพเดียวกันทั่วโลก ฐานการผลิตทั้งหมด 25 แห่งอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน และการผลิตวัคซีนออกมาต้องมีการทำตามขั้นตอนเอกสารสำคัญมากมายกว่า 60 ชุด จำนวนกว่า 1,000 หน้าที่ต้องรีวิว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อความล่าช้า แต่ต้องยอมรับว่าขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้ไม่สามารถละเลยได้ และบริษัททำตามอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ ตอนนี้วัคซีนของเราที่ผลิตในไทยผ่านการรับรองจากประเทศออสเตรเลียแล้ว และกำลังดำเนินการให้ผ่านการรับรองจาก WHO ด้วย"


"ผมต้องบอกว่าแอสตร้าเซนเนก้าไม่ได้ใหม่สำหรับประเทศไทย เพราะบริษัทเข้ามาดำเนินงานในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2526 โดยมีฐานอยู่ที่สหราชอาณาจักร ทั้งยังมีสำนักงาน 26 แห่งใน 16 ประเทศ และมีพนักงานกว่า 76,000 คนทั่วโลก รวม 270 คน ในประเทศไทยด้วย"

"และนอกจากการผลิตวัคซีนโควิด-19 เรายังเป็นผู้นำการป้องกันและรักษากลุ่มโรค NCDs (กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ที่กำลังคุกคามทั่วโลกมายาวนาน และพยายามพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพ และราคาจับต้องได้มาโดยตลอด ปัจจุบันแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยจำหน่ายยามากกว่า 20 รายการ เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็งทรวงอก, มะเร็งปอด, โรคเบาหวาน และโรคหอบหืด เป็นต้น"

CSR เพื่อสุขภาพ 6 มิติ
นอกจากการผลิตยาที่มีคุณภาพแอสตร้าเซนเนก้ายังให้ความสำคัญกับการทำโครงการเพื่อสังคมต่อเนื่อง โดยมี 6 โครงการหลัก ๆ ดังนี้

หนึ่ง Healthy Lung สนับสนุนการเข้าถึงการวินิจฉัยโรค และการรักษาโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคมะเร็งปอด

สอง The Lung Ambition Alliance ยกระดับการรักษาโรคมะเร็งปอด พร้อมส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สาม Young Health Programme โครงการปลูกฝังองค์ความรู้ การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และปัญหาสุขภาพให้กับเยาวชน

สี่ New Normal Same Cancer สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ต่อการรักษาโรคมะเร็ง และส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับการวินิจฉัยและรักษา

ห้า Early CKD Screening สร้างการตระหนักรู้ถึงอันตรายของโรคไตเรื้อรังที่เกิดจากโรคเบาหวาน และสนับสนุนการตรวจคัดกรอง

หก AZPAP-Patient Affordability Programme ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและการสนับสนุนการเข้าถึงนวัตกรรมยาให้ผู้ป่วยในไทย

ฝัง DNA ยั่งยืนให้คน ปตท.
ขณะที่ "อรรถพล" มองเรื่องนี้ในประเด็นที่สอดรับกันว่า ปตท.ยึดตามแนวทางการบริหารที่ยั่งยืนเป็นสำคัญด้วยการนำ ESG (environmental, social and governance) หรือดำเนินธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และมีธรรมาภิบาล รวมถึงแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 มาใช้ควบคู่กัน

สำหรับการจัดการยั่งยืนนั้น ปตท.เรียกว่า PTT SUSTAINERGY DNA ต้องการให้คำว่ายั่งยืนฝังอยู่ใน DNA คนของ ปตท.ทุกคน เราใช้คำว่าเราต้องเลิศ โลกเราต้องรัก สังคมไทยต้องอุ้มชูเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจของ ปตท.ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังหมายความรวมถึงสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ต้องสร้างจุดสมดุลให้ทุกส่วนเดินหน้าไปพร้อมกัน


อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ 
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
จากกรณีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ ปตท.นำศักยภาพขององค์กรที่มีอยู่เข้ามาช่วยดูแลสังคมไทย โดยใช้ทั้งทรัพยากรบุคคล องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และงบประมาณมาช่วยสังคมในช่วงโควิด-19 ระบาด ทั้งนั้น เพราะระหว่างปี 2562-2563 ถือว่า ปตท.ได้รับผลกระทบแบบ double effect เพราะเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี แน่นอนว่าจะส่งผลต่อราคาน้ำมันที่ลดลงตามไปด้วย ที่สำคัญยังสะท้อนถึงผลประกอบการที่อาจจะไม่ค่อยดีด้วย

ดังนั้น พอเกิดการระบาดของโควิด-19 ตอนนั้น ปตท.ตั้ง "PTT Group Vital Center" เพื่อใช้เป็น war room โดยรวมทุกบริษัทในเครือ ปตท.ไว้ที่นี่ เพื่อเข้ามาเป็นองค์ประกอบและร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์ด้วยการวางกลยุทธ์ที่เรียกว่า 4R อันประกอบด้วย

หนึ่ง resilience องค์กรมีความยืดหยุ่น เผชิญปัญหาเฉพาะหน้าได้ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ, ลดต้นทุน, จัดหาสภาพคล่องเข้ามาให้องค์กร โดยขณะนั้นมีการออกหุ้นกู้ทั้งหมดในเครือ ปตท.รวม 100,000 ล้านบาท เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพื่อต้องการเสริมความพร้อมให้กับธุรกิจในทุกวิกฤตให้ได้

สอง restart เตรียมความพร้อมที่จะนำองค์กรกลับมาสู่ภาวะปกติให้ได้ รวมไปจนถึง supply chain ของ ปตท.ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้คู่ค้าต่าง ๆ สามารถเดินไปข้างหน้าพร้อมกับ ปตท.ได้ เพราะเมื่อสภาวะปกติกลับมา คู่ค้ากลับมาทำธุรกิจกับ ปตท.ต่อได้ ส่วนการดูแลพนักงานนั้น ปตท.จัดตั้ง "ศูนย์พลังใจ" ที่ใช้เป็นศูนย์กลางดูแลและให้ความรู้กับพนักงาน รับเรื่องความเดือดร้อนของพนักงาน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ

สาม reimagination ปตท.ต้องจินตนาการอนาคตใหม่ว่าหลังจากโควิด-19 หรือใด ๆ ก็ตามที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย รวมไปถึงกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในอนาคตข้างหน้าว่า "new normal" จะเป็นอย่างไร และที่สำคัญจะต้องปรับตัวอย่างไร

สี่ reform เมื่อ ปตท.ประเมินสรุปแล้วว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับองค์กร ปตท. การปรับโครงสร้างองค์กร เพิ่มทักษะ ความสามารถของพนักงานของ ปตท.

"เมื่อ ปตท.เข้มแข็งแล้วเราจึงออกมาช่วยเหลือสังคมต่อได้ ซึ่งในกลุ่ม ปตท.นำนวัตกรรมของกลุ่มมาช่วยเหลือ อย่างเช่น การผลิตแอลกอฮอล์ และหน้ากาก ด้วยการนำแอลกอฮอล์ที่เดิมเป็นเอทานอลผสมกับน้ำมันเบนซินมาปรับโรงงานคู่ค้าของ ปตท.เพื่อให้สามารถผลิตแอลกอฮอล์อีกเกรดขึ้นมาแจกจ่ายกับประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 และบริจาคให้โรงพยาบาลระดับตำบลกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ"

ระดมสรรพกำลังกู้วิกฤต
"อรรถพล" อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า การช่วยเหลือสังคมในช่วงโควิด-19 ปตท.ยังช่วยออกแบบห้องความดันลบ ผลิตชุดกาวน์ที่มีต้นทางมาจากโรงงานปิโตรเคมีในกลุ่ม ปตท. เช่น บริษัท พีทีที โกล. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ที่ได้มาจากปิโตรเคมีเพื่อแจกให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งยังช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ เรายังช่วยภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ 25,000 คน ที่ไม่มีตำแหน่งงานรองรับอีกด้วย

"ไม่เพียงเท่านั้นเรายังกระตุ้นให้พนักงานออกไปเที่ยวแบบช่วยค่าใช้จ่ายเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการลมหายใจเดียวกัน ปตท.ให้การสนับสนุนเครื่องช่วยหัวใจ 300 แห่ง เครื่องให้ออกซิเจนและอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ รวมถึงความร่วมมือกับ กทม.เพื่อทำโรงพยาบาลสนาม ตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนเชิงรุก ตั้งโรงพยาบาลสนาม และนำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์ พร้อมทั้งใช้อาคารที่ยังไม่ได้ใช้งาน ซึ่งซื้อจากการบินไทย จนกลายเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลสนามแบบครบวงจร ที่มีห้อง ICU รองรับผู้ป่วยอาการหนักมากที่สุดในประเทศถึง 120 ห้อง"

"ตรงนี้ถือเป็นการนำองค์ความรู้ทางธุรกิจมาใช้บริหารจัดการ อยากให้ศูนย์นี้ยังคงอยู่เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเรามีระบบสาธารณูปโภคที่ถูกต้องให้การยอมรับ และเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องโควิด เพราะเรามีระบบสาธารณสุขรองรับ"

วิสัยทัศน์พา ปตท.รุกธุรกิจใหม่
แม้ว่าธุรกิจจะชะลอตัวจากการระบาดของโควิด-19 แต่ไม่ได้ส่งผลให้ ปตท.หยุดพัฒนา หรือหยุดการลงทุน "อรรถพล" ระบุเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า เนื่องจากในปัจจุบันธุรกิจพลังงานมีความผันผวนสูง และกำลังจะมีพลังงานใหม่ ๆ ที่เข้ามาในตลาด อย่างเช่น ไฟฟ้า ที่ถือว่าเป็นพลังงานสะอาดเมื่อเทียบกับการใช้น้ำมัน"

"ฉะนั้น เท่ากับว่าธุรกิจพลังงานจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกมาก เหตุผลสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้มาจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่รวดเร็ว เมื่อมองเห็นแนวโน้มธุรกิจพลังงานจะมุ่งไปตามแนวทางนี้ ปตท.จึงต้องปรับตัวพร้อมกับประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ที่ว่า "powering life with future energy and beyond"

"อรรถพล" ขยายความเพิ่มถึงวิสัยทัศน์ดังกล่าวว่า "powering life" ถือเป็นวัตถุประสงค์ขององค์กร สะท้อนความเป็น ปตท.ว่าจัดตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร ? คำตอบคือเพื่อเป็นกำลังขับเคลื่อนที่ครอบคลุมทุกชีวิต ชุมชน สังคม รวมถึงสังคมโลกด้วย

ตามมาด้วยอนาคตพลังงาน จะเริ่มเห็นว่าการใช้น้ำมันและถ่านหินจะลดลงแน่นอน จากความตระหนกด้านปัญหา และคำว่า beyond คือการเริ่มออกไปทำธุรกิจที่นอกเหนือจากพลังงานมากขึ้น อย่างเช่น ธุรกิจยา, อุปกรณ์ทางการแพทย์, อาหารเสริม และรถยนต์ EV เป็นต้น

ในช่วงท้าย "อรรถพล" ในฐานะ CEO ของ ปตท.กล่าวถึงการลงทุนของ ปตท.ต่อจากนี้อีก 5 ปี ตอนนี้มีการคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนด้านพลังงานเกิดขึ้นประมาณ 860,000 ล้านบาท อีกทั้งยังเตรียมเงินเพื่อสำหรับการลงทุนในกิจการอื่น ๆ อีกกว่า 700,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท ที่ไม่ได้มองเพียงแง่ผลประกอบการทางธุรกิจเท่านั้น แต่ ปตท.ต้องการเป็นอีกฟันเฟืองที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

พร้อมกับวางเป้าหมายว่าในปี 2030 ธุรกิจใหม่ ๆ ของ ปตท.จะทำรายได้เพิ่มกว่า 30% โดยการทำธุรกิจจะยึดถือความสำคัญที่ว่าผู้บริโภคทำให้ธุรกิจของ ปตท.เดินหน้าได้ ฉะนั้น การทำธุรกิจจะเดินอย่างคู่ขนานไปพร้อม ๆ กับการช่วยเหลือสังคมต่อไป
#10515


NEWS ขายธุรกิจโรงแรม มูลค่า 575 ล้าน ให้"ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์" พร้อมหันรุกธุรกิจ"ฟินเทค"แบบครบวงจร เตรียมเปิดแผนธุรกิจเพิ่มเติมเร็วๆนี้ เผย อยู่ระหว่างยื่นขอไลเซ่นส์ประกอบธุรกิจบล.Liberator ส่วน บลน.ฐานเศรษฐกิจ แคปปิตัล ได้รับใบนุญาตแล้ว

      บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS โดยนาย กฤษฎา พฤติภัทร รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 11/2564 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีวาระสำคัญเกี่ยวเนื่องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ มีการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจเดิมออกเพื่อ เปลี่ยนทิศทางสู่ธุรกิจ ฟินเทค ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล รวมถึงแต่งตั้งกรรมการใหม่ที่มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีและการเงินการลงทุนเข้ามาเสริมทัพ

  ที่ประชุมฯ มีมติพิจารณาอนุมัติรายการขายเงินลงทุน บริษัท เว็ลธ์ เวนเจอร์ส จำกัด เป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,800,000 หุ้น (หรือร้อยละ 40) ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรม เมอร์เคียว กรุงเทพ มักกะสัน ให้แก่ นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ (ผู้ซื้อ) ซึ่งเป็นนักลงทุนและดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่แล้วในราคา 575 ล้านบาท

 



      NEWS จะนำเงินที่ได้ไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนในธุรกิจใหม่ด้านนวัตกรรมการเงินหรือ Fintech ที่บริษัทฯ ได้ทำการศึกษามาอย่างดีแล้ว ขณะนี้อยูในระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตทำบริษัทหลักทรัพย์ Liberator (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฐานเศรษฐกิจ แคปปิตัล (บลน.) ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบระบบงานกับ ก.ล.ต. คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงเดือนธ.ค. 2564 ตลอดจนการให้บริการสินเชื่อระหว่างบุคคลต่อบุคคลโดยผ่านระบบออนไลน์และไม่ผ่านตัวกลาง (Peer to peer lending) อีกด้วย

และบอร์ดยังได้พิจารณาแต่งตั้งนาย บากบั่น บุญเลิศ เป็นรองประธานกรรมการ ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านสื่อการลงทุนมาอย่างยาวนาน รวมถึงเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทฯ จาก 8 ท่าน เป็น 10 ท่าน โดยแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ จำนวน 2 ท่าน คือ 1.)นางสาว วราภรณ์ สุพฤกษาสกุล และ 2.) นางสาว ภาวลิน มาสะกี

NEWS ขายธุรกิจโรงแรมโกยเงินเข้ากระเป๋า หันรุกธุรกิจใหม่"ฟินเทค"ครบวงจร

 


 ความเปลี่ยนแปลงด้านการดำเนินธุรกิจที่จะเกิดขึ้นกับ NEWS ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา และสรุปแผนธุรกิจ เพื่อให้มีความชัดเจนและเป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมการอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ NEWS ปรับโฉมใหม่และสร้างผลประกอบการที่ดีโดยจะเปิดแผนธุรกิจผ่านงานแถลงข่าวใหญ่เพิ่มเติมเร็วๆ นี้